ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy)

พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

ความหมายของภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension) หมายถึง ภาวะที่ค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัว (systolic BP)อย่างน้อย 140 mmHg. หรือค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจคลายตัว (diastolic BP) อย่างน้อย 90 mmHg.

ภาวะความดันโลหิตสูงหลังคลอด (postpartum hypertension) หมายถึง สตรีที่มีความดันโลหิตปกติขณะตั้งครรภ์ (normotensive gestation) แล้วมีความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอด ถึง 6 เดือนหลังคลอด จากนั้นความดันโลหิตกลับสู่ปกติในปลายปีแรก

สาเหตุและพยาธิกำเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

แนวทางการรักษา

ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

  1. ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
    (chronic/ preexisting hypertension)
  1. ครรภ์เป็นพิษหรือภาวะครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก (preeclampsia)
  1. ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ (gestational hypertension)
  1. ครรภ์เป็นพิษซ้อนทับกับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (preeclampsia superimposed on chronic hypertension)

ไม่มีโปรตีนในปัสสาวะหรือมีโปรตีนในปัสสาวะน้อยกว่า 300 mg.ในปัสสาวะในปัสสาวะ24ชั่วโมง

ความดันโลหิตกลับสู่ระดับปกติภายใน12สัปดาห์หลังคลอด

ภาวะความดันโลหิตสูงที่วินิจฉัยได้ครั้งแรกในระหว่างการตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์20สัปดาห์

ความดันโลหิตสูงได้ครั้งแรกหลังอายุครรภ์20สัปดาห์ ความดันโลหิตนั้นยังคงสูงอยู่นานกว่า12สัปดาห์หลังคลอด

ภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือวินิจฉัยได้ก่อนอายุครรภ์20สัปดาห์

มีโปรตีนในปัสสาวะอย่างน้อย 300 มิลลิกรัมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง

ภาวะความดันโลหิตสูงคงอยู่ไม่เกิน12สัปดาห์หลังคลอด

กลุ่มอาการ (syndrome) ของความดันโลหิตที่พบครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์

ความดันโลหิตสูงร่วมกับเกณฑ์การทำงานผิดปกติของอวัยวะสำคัญ (end-organ dysfunction)

สตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เมื่อตั้งครรภ์แล้วพบมีภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน

ปัจจัยเสี่ยง

ภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension: PIH) หมายถึงภาวะความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุจากการตั้งครรภ์ พบในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ

ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ (preclinical หรือ asymptomatic stage)

ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ (clinical stage)

เป็นระยะที่เกิดความผิดปกติที่รกเริ่มในระยะท้ายของไตรมาสแรก และเสร็จสิ้นเมื่ออายุครรภ์ประมาณ18-20สัปดาห์

ในภาวะครรภ์เป็นพิษ จะเกิดความผิดปกติของการฝังตัวของรก (abnormal placentation) มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษ

อาการ และอาการตามระบบต่าง ๆของร่างกายแสดงทางคลินิกที่สำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ภาวะมีโปรตีนในปัสสาวะ

รกที่ขาดออกซิเจนจะมีการหลั่งสารต่างๆออกมาในกระแสเลือด ที่สำคัญคือ proinflammatory และ antiangiogenic factorsทำให้เซลล์บุโพรงหลอดเลือดบาดเจ็บและขาดเลือด

  1. ระบบตับ (hepatic system) การเกิด generalized vasoconstriction ทำให้เกิด hepatic ischemia และส่งผลให้ ระดับเอนไซม์ต่างๆในตับสูงขึ้นในบางรายอาจมีภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ
  1. ระบบประสาท (neurological system) เยื่อบุหลอดเลือดถูกทำลาย อาจทำให้เกิดการแตกของหลอดเลือดฝอยมีเลือดออกมในสมองเป็นจุดเลือดเล็ก ๆ หรือเป็นก้อนใหญ่(petechial hemorrhage) และผลจากหลอดเลือดหดเกร็ง (vasospasm)ทำให้เกิด cortical brain spasm และเกิด cerebral ischemia ส่งผลให้มีสมองบวมพบอาการปวดศีรษะ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
  1. ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด (hematologic and coagulation system) ภาวะเกล็ดเลือดต่ำเฉียบพลัน กลไกทางระบบภูมิคุ้มกัน หรือเกล็ดเลือดไปจับตัวเกาะกลุ่มตามเยื่อบุหลอดเลือดที่ถูกทำลายหรือพยาธิสภาพในหลอดเลือดอาจทำให้เกิด intravascular hemolysis คือมีการแตกและการทำลายเม็ดเลือดแดง
  1. ระบบการมองเห็น (visual system) การหดรัดตัวของหลอดเลือดที่จอตาทำให้เกิดretinal edemaเกิดอาการตาพร่ามัวการมองเห็นผิดปกติ บางรายที่มีพยาธิสภาพของสมองส่วนท้าย occipital lobe อาจทำให้เกิดอาการตาบอด(cortical blindness)ได้
  1. ระบบหัวใจและปอด (cardiopulmonary system) ภาวะครรภ์เป็นพิษที่รุนแรงจะมี plasma albumin ลดลงมาจากเกิด proteinuria และการรั่วของ capillaries นี้ทำให้ colloid osmotic pressure ลดลงมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมปอด และสารน้ำในระบบไหลเวียนโลหิตจะรั่วออกไปคั่งตามเนื้อเยื่อต่างๆ การได้รับสารน้ำประมาณมากอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดได้ง่าย การเปลี่ยนแปลงต่างๆนี้จะส่งผลให้เกิดการทำงานของหัวใจล้มเหลวได้
  1. รก และมดลูก (placenta and uterus)การหดรัดตัวของหลอดเลือด spiral arteriole ใน decidual ร่วมกับมี acute atherosis ทำให้หลอดเลือดตีบตันปริมาณเลือดที่ไหลผ่านระหว่างรกและมดลูก (uteroplacental perfusion) ลดลงและมีการแตกทำลายของเม็ดเลือดและการจับตัวของเกล็ดเลือดทำให้เกิดการตายของเนื้อรกและผนังมดลูก การทำหน้าที่ของรกเสื่อมลงมีผลให้เกิดภาวะทารกโตช้าในครรภ์
  1. ระบบไต (renal system) มีการทำลายของชั้นเยื่อบุหลอดเลือดในไตส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะลดลง และระดับ serum uric acid และ creatinineเพิ่มขึ้น เกิดการซึมผ่านของโปรตีน albumin และ globulinออกทางปัสสาวะทำให้เกิดการคั่งของน้ำในเนื้อเยื่อ interstitial space และเกิดอาการบวมน้ำของอวัยวะต่างๆภาวะนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดทั้งก่อนคลอดและหลังคลอด

5.ดัชนีมวลกายตั้งแต่30kg/m2ขึ้นไปหรืออ้วน

6.การตั้งครรภ์แฝด

4.สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่35ปีขึ้นไปทั้งสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด และเคยผ่านการคลอดมาแล้ว

7.ประวัติพันธุกรรมครรภ์เป็นพิษในครอบครัวของสตรีตั้งครรภ์โดยเฉพาะมารดา พี่สาว น้องสาว เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น

3.ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย10ปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

8.ประวัติมีความเจ็บป่วยทางอายุรกรรมที่เกี่ยวข้อง ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดโรคภูมิแพ้ตัวเอง

2.ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน

9.ความผิดปกติทางสูติกรรม เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (polycystic ovarian syndrome: PCOS)

1.สตรีที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน (nulliparity)

10.ภาวะโภชนาการบกพร่อง

อาการและอาการแสดง

ผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารก

ภาวะ preeclampsia

ภาวะ Eclampsia

อาการแสดง

อาการ

Eclampsia คือ มีอาการชักแบบชักทั้งตัว

เลือดออกในสมอง

น้ำท่วมปอด

ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง

Systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ Diastolic BP ≥ 110 mmHg.

  1. เกล็ดเลือดต่ำ มี platelet count < 100,000 ต่อไมโครลิตร
  1. ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
  1. การทำงานของตับผิดปกติ ระดับเอนไซม์ AST และ/หรือ ALT สูงกว่า 70 IU/L
  1. HELLP syndrome
  1. ภาวะไตวาย serum creatinine ≥ 1.1mg/dL.หรือปริมาณปัสสาวะออกน้อยกว่า500มิลลิลิตร ใน24ชั่วโมงหลังจากได้รับน้ำอย่างเพียงพอ

Hemolysis (H) คือ การแตกหรือสลายของเม็ดเลือดแดง
serum lactate dehydrogenase (LDH) > 600 IU/L และ/หรือมี schistocytes ใน peripheral blood smear และ/หรือ serum billirubin ≥ 1.2 mg/dL

Elevated liver enzymes (EL) คือ การเพิ่มของเอนไซม์ตับ
serum AST สูงกว่า 70 หรือ ALT สูงกว่า 50 IU/L

Low platelet (LP) คือเกล็ดเลือดต่ำ
platelet cout ≤ 100,000 ต่อไมโครลิตร

ระยะชักเกร็ง (Stage of contraction หรือ tonic stage)

ระยะชักกระตุก (Stage of convulsion หรือ clonic stage)

ระยะเริ่มแรกของอาการชัก (Stage of invasion)

ระยะหมดสติ (coma หรือ unconscious)

ระยะก่อนชัก (Premonitoring stage)

มีอาการหรืออาการแสดงบอกล่วงหน้า (aura)
เช่น กระสับกระส่าย ตามองนิ่งอยู่กับที่ ศีรษะหมุนไปด้านหนึ่งจนตึง และรูม่านตาขยาย

มีอาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที

มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ศีรษะหงายไปด้านหลังมือกำแน่นและตาถลน ถ้ากล้ามเนื้อที่ช่วยการหายใจหดรัดตัวมาก อาจมีกาหยุดหายใจระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 15-10วินาที

จะมีการกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอย่างแรง หนังตาจะปิดและเปิดสลับกันอย่างรวดเร็วการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อจะค่อยๆเบาลงจนหายไป ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที

เกิดภายหลังการชักกระตุก นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพหมดแรงอาจมีอาการหยุดหายใจเป็นบางครั้ง

ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ

ผลกระทบต่อทารก

น้ำท่วมปอดหรือปอดบวมน้ำ

เลือดออกในสมอง

ไตวายเฉียบพลัน

ตับวาย

หัวใจล้มเหลว

ตาบอดชั่วคราวได้

หัวใจขาดเลือด

หลอดเลืออุดตัน

เลือดแข็งตัวผิดปกต

อันตรายจากการชัก

รกลอกตัวก่อนกำหนด

เกล็ดเลือดต่ำ

แท้งหรือเสียชีวิตในครรภแ

ทารกคลอดก่อนกำหนด

ทารกตายในครรภ์เฉียบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด

ขาดออกซิเจน

ทารกโตช้าในครรภ

การประเมินและวินิจฉัย

การตรวจร่างกาย

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

การซักประวัติ

การตรวจพิเศษ

ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

ประวัติอาการและอาการแสดงของภาวะ preeclampsia

การประเมินระดับรีเฟล็กซ์ (grading reflexes)

การประเมินอาการบวม
สตรีตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะมีอาการบวมที่เรียกว่าphysiologic edema มักจะบวมที่ขา เท้า
การบวมทั่วไปหรือน้ำคั่งทั่วร่างกาย เช่น บวมที่หน้า มือ การบวมในลักษณะนี้มักจะเกิดร่วมกับ preeclampsia

การประเมินความดันโลหิต สามารถประเมินภาวะความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์

ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม (pitting edema)

CBC, platelet count, liver function test, renal functiontest และตรวจ cogulation profile

Isometric exercise
ทดสอบโดยให้สตรีตั้งครรภ์เกร็งกล้ามเนื้อแขน หากความดันโลหิตสูงขึ้นภายหลังการทดสอบแสดงว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ

Doppler velocimetry
ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดแดงในมดลูก

Roll over test
วัดความดันโลหิตค่า diastolic pressure ขณะนอนหงายสูงกว่าขณะนอนตะแคงซ้าย 20 mmHg หรือมากกว่าผลเป็นpositiveจะมีพัฒนาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ

Specific blood testing
การตรวจหาระดับ angiogenic factors, placental growth factor (PIGF), soluble fms-like tyrosine kinase-1 receptor (sFlt-1) จากเลือดมารดา

Angiotensin sensitivity test
ระดับความดันโลหิต ในสตรีที่มีโอกาสเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ จะพบว่าความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

Mean arterial blood pressure (MAP)
ค่าเฉลี่ยมากกว่า 90 mmHg. แสดงว่าสตรีตั้งครรภ์รายนั้นมีความเสี่ยงสูง

การรักษา preeclampsia with severe features

การรักษา eclampsia

การรักษา preeclampsia without severe features
การนอนพัก ดูแลควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น เฝ้าระวัง
การเกิด sever features

bed rest ไม่จำเป็นต้องให้ยากล่อมประสาท

ประเมินความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง

ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ24ชั่วโมงควรตรวจอย่างน้อย3วัน

ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อประเมินหรือยืนยันอายุครรภ์ แยกโรค molar pregnancy และ fetal hydrops

ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด

กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid เพื่อกระตุ้น fetal lung maturity

ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

ให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึก intakeและoutput และชั่งน้ำหนักทุก 2 วัน

การวินิจฉัยว่ามีลักษณะรุนแรงแล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจโปรตีนในปัสสาวะ24ชั่วโมง

ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง

ส่งตรวจ blood testing

อายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี preterm labor พิจารณาให้ glucocorticoid เพื่อช่วยเสริมการสร้างสาร surfactant ของปอดทารก

ประเมินความดันโลหิตทุก 15 นาที จนกว่าจะคงที่ จากนั้นประเมินทุก1ชั่วโมงจนกระทั่งคลอด

หลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะ

ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.

การแก้ไขภาวะ hemoconcentration ควรให้สารน้ำประเภท crystalloid

ประเมินอาการแสดงของ Mg toxicity เป็นระยะ

Preeclampsia with severe features ที่การเจ็บครรภ์คลอด ห้ามให้ยายับยั้งการเจ็บครรภ์คลอด (tocolytic drugs) ในทุกอายุครรภ์

การลดความเจ็บปวด ยาที่ใช้ ได้แก่ Meperidine (Pethidine®) 50-75 mg. อาจให้ร่วมกับPromethazine (Phenergan®) 25 mg.ให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง

ตรวจ NST ทุกวัน หากผลเป็น non-reassuring ให้ทำ
BPP และให้ตรวจ blood test ทุกวัน หากพบกลุ่มอาการ HELLP ให้ยุติการตั้งครรภ์ทันที

การยุติการตั้งครรภ์ มักเริ่ม induction ภายหลังจากที่ดูแลรักษาอาการต่างๆ คงที่แล้ว

ให้ยา magnesium sulfate (MgSO4) ทางหลอดเลือดดำทันที เพื่อป้องกันการชัก

absolute bed rest

รับไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย

ตรวจสอบภาวะ oliguria หรือ anuria โดยคาสายสวนปัสสาวะ และวัดปริมาณปัสสาวะทุกชั่วโมง

ไม่ควรใช้ยา diazepam เนื่องจากจะกดระดับความรู้สึก

ติดตามและตรวจสอบอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

Eclampsia ที่มีการเจ็บครรภ์คลอด ห้ามใช้ยา tocolytic drug ในทุกกลุ่มอายุ

ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในขณะชักและหลังชัก โดยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง งดน้ำและอาหารทางปากและลดสิ่งกระตุ้น

เริ่มกระบวนการ augmentation of labor พิจารณาช่วยคลอดด้วยคีมหรือเครื่องดูดสุญญากาศ

ให้ยาลดความดันโลหิตเมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.

เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด

หากชักในขณะได้ MgSO4 อยู่ ให้เจาะเลือดเพื่อตรวจหา Mg level ทันที ส่วนในรายที่มีการเจ็บครรภ์คลอดแล้ว ให้ load ซ้ำได้อีก 2-4 g. โดยไม่ต้องรอผล Mg level

ให้ magnesium sulfate ต่อไปจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด

ควบคุมการชักและป้องกันการชักซ้ำโดยให้ MgSO4 loading dose ตามด้วย maintenance dose ให้ทางหลอดเลือดดำ

ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

ยาป้องกันการชัก (anticonvulsant)

ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)

Magnesium Sulfate (MgSO4)

การบริหารยา

ผลข้างเคียง

maintenance dose ด้วย 50% MgSO4 ปริมาณ 10-20 gm. ในสารละลาย 5% D/W 1,000 ml. หยดทางหลอดเลือดดำในอัตรา 2 gm. ต่อชั่วโมง

ควรให้ยาต่ออย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังคลอดหรือจนกระทั่งปัสสาวะออกมากกว่า 100 ml. ต่อ ชั่วโมง

เริ่มให้ loading dose ด้วย 10% MgSO4 ปริมาณ4-6gm.ทางหลอดเลือดดำช้า ๆ นาน15-20นาทีด้วยอัตราไม่เกิน1gm.ต่อนาที

กรณีเกิดการชักซ้ำ ควรให้ MgSO4 ซ้ำทางหลอดเลือดดำ ปริมาณ 2-4 gm. เป็นเวลานาน 5 นาที

MgSO4 ขับออกทางไตกรณีที่หลอดเลือดทั่วร่างกายมีการหดรัดตัวจนปัสสาวะออกน้อยลง อาจทำให้เกิดการสะสมของ magnesium ในกระแสเลือดส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้คือ magnesium toxicity หรือ ภาวะ hypermagnessemia

ผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ อาการร้อนวูบวาบทั้งตัว เซื่องซึมและง่วงนอน มีเหงื่อออกมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง รีเฟล็กซ์ลดลงคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว สับสน ท้องผูก

MgSO4 ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว จึงทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวตามธรรมชาติไม่ดีเมื่อเข้าสู่ระยะคลอดหรือเมื่อต้องการให้ยุติการตั้งครรภ์

ผลข้างเคียงที่เกิดกับทารกแรกเกิดหลังมารดาได้รับยา 2ชั่วโมง ได้แก่ ซึม ความตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่ดี ตัวอ่อนปวกเปียก

Labetalol (Avexor®)

Nifedipine (Adalat®)

Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)

การบริหารยา

ผลข้างเคียง

เริ่มให้ยาครั้งแรกขนาด 5 mg. ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำใน 2 นาทีแล้วประเมินความดันโลหิตทุก 5 นาที หลังฉีด

หลังจากนั้น20นาที หากdiastolic BP >110mmHg ให้ยาซ้ำได้อีก10mg.ทุก20นาทีจนกว่าค่าdiastolic BPอยู่ระหว่าง90-100mmHg ควรระวังไม่ให้diastolic BPลดต่ำกว่า90mmHg.

ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ จุกเสียดยอดอก

การบริหารยา

ผลข้างเคียง

ริ่มให้ยาครั้งแรกที่ขนาด 20 mg. เข้าหลอดเลือดดำช้าๆ นาน 2 นาที แล้ววัดความดันโลหิตซ้ำทุก 10 นาที

หากความดันโลหิตยังไม่ลดให้ซ้ำได้ทุก 10-15 นาที ในขนาด 40, 80, 80, และ 80 mg. ตามลำดับ แต่ขนาดยารวมกันต้องไม่เกิน 220-300 mg.

ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัดจมูก หายใจลำบาก เหนื่อยล้า ปฏิกิริยาภูมิไวเกิน ภาวะหัวใจล้มเหลว

ข้อควรระวัง

ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลุกขึ้น ควรนอนพักอย่างน้อย 3 ชั่วโมงหลังได้รับยา
เฝ้าระวังและติดตามอัตราการเต้นของหัวใจการหายใจ และเฝ้าระวัง neonatal bradycardia ในทารกแรกเกิด

การบริหารยา

ผลข้างเคียง

ไม่ควรให้ยาแบบอมใต้ลิ้น

หากระดับความดันโลหิตยังที่วัดซ้ำยังอยู่ที่ระดับ 140/100 mmHg. ระดับยาที่ได้รับไม่ควรเกิน 120 mg/24 hr.

รูปแบบยารับประทานให้ยาขนาด 10-20 mg.และให้ยาซ้ำได้ทุก 15-30 นาที โดยขนาดยามากที่สุดที่รับได้ต้องไม่เกิน 50 mg.

ข้อควรระวัง

ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น คลื่นไส้ เหงือกอักเสบ ท้องผูก ค่าความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

การใช้ยานี้ในสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 และ 2 เนื่องจากยามี teratogenic effects นอกจากนี้ยายังสามารถผ่านน้ำนมได้

การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features

การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia

การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features

เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น

ดูแลให้รับประทานอาหารธรรมดา ชั่งน้ำหนัก

ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ

ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์

ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง

ประเมินและให้การประคับประคองสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจอย่างเหมาะสม

bed rest ในท่านอนตะแคงซ้าย

สังเกตและบันทึกอาการนำของการชัก ระยะเวลาของการชัก ระยะเวลาที่หยุดหายใจ ระดับความรู้สึกตัว และพฤติกรรมของสตรีตั้งครรภ์หลังอาการชัก

ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตตามแผนการรักษา

ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ำออกจากร่างกายสังเกตอาการบวม ชั่งน้ำหนัก และดูแลการได้รับยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษา

ดูแลให้ยาป้องกันชัก MgSO4 ตามแผนการรักษา และให้การดูแลภายหลังให้ยา

ติดตามประเมินระดับ oxygen saturation ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ

ประเมินอาการนำก่อนการชัก

ดูแลให้ทารกปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน

บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกในแต่ละวัน

ดูแลให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงอย่างปลอดภัย

ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง

ประคับประคองด้านจิตใจ

absolute bed rest ดูแลให้ได้รับยา sedative ตามแผนการรักษา

รายงานแพทย์เมื่อมีอาการนำของการชักหรือขณะชัก และดูแลให้ได้รับยาระงับการชักตามแผนการรักษา

สังเกตและบันทึกอาการทางสมอง

ให้งดอาหารและน้ำตามแผนการรักษา

บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย

จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ และลดสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชัก

ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง

ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เป็นระยะ การหดรัดตัวของมดลูก ความก้าวหน้าของการคลอด และการแตกของถุงน้ำคร่ำ หลังการชัก

ดูแลให้ได้รับยาระงับชักตามแผนการรักษา

เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อคลอดตามสถานการณ์

ให้ออกซิเจนขณะชัก และภายหลังชัก

ดูแลป้องกันการชักซ้ำภายหลังคลอด

จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียงเพื่อป้องกันอันตรายจากการชัก

ให้การดูแลป้องกันการตกเลือดหลังคลอด

ใส่ oral airway หรือ mouth gag เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้นและความสะดวกในการดูดเสมหะและน้ำลาย เพื่อป้องกันการสำลัก

ดูแลทารกแรกเกิด อาจมีภาวะขาดออกซิเจน คลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย