Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy) - Coggle…
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy)
ความหมายของภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension)
ภาวะที่ค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัว
อย่างน้อย 140 mmHg.หรือค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจคลายตัวอย่างน้อย 90 mmHg. หรือทั้งสองค่า วัด 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ภายหลังการพัก
ภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ (PIH)
ภาวะความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุจากการตั้งครรภ์ พบในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ อาจพบร่วมกับการมีโปรตีนในปัสสาวะ และ/หรือมีอาการบวม
gestational hypertension, preeclampsia และ eclampsia
ภาวะความดันโลหิตสูงหลังคลอด (postpartum hypertension)
สตรีที่มีความดันโลหิตปกติขณะตั้งครรภ์ แล้วมีความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอด ถึง 6 เดือนหลังคลอด
จากนั้นความดันโลหิตกลับสู่ปกติในปลายปีแรก
เป็นภาวะที่ต้องตระหนัก เฝ้าระวัง ติดตาม และเป็นปัจจัยทำนายการเกิดความดันโลหิตสูงเรื้อรังในอนาคต
ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์(gestational hypertension)
ภาวะความดันโลหิตสูง หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และ
ไม่มีโปรตีนในปัสสาวะ หรือมีโปรตีนในปัสสาวะน้อยกว่า 300 mg นปัสสาวะในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
ความดันโลหิตกลับสู่ระดับปกติภายใน 12 สัปดาห์หลังคลอด
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (chronic/ preexisting hypertension)
ภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือวินิจฉัยได้ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
หากวินิจฉัยความดันโลหิตสูงได้ครั้งแรกหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ความดันโลหิตนั้นยังคงสูงอยู่นานกว่า 12 สัปดาห์หลังคลอด
ครรภ์เป็นพิษ หรือ ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก (preeclampsia)
ความดันโลหิตที่พบครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะอย่างน้อย 300 มิลลิกรัมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
ภาวะความดันโลหิตสูงคงอยู่ไม่
เกิน 12 สัปดาห์หลังคลอด
ครรภ์เป็นพิษซ้อนทับกับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (preeclampsia superimposed on
chronic hypertension)
สตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เมื่อตั้งครรภ์แล้วพบมี ภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน
สาเหตุและพยาธิกำเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ (preclinical หรือ asymptomatic stage)
เป็นระยะที่เกิดความผิดปกติที่รก ซึ่งมักเกิดขึ้นตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์กระบวนการ psuedovasculogenesis กระบวนการนี้เริ่มในระยะท้ายของไตรมาสแรก และเสร็จสิ้นเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 18-20 สัปดาห์
ในภาวะครรภ์เป็นพิษ จะเกิดความผิดปกติของการฝังตัวของรก (abnormal placentation) การฝังตัวของรกที่ผิดปกติจะมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษการฝังตัวที่มีผิดปกติมาก จะทำให้ความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษมากขึ้นตาม
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ (clinical stage)
รกที่ขาดออกซิเจนจะมีการหลั่งสารต่าง ๆออกมาในกระแสเลือด
proinflammatory และ antiangiogenic factors
ทำให้เซลล์บโพรงหลอดเลือดบาดเจ็บ และขาดเลือด เกิดความผิดปกติในการทำหน้าที่ของเนื้อเยื่อบุโพรงหลอดเลือด
กระตุ้นให้เกิดภาวะ oxidative stress
เกิด systemic inflammatory response และ endothelial activation
ความดันโลหิตสูง
ภาวะมีโปรตีนในปัสสาวะ
พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระบบไต (renal system)
ปริมาณการไหลเวียนที่ไตลดลง ประกอบกับมีการทำลายของชั้นเยื่อบุหลอดเลือดในไต
เกิด glomerular capillary endotheliosis ทำให้ glomerularinfiltration rate ลดลง
ปริมาณปัสสาวะลดลง และระดับ serum uric acid และ creatinine เพิ่มขึ้น เกิดการซึมผ่านของโปรตีน albumin และ globulin ออกทางปัสสาวะ
ทำให้เกิดการคั่งของน้ำในเนื้อเยื่อ interstitial space และเกิดอาการบวมน้ำของอวัยวะต่าง ๆ
หากเกิดภาวะ hypovolemic shock และได้รับสารน้ำหรือเลือดทดแทนไม่ทันจะทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน (acute tubular necrosis)
ระบบหัวใจและปอด (cardiopulmonary system)
plasma albumin ลดลง เนื่องมาจากเกิด proteinuria และการรั่วของ capillaries
ทำให้ colloid
osmotic pressure ลดลง
เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมปอด และสารน้ำในระบบไหลเวียนโลหิต
จะรั่วออกไปคั่งตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ส่งผลให้ intravascular volume ลดลง เลือดมีความหนืดมากขึ้น(hemoconcentration) มีค่า hematocrit สูงขึ้น
สตรีที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีการเสียเลือดจะเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำได้เร็ว และการได้รับสารน้ำประมาณมากอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดได้ง่าย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นี้จะส่งผลให้เกิดการทำงาน
ของหัวใจล้มเหลว (cardiac decompensation)
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด (hematologic and coagulation system)
กลไกทางระบบภูมิคุ้มกัน หรือเกล็ดเลือดไปจับตัวเกาะกลุ่มตามเยื่อบุหลอดเลือดที่ถูกทำลาย
มีการแตกและการทำลายเม็ดเลือดแดง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงเคลื่อนผ่านหลอดเลือดที่มีการหดเกร็งและมีขนาดเล็กลง
hemoglobulonemia
hyperbillirubinemia
พยาธิสภาพในหลอดเลือดอาจทำให้เกิด intravascular hemolysis
ระบบตับ (hepatic system)
เกิด generalized vasoconstriction ทำให้เกิด hepatic ischemia
ส่งผลให้ ระดับเอนไซม์ AST, SGOT, ALT, SGPTสูงขึ้น
บางรายพบ periportal
hemorrhagic necrosis หรือ subcapsular hepatic necrosis หรือ hematoma
ปวดใต้ชายโครงขวา
จุกแน่นใต้ลิ้นปี่
รุนแรงอาจพบมีตับแตก (hepatic rupture)
ระบบประสาท (neurological system)
เยื่อบุหลอดเลือดถูกทำลาย
เกิดการแตกของหลอดเลือดฝอย มีเลือดออกในสมองเป็นจุดเลือดเล็ก ๆ หรือเป็นก้อนใหญ่
เกิด cortical brain
spasm และเกิด cerebral ischemia
สมองบวม (cerebral edema)
ปวดศีรษะ
ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
ระบบการมองเห็น (visual system)
หดรัดตัวของหลอดเลือดที่จอตา
เกิด retinal edema
เกิดอาการตาพร่ามัว (blurred vision)
อาจทำให้เกิดการหลุดของจกตา (retinal detachment)
พยาธิสภาพของสมองส่วนท้าย occipital lobe
เกิดอาการตาบอด (cortical blindness)
รก และมดลูก (placenta and uterus)
การหดรัดตัวของหลอดเลือด spiral arteriole ใน decidual ร่วมกับมี acute atherosis
ทำให้หลอดเลือดตีบตัน ปริมาณเลือดที่ไหลผ่านระหว่างรกและมดลูก (uteroplacental perfusion) ลดลง
การแตกทำลายของเม็ดเลือดและการจับตัวของ เกล็ดเลือด
เกิดการตายของเนื้อรกและผนังมดลูก การทำหน้าที่ของรกเสื่อมลง
ภาวะ
uteroplacental insufficiency
เกิดภาวะทารกโตช้าในครรภ์
กรณีที่ทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจะชักนำให้เกิด
fetal acidosis
mental retardation
บางรายอาจเกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด เนื่องจาก placental ischemia และ infarction
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สตรีที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน (nulliparity)
ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด และเคยผ่านการคลอดมาแล้ว
การตั้งครรภ์แฝด ครรภ์แฝดที่มีจำนวนทารกมาก จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าครรภ์แฝดสอง
ประวัติพันธุกรรมครรภ์เป็นพิษในครอบครัวของสตรีตั้งครรภ์ โดยเฉพาะมารดา พี่สาว น้องสาว เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น
ประวัติมีความเจ็บป่วยทางอายุรกรรมที่เกี่ยวข้อง
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง
โรคเบาหวาน (type I หรือ type II)
ภาวะโภชนาการบกพร่อง
ขาดวิตามินซี
วิตามินอ
preeclampsia และ eclampsia
ภาวะ preeclampsia
อาการแสดงรตรวจพบทางห้องปฏิบัติการต่อไปนี้ ตั้งแต่ 1 อย่างขึ้นไป
Systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ Diastolic BP ≥ 110 mmHg
น้ำท่วมปอด
Eclampsia คือ มีอาการชักแบบชักทั้งตัว
เลือดออกในสมอง
ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง
อาการ
ภาวะไตวาย serum creatinine ≥ 1.1 mg/dL
การทำงานของตับผิดปกติ ระดับเอนไซม์ AST และ/หรือ ALT สูงกว่า 70 IU/L หรือมากกว่า 2 เท่าของค่าเดิม
เกล็ดเลือดต่ำ มี platelet count < 100,000 ต่อไมโครลิตร
ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
HELLP syndrome ภาวะแทรกซ้อน หรือเป็นกลุ่มอาการที่แสดงถึงความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษไม่นิยมใช้อาการหรืออาการแสดงในการวินิจฉัย แต่ใช้เฉพาะผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น
เกณฑ์การวินิจฉัย preeclampsia
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับโปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria) ใช้วิธีตรวจวัดโดยการเก็บ
ปัสสาวะ 24 ชั่วโมงเป็นหลัก
ยกเลิกเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (severe preeclampsia) โดยใช้เกณฑ์ proteinuria มากกว่า 5 กรัมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง รวมทั้งยกเลิกเกณฑ์ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (fetal growth restriction) ร่วมในการประเมินเพื่อวินิจฉัย
ภาวะ Eclampsia
ระยะของการชัก
ระยะก่อนชัก (Premonitoring stage)
อาการแสดงบอกล่วงหน้า (aura) เช่น กระสับกระส่าย ตามองนิ่งอยู่กับที่ ศีรษะหมุนไปด้านหนึ่งจนตึง และรูม่านตาขยาย
ระยะเริ่มแรกของอาการชัก (Stage of invasion)
อาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า
และมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที
ระยะชักเกร็ง (Stage of contraction หรือ tonic stage)
อาการเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ลำตัวเหยียด ศีรษะหงายไปด้านหลัง มือกำแน่น แขนงด ขาบิดเข้าด้านใน
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 15-10 วินาที
ระยะชักกระตุก (Stage of convulsion หรือ clonic stage)
การกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอย่างแรงอาจกัดลิ้นบาดเจ็บ มีน้ำลายฟูมปาก ใบหน้าบวมสีม่วง ตาแต้มเลือด
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที
ระยะหมดสติ (coma หรือ unconscious)
เกิดภายหลังการชักกระตุก นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพหมดแรง อาจมีอาการหมดสติ
ระยะนี้ใช้เวลาต่างกันไปในแต่ละราย หากไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการชักซ้ำได้อีกในเวลาที่ถี่ขึ้น
ผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
รกลอกตัวก่อนกำหนด
เลือดแข็งตัวผิดปกติ(DIC)
หัวใจขาดเลือด
ไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง
เลือดออกในสมอง (cerebral henorrhage)
เกล็ดเลือดต่ำ
หลอดเลืออุดตัน (deep venous thrombosis)
ผลกระทบต่อทารก
ทารกโตช้าในครรภ์
ขาดออกซิเจน เลือดเป็นกรด
ทารกคลอดก่อนกำหนด
แท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
ความดันโลหิตสูง
โรคไต
ประวัติอาการและอาการแสดงของภาวะ preeclampsia
ปวดศีรษะ
เจ็บใต้ชายโครงขวา
การตรวจร่างกาย
การประเมินความดันโลหิต
การประเมินระดับรีเฟล็กซ์ (grading reflexes) มี 5 ระดับคะแนน
ระดับ 0 = ไม่มี reflex หรือ ไม่มีการตอบสนอง
ระดับ 1 = มี reflex ลดลงหรือน้อยกว่าปกติ
ระดับ 2 = มี reflex ปกติ
ระดับ 3 = มี reflex ไวกว่าปกติ บ่งชี้ว่าอาจมีภาวะโรค
ระดับ 4 = มี reflex ไวมาก hyperactive มีการชักกระตุก บ่งชี้ว่ามีภาวะโรค
การประเมินอาการบวมระดับของอาการบวม มี 4 ระดับ
1+ = บวมเล็กน้อยบริเวณเท้าและหน้าแข้ง
2+ = บวมที่ขาทั้ง 2 ข้างบริเวณ lower extremities ค่อนข้างมาก
3+ = บวมชัดเจนบริเวณใบหน้า มือ ผนังหน้าท้องส่วนล่างและบริเวณ sacrum
4+= บวมชัดเจนทั่วทั้งตัว มีascites เนื่องจากมีการสะสมของน้ำบริเวณ peritoneal
cavity
ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม (pitting edema) มี 4 ระดับ
1+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 2 มิลลิเมตรและหายไปอย่างรวดเร็ว
2+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 4 มิลลิเมตรและหายไปภายใน 10-15 วินาที
3+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 6 มิลลิเมตรและหายไปใช้เวลา > 1 นาที
4+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 8 มิลลิเมตรและหายไปใช้เวลา 2-3 นาที
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก
ค่าน้อยกว่า 19.8 ถือว่าน้ำหนักตัวน้อย
ค่าระหว่าง 19.8 - 26.00 น้ำหนักปกติ
ค่าระหว่าง 26.00 – 29.00 น้ำหนักตัวมาก
ค่ามากกว่า 29.00 เป็นกลุ่มอ้วน (obese)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC
platelet count
liver function test
renal functiontest
cogulation profile
การตรวจพิเศษ การตรวจพิเศษเพื่อทำนายการเกิด preeclampsia
Angiotensin sensitivity test เป็นการทดสอบโดยฉีดสาร angiotensin II เข้าทางหลอดเลือดดำ และวัดระดับความดันโลหิต
Roll over test เป็นการทดสอบที่ทำเมื่ออายุครรภ์อยู่ระหว่าง 28-32 สัปดาห์วัดความดันโลหิตขณะอยู่ในท่านอนตะแคงซ้าย 15 นาที จากนั้นให้เปลี่ยนมาอยู่ในท่านอนหงายนาน 1 นาที ถ้าค่า diastolic pressure ขณะนอนหงายสูงกว่าขณะนอนตะแคงซ้าย 20 mmHg หรือมากกว่า จะมีพัฒนาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ
Isometric exercise เป็นการทดสอบโดยให้สตรีตั้งครรภ์เกร็งกล้ามเนื้อแขน หาก ความดันโลหิตสูงขึ้นภายหลังการทดสอบ แสดงว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ
Doppler velocimetry เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจการไหลเวียนเลือดของ
หลอดเลือดแดงในมดลูกเพื่อช่วยทำนายผลการตั้งครรภ์ที่ไม่ดี
Specific blood testing
การตรวจหาระดับ angiogenic factors
Mean arterial blood pressure (MAP) ถ้าพบว่ามีค่าเฉลี่ยมากกว่า 90 mmHg. แสดง
ว่าสตรีตั้งครรภ์รายนั้นมีความเสี่ยงสูง
แนวทางการรักษา
การรักษา preeclampsia without severe features
ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ติดตามสังเกตอาการและอาการแสดงทุกวัน
ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ควรตรวจอย่างน้อย 3 วัน หรือตรวจ urine protein
creatinine index
ให้นอนพัก (bed rest) ไม่จำเป็นต้องให้ยากล่อมประสาท
ประเมินความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อประเมินหรือยืนยันอายุครรภ
กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid
เพื่อกระตุ้น fetal lung maturity
ให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึก intake และ output และชั่งน้ำหนักทุก 2 วัน
การรักษา preeclampsia with severe features
ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย
ให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่บนเตียง พักรักษาอยู่บนเตียง (absolute bed rest)
เริ่มให้ยา magnesium sulfate (MgSO4) ทางหลอดเลือดดำทันที เพื่อป้องกันการชัก
ประเมินอาการแสดงของ Mg toxicity เป็นระยะ อย่างน้อยชั่วโมงละครั้ง
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
ประเมินความดันโลหิตทุก 15 นาที จนกว่าจะคงที่ จากนั้นประเมินทุก 1 ชั่วโมง จนกระทั่งคลอด
ส่งตรวจ blood testing
หากได้รับการวินิจฉัยว่ามีลักษณะรุนแรงแล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อยืนยันอายุครรภ์
กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid เพื่อช่วยเสริมการสร้างสาร surfactant ของปอดทารก
หลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะ เนื่องจากมี intravascular volume น้อย และยาอาจ
ทำให้ทารกในครรภ์เกิดภาวะ hypoxia ได้ง่าย
การแก้ไขภาวะ hemoconcentration ควรให้สารน้ำประเภท crystalloid
Preeclampsia with severe features ที่การเจ็บครรภ์คลอด ห้ามให้ยายับยั้งการเจ็บครรภ์คลอด (tocolytic drugs) ในทุกอายุครรภ์
การลดความเจ็บปวด ยาที่ใช้ ได้แก่ Meperidine
(Pethidine®) 50-75 mg. อาจให้ร่วมกับ Promethazine (Phenergan®) 25 mg. ทางหลอดเลือดดำช้า ๆ ให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง
ในการรักษาแบบเฝ้าระวัง ให้ตรวจ NST ทุกวัน หากผลเป็น non-reassuring ให้ทำ BPP และให้ตรวจblood test ทุกวัน หากพบกลุ่มอาการ HELLP ให้ยุติการตั้งครรภ์ทันที
การยุติการตั้งครรภ์ เริ่ม induction ภายหลังจากที่ดูแลรักษาอาการต่างๆ คงที่แล้วโดยการเจาะถุงน้ำคร่ำและให้ oxytocin
การรักษา eclampsia
ควบคุมการชักและป้องกันการชักซ้ำโดยให้ MgSO4 loading dose ตามด้วย maintenance dose ให้ทางหลอดเลือดดำ
หากชักในขณะได้ MgSO4 อยู่ ให้เจาะเลือดเพื่อตรวจหา Mg level ทันที
ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในขณะชักและหลังชัก โดยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง อาจใส่ oral
airway หรือ mouth gag
ติดตามและตรวจสอบอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
ตรวจสอบภาวะ oliguria หรือ anuria โดยคาสายสวนปัสสาวะ และวัดปริมาณปัสสาวะ
ทุกชั่วโมง
ไม่ควรใช้ยา diazepam เนื่องจากจะกดระดับความรู้สึก
Eclampsia ที่มีการเจ็บครรภ์คลอด ห้ามใช้ยา tocolytic drug ในทุกกลุ่มอายุ
เริ่มกระบวนการ augmentation of labor พิจารณาช่วยคลอดด้วยคีมหรือเครื่องดูด
สุญญากาศ
เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด
ให้ magnesium sulfate ต่อไปจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ยาป้องกันการชัก (anticonvulsant)
Magnesium Sulfate (MgSO4)
ใช้รักษาภาวะ preeclampsia ยาออกฤทธิ์ลดการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และออกฤทธิ์ที่ myoneural junction
ยามีฤทธิ์ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด เพิ่มการไหวเวียนเลือดไปเลี้ยงที่มดลูกและไต ทำให้ความดันโลหิตลดลงได้บ้าง แต่ส่งผลให้ความถี่ และความแรงของการหดรัดตัวของมดลูกลดลงด้วย
ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)
Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)
ยาออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดคลายตัวมีผลทำให้ความดันโลหิตลดลง cardiac output มากขึ้น และเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงรกดีขึ้น
Labetalol (Avexor®)
ยาออกฤทธิ์กดทั้ง alpha และ beta adrenergic receptors โดยออกฤทธิ์ยับยั้งระบบประสาท syspathetic ส่วนปลาย มีผลลดความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย
Nifedipine (Adalat®)
เป็นยากลุ่ม calcium channel blocker ออกฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตโดยการป้องกัน calcium เข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานน้อยลง อัตราการเต้นของหัวใจลดลง และออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดส่วนปลายคลายตัว
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features
ดูแลให้นอนพักบนเตียง (bed rest) ในท่านอนตะแคงซ้าย
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
ดูแลให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึกสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย และชั่งน้ำหนัก
ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
ประเมินและให้การประคับประคองสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจอย่างเหมาะสม
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features
ดูแลให้นอนพักบนเตียงอย่างเต็มที่ (absolute bed rest)
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง
บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกในแต่ละวัน
ประเมินอาการนำก่อนการชัก
ดูแลให้ยาป้องกันชัก MgSO4 ตามแผนการรักษา และให้การดูแลภายหลังให้ยา
ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตตามแผนการรักษา
ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ำออกจากร่างกาย โดยให้นอนตะแคงซ้าย บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย
ติดตามประเมินระดับ oxygen saturation ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ (ร้อย
ละ 97)
ดูแลให้ทารกปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน
ดูแลให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงอย่างปลอดภัย
ประคับประคองด้านจิตใจ อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจถึงการดำเนินของโรค ขั้นตอนการรักษาพยาบาล และปลอบโยนให้กำลังใจ
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia
ใส่ oral airway หรือ mouth gag เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้น
จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียง โดยใช้หมอนรองรับรอบด้านเพื่อป้องกันอันตรายจาก
การชัก
ให้ออกซิเจนขณะชัก และภายหลังชัก และประเมินความรุนแรงของการขาดออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับยาระงับชักตามแผนการรักษา
ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง
บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย
สังเกตและบันทึกอาการทางสมอง
สังเกตและบันทึกอาการนำของการชัก ระยะเวลาของการชัก ระยะเวลาที่หยุดหายใจ ระดับความรู้สึกตัว และพฤติกรรมของสตรีตั้งครรภ์หลังอาการชัก
รายงานแพทย์เมื่อมีอาการนำของการชักหรือขณะชัก และดูแลให้ได้รับยาระงับการชักตามแผนการรักษา
ให้งดอาหารและน้ำตามแผนการรักษา
จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ และลดสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชัก
ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เป็นระยะ
เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อคลอดตามสถานการณ์
ดูแลป้องกันการชักซ้ำภายหลังคลอด
ให้การดูแลป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ดูแลทารกแรกเกิด ซึ่งอาจมีภาวะขาดออกซิเจน คลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย