Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy) - Coggle…
ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
(Hypertensive disorders of pregnancy)
ความหมายของภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ภาวะที่ค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัว (systolic BP) อย่างน้อย 140 mmHg. หรือค่าความดันโลหิตช่วงหัวใจคลายตัว (diastolic BP) อย่าง น้อย 90 mmHg.
ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ (gestational hypertension) หมายถึง ภาวะความดัน โลหิตสูงที่วินิจฉัยได้ครั้งแรกในระหว่างการตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (chronic/ preexisting hypertension) หมายถึง ภาวะความดัน โลหิตสูงที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือวินิจฉัยได้ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ เกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ gestational trophoblastic diseases
ครรภ์เป็นพิษ หรือ ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก (preeclampsia) หมายถึง กลุ่มอาการ (syndrome) ของความดันโลหิตที่พบครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะอย่างน้อย 300 มิลลิกรัมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง และภาวะความดันโลหิตสูงคงอยู่ไม่เกิน 12 สัปดาห์หลังคลอด
ครรภ์เป็นพิษซ้อนทับกับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (preeclampsia superimposed on chronic hypertension) หมายถึง สตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เมื่อตั้งครรภ์แล้วพบมี ภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน
ภาวะครรภ์เป็นพิษก่อนระยะชัก (Preeclampsia)
เกณฑ์การวินิจฉัย preeclampsia
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง
ค่าความดันโลหิตที่สูง
การพบ โปรตีนในปัสสาวะ
เกล็ดเลือดต่ำ
การทํางานของไตผิดปกติ
การทํางานของตับผิดปกติ
อาการทางสมอง
อาการทางตา
ภาวะน้ําท่วมปอด
เกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับโปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria)
การตรวจโดย urine dipstick นิยมใช้ในการคัดกรองเบื้องต้นในคลินิกฝากครรภ์ทุกครั้งที่ สตรีตั้งครรภ์มาตรวจครรภ์ แบ่งเป็น 5 ระดับ
Trace =มีเพียงเล็กน้อย(น้อยกว่า300มิลลิกรัม/ลิตร)
+1 = 30 มิลลิกรัม%
+2 = 100 มิลลิกรัม%
+3 = 300 มิลลิกรัม%
+4 = มากกว่า 1000 มิลลิกรัม% (1 กรัม)
ยกเลิกเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (severe preeclampsia) โดยใช้
เกณฑ์ proteinuria มากกว่า 5 กรัมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง รวมทั้งยกเลิกเกณฑ์ทารกเจริญเติบโตช้า ในครรภ์ (fetal growth restriction) ร่วมในการประเมินเพื่อวินิจฉัย
ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclampsia)
ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclampsia) หมายถึงภาวะชักแบบ generalized convulsions หรือ grandmal seizures ที่มีลักษณะเป็นการชักเกร็งแบบชักกระตุก (tonic-clonic) ที่เกิดขึ้นใน preeclampsia หรือ gestational hypertension กิดได้ทั้งในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงไม่มาก ไม่มี proteinuria ไม่มี อาการบวม และ patellar reflexes ปกติ จนถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมาก proteinuria 4+ บวม ทั้งตัว และ deep tendon reflex (DTR) 4+
พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระบบไต (renal system)
จากการที่ปริมาณการไหลเวียนที่ไตลดลง ประกอบกับมีการ ทําลายของชั้นเยื่อบุหลอดเลือดในไต เกิด glomerular capillary endotheliosis ทําให้ glomerular infiltration rate ลดลง ส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะลดลง และระดับ serum uric acid และ creatinine เพิ่มขึ้น เกิดการซึมผ่านของโปรตีน albumin และ globulin ออกทางปัสสาวะ เซลล์ร่างกายที่เสีย โปรตีนจะมีความดันภายในเซลล์ (oncotic pressure) ลดลง ทําให้เกิดการคั่งของน้ําในเนื้อเยื่อ interstitial space และเกิดอาการบวมน้ําของอวัยวะต่าง ๆ ภาวะนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดทั้ง ก่อนคลอดและหลังคลอด
ระบบหัวใจและปอด (cardiopulmonary system)
ในภาวะครรภ์เป็นพิษที่รุนแรงจะมี plasma albumin ลดลง เนื่องมาจากเกิด proteinuria และการรั่วของ capillaries นี้ทําให้ colloid osmotic pressure ลดลง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ําท่วมปอด และสารน้ําในระบบไหลเวียนโลหิต จะรั่วออกไปคั่งตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ (generalized edema) ส่งผลให้ intravascular volume ลดลง เลือดมีความหนืดมากขึ้น (hemoconcentration) มีค่า hematocrit สูงขึ้น
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด
(hematologic and coagulation system)
ทําให้เกิด intravascular hemolysis คือมีการแตกและการ ทําลายเม็ดเลือดแดง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงเคลื่อนผ่านหลอดเลือดที่มีการหดเกร็งและมีขนาดเล็กลง ซึ่งนําไปสู่ภาวะ hemoglobulonemia และ hyperbillirubinemia
ระบบตับ (hepatic system)
การเกิด generalized vasoconstriction ทําให้เกิด hepatic ischemia และส่งผลให้ ระดับเอนไซม์ aspartate aminotransferase (AST) หรือ serum glutamic oxaloacetic transaminase (SGOT) และ alanine aminotransferase (ALT) หรือ serum glutamic pyruvic transaminase (SGPT) สูงขึ้น ในบางรายอาจมีภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติร่วมด้วย
ระบบประสาท (neurological system)
การที่เยื่อบุหลอดเลือดถูกทําลาย อาจทําให้ เกิดการแตกของหลอดเลือดฝอย มีเลือดออกมในสมองเป็นจุดเลือดเล็ก ๆ หรือเป็นก้อนใหญ่ และผลจากหลอดเลือดหดเกร็ง ทําให้เกิด cortical brain spasm และเกิด cerebral ischemia ส่งผลให้มีสมองบวม อาจพบอาการปวด ศีรษะ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
ระบบการมองเห็น (visual system)
จากการหดรัดตัวของหลอดเลือดที่จอตา (retinal arteriolar vasospasm) ทําให้เกิด retinal edema เกิดอาการตาพร่ามัว การมองเห็นผิดปกติ และอาจทําให้เกิดการหลุดของจกตา
รก และมดลูก (placenta and uterus)
การหดรัดตัวของหลอดเลือด spiral arteriole ใน decidual ร่วมกับมี acute atherosis ทําให้หลอดเลือดตีบตัน ปริมาณเลือดที่ไหลผ่านระหว่างรกและ มดลูก (uteroplacental perfusion) ลดลง และมีการแตกทําลายของเม็ดเลือดและการจับตัวของ เกล็ดเลือด ทําให้เกิดการตายของเนื้อรกและผนังมดลูก การทําหน้าที่ของรกเสื่อมลง เกิดภาวะ uteroplacental insufficiency มีผลให้เกิดภาวะทารกโตช้าในครรภ์
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สตรีที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน (nulliparity)
ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด และเคยผ่านการคลอด
ดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 kg/m2 ขึ้นไป หรืออ้วน
การตั้งครรภ์แฝด ครรภ์แฝดที่มีจํานวนทารกมาก จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ประวัติพันธุกรรมครรภ์เป็นพิษในครอบครัวของสตรีตั้งครรภ์ โดยเฉพาะมารดา พี่สาว น้องสาว
ประวัติมีความเจ็บป่วยทางอายุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง
ความผิดปกติทางสูติกรรม เช่น กลุ่มอาการถุงน้ํารังไข่หลายใบ (PCOS) การทําเด็กหลอดแก้ว ภาวะที่รกทํางานมากกว่าปกติ (hyperplacentosis)
ภาวะโภชนาการบกพร่อง เช่น ขาดวิตามินซี วิตามินอี ขาดแคลเซียม เป็นต้น
อาการและอาการแสดง
ภาวะ preeclampsia
อาการแสดง
1.Systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ Diastolic BP ≥ 110 mmHg.
2.น้ําท่วมปอด
5.ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง
3.Eclampsia คือ มีอาการชักแบบชักทั้งตัว
4.เลือดออกในสมอง
อาการ
ภาวะไตวาย serum creatinine ≥ 1.1 mg/dL. หรือปริมาณปัสสาวะออกน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร 24 ชั่วโมง
การทํางานของตับผิดปกติ ระดับเอนไซม์ AST และ/หรือ ALT สูงกว่า 70 IU/L หรือ มากกว่า 2 เท่าของค่าเดิม
เกล็ดเลือดต่ำมี platelet count < 100,000 ต่อไมโครลิตร
HELLP syndrome
ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
2.ภาวะ Eclampsia
ระยะก่อนชัก (Premonitoring stage)
อาจมีอาการแสดงบอกล่วงหน้า (aura) เช่น กระสับกระส่าย ตามองนิ่งอยู่กับที่ ศีรษะหมุนไปด้านหนึ่งจนตึง และรูม่านตาขยาย
ระยะเริ่มแรกของอาการชัก (Stage of invasion)
มีอาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า และมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที
ระยะชักเกร็ง (Stage of contraction หรือ tonic stage)
มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อทั่ว ร่างกาย ลําตัวเหยียด ศีรษะหงายไปด้านหลัง มือกําแน่น
แขนงด ขาบิดเข้าด้านใน และตาถลนใช้เวลาประมาณ 15- 10 วินาที
ระยะชักกระตุก (Stage of convulsion หรือ clonic stage)
จะมีการกระตุกของ กล้ามเนื้อทั่วร่างกายอย่างแรง มีการกระตุกของขากรรไกร อาจกัดลิ้นบาดเจ็บ มีน้ําลายฟูมปาก ใบหน้าบวมสีม่วง ตาแต้มเลือด หนังตาจะปิดและเปิดสลับกันอย่างรวดเร็ว อาจสูญเสียความสามารถ ในการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที
ระยะหมดสติ (coma หรือ unconscious)
เกิดภายหลังการชักกระตุก นอนนิ่งไม่ เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพหมดแรง อาจมีอาการหยุดหายใจเป็นบางครั้ง ทําให้คาร์บอนไดออกไซด์คั่งเกิดภาวะ repiratory acidosis ร่างกายมีการปรับโดยการหายใจเร็ว และอาจมีอาการเขียว
ผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
รกลอกตัวก่อนกําหนด
เลือดแข็งตัวผิดปกติ (DIC)
หัวใจขาดเลือด
หัวใจล้มเหลว จากการมี venous return เพิ่มอย่างรวดเร็ว
ไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง
น้ําท่วมปอด หรือปอดบวมน้ํา
เลือดออกในสมอง (cerebral henorrhage)
เลือดออกในตับจนมีการตายของเซลล์ตับ หรือตับวาย (hepatic failure)
เกล็ดเลือดต่ำ
การหลุดของเรตินา (retina detachment) ทําให้ตาบอดชั่วคราวได้
หลอดเลืออุดตัน (deep venous thrombosis)
อันตรายจากการชัก เช่น สําลักเศษอาหารเข้าหลอดลม กัดลิ้น ข้อเคลื่อน กระดูกหัก เป็นต้น
ผลกระทบต่อทารก
ทารกโตช้าในครรภ์
ขาดออกซิเจน เลือดเป็นกรด
ทารกคลอดก่อนกําหนด
แท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
ทารกตายในครรภ์เฉียบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด
กรณีที่ได้รับการรักษาด้วย magnesium sulfate ในระยะคลอด ซึ่งยานี้ผ่านรกไปสู่ทารก ได้ ทารกแรกเกิดอาจมีรีเฟล็กซ์ และการหายใจไม่ดี
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
1.1 ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเบาหวาน
1.2 ประวัติอาการและอาการแสดงของภาวะ preeclampsia
การตรวจร่างกาย
2.1 การประเมินความดันโลหิต
2.2 การประเมินระดับรีเฟล็กซ์ (grading reflexes)
มี 5 ระดับ
ระดับ 0 = ไม่มี reflex หรือ ไม่มีการตอบสนอง
ระดับ 1 = มี reflex ลดลงหรือน้อยกว่าปกติ
ระดับ 2 = มี reflex ปกติ
ระดับ 3 = มี reflex ไวกว่าปกติ บ่งชี้ว่าอาจมีภาวะโรค
ระดับ 4 = มี reflex ไวมาก hyperactive มีการชักกระตุก บ่งชี้ว่ามีภาวะโรค
2.3 การประเมินอาการบวม ปกติการบวมมักสังเกตเห็นในระยะไตรมาสที่ 3 และส่วนใหญ่
จะปรากฏชัดเจนในระยะ 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอด
ระดับของอาการบวม มี 4 ระดับ ดังนี้
1+ = บวมเล็กน้อยบริเวณเท้าและหน้าแข้ง
2+ = บวมที่ขาทั้ง 2 ข้างบริเวณ lower extremities ค่อนข้างมาก
3+ = บวมชัดเจนบริเวณใบหน้า มือ ผนังหน้าท้องส่วนล่างและบริเวณ sacrum
4+=บวมชัดเจนทั่วทั้งตัว
2.4 ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม (pitting edema) มี 4 ระดับ
1+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 2 มิลลิเมตรและหายไปอย่างรวดเร็ว
2+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 4 มิลลิเมตรและหายไปภายใน 10-15 วินาที
3+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 6 มิลลิเมตรและหายไปใช้เวลา > 1 นาที
4+ = บุ๋มจากผิวหนังประมาณ 8 มิลลิเมตรและหายไปใช้เวลา 2-3 นาที
2.5 ประเมินการเปลี่ยนแปลงของน้ําหนัก
ค่าน้อยกว่า19.8 ถือว่าน้ําหนักตัวน้อย
ค่าระหว่าง 19.8 - 26.00 น้ําหนักปกติ
ค่าระหว่าง 26.00 – 29.00 น้ําหนักตัวมาก
ค่ามากกว่า 29.00 เป็นกลุ่มอ้วน (obese
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ได้แก่ CBC, platelet count, liver function test, renal functiontest และตรวจ cogulation profile
การตรวจพิเศษ
4.1 Angiotensin sensitivity test
เป็นการทดสอบโดยฉีดสาร angiotensin II เข้าทาง IV และวัดระดับความดันโลหิต ในสตรีที่มีโอกาสเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ จะพบว่าความดันโลหิตสูงขึ้น
4.2 Roll over test
เป็นการทดสอบที่ทําเมื่ออายุครรภ์อยู่ระหว่าง 28-32 สัปดาห์ วัดความดันโลหิตขณะอยู่ในท่านอนตะแคงซ้าย 15 นาที จากนั้นให้เปลี่ยนมาอยู่ในท่านอนหงายนาน 1 นาที ถ้าค่า diastolic pressure ขณะนอนหงายสูงกว่าขณะนอนตะแคงซ้าย 20 mmHg หรือมากกว่า หมายถึงผลเป็น positive จะมีภาวะครรภ์เป็นพิษ
4.3 Isometric exercise
เป็นการทดสอบโดยให้สตรีตั้งครรภ์เกร็งกล้ามเนื้อแขน หากความดันโลหิตสูงขึ้นแสดงว่ามีความเสี่ยงเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ
4.4 Doppler velocimetry
เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจการไหลเวียนเลือดของ หลอดเลือดแดงในมดลูก เพื่อช่วยทํานายผลการตั้งครรภ์ที่ไม่ดี ภาวะครรภ์เป็นพิษจาก uterine arteries
4.5 Specific blood testing
เช่น การตรวจหาระดับ angiogenic factors, placental growth factor (PIGF), soluble fms-like tyrosine kinase-1 receptor (sFlt-1) จากเลือดมารดา
4.6 Mean arterial blood pressure (MAP)
ถ้าพบว่ามีค่าเฉลี่ยมากกว่า 90 mmHg. แสดงว่าสตรีตั้งครรภ์รายนั้นมีความเสี่ยงสูง
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ยาป้องกันการชัก (anticonvulsant)
Magnesium Sulfate (MgSO4)
MgSO4 ใช้รักษาภาวะ preeclampsia ยาออกฤทธิ์ลดการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และออกฤทธิ์ที่ myoneural junction โดยการลดการปล่อย acetylcholine เกิดการปิดกั้น neuromuscular transmission ทําให้กล้ามเนื้อคลายตัว เพิ่มการไหวเวียนเลือดไปเลี้ยงที่มดลูกและไต ทําให้ความดันโลหิตลดลงได้บ้าง แต่ส่งผลให้ความถี่ และความแรงของการหดรัดตัวของมดลูกลดลงด้วย
ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)
Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)
ยาออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทําให้หลอดเลือดคลายตัวมีผลทําให้ ความดันโลหิตลดลง cardiac output มากขึ้นเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงรกดีขึ้น
Labetalol (Avexor®)
ยาออกฤทธิ์กดทั้ง alpha และ beta adrenergic receptors โดยออกฤทธิ์ยับยั้งระบบ ประสาท syspathetic ส่วนปลาย มีผลลดความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย
เป็นยาที่ควบคุมความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ได้ดี
Nifedipine (Adalat®)
ออกฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตโดยการป้องกัน calcium เข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ทําให้กล้ามเนื้อหัวใจทํางานน้อยลง อัตราการเต้นของหัวใจลดลง และออกฤทธิ์ทําให้หลอดเลือดส่วนปลายคลายตัว
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features
1.1 bed rest ในท่านอนตะแคงซ้าย
1.2 ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะBPทุก 4 ชั่วโมง
1.3 ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
1.4 เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
1.5 ดูแลให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึกสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย และชั่งน้ําหนัก
1.7 ประเมินและให้การประคับประคองสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจอย่างเหมาะสม
1.6 ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features
2.1absolute bed rest
2.2 ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง
2.3 บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกในแต่ละวัน
2.4 ประเมินอาการนําก่อนการชัก
2.5 ดูแลให้ยาป้องกันชัก MgSO4 ตามแผนการรักษา และให้การดูแลภายหลังให้ยา
2.6 ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตตามแผนการรักษา
2.7 ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ําออกจากร่างกาย โดยให้นอนตะแคงซ้าย บันทึกปริมาณ สาน้ําเข้าและออกจากร่างกาย สังเกตอาการบวม ชั่งน้ําหนัก และดูแลการได้รับยาขับปัสสาวะตาม แผนการรักษา
2.8 ติดตามประเมินระดับ oxygen saturation ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
2.9 ดูแลให้ทารกปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน
2.10 ดูแลให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงอย่างปลอดภัย
2.11 ประคับประคองด้านจิตใจ
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia
3.1 ใส่ oral airway หรือ mouth gag เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้นและความสะดวกในการดูด เสมหะและน้ําลาย เพื่อป้องกันการสําลัก
3.2 จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียง โดยใช้หมอนรองรับรอบด้าน เพื่อป้องกันอันตรายจากการชัก
3.3 ให้ออกซิเจนขณะชัก และภายหลังชัก
และประเมินความรุนแรงของการขาดออกซิเจน
3.4 ดูแลให้ได้รับยาระงับชักตามแผนการรักษา
3.5 ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง
3.6 บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย
3.7 สังเกตและบันทึกอาการทางสมอง ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัว ขนาดของ pupil และการ ตอบสนองต่อแสง การเคลื่อนไหวของลูกตา
รวมทั้ง motor และ sensory function
3.8 สังเกตและบันทึกอาการนําของการชัก ระยะเวลาของการชัก ระยะเวลาที่หยุดหายใจ ระดับความรู้สึกตัว และพฤติกรรมของสตรีตั้งครรภ์หลังอาการชัก
3.9 รายงานแพทย์เมื่อมีอาการนําของการชักหรือขณะชัก และดูแลให้ได้รับยาระงับการชักตามแผนการรักษา
3.10 ให้งดอาหารและน้ําตามแผนการรักษา
3.11 จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ และลดสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชัก
3.12 ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เป็นระยะ การหดรัดตัวของมดลูก ความก้าวหน้าของการคลอด และการแตกของถุงน้ําคร่ำหลังการชัก
3.13 เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อคลอดตามสถานการณ์
เช่น การคลอดทางช่องคลอด ผ่าตัดคลอด
3.14 ดูแลป้องกันการชักซ้ำภายหลังคลอด
3.15 ให้การดูแลป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
3.16 ดูแลทารกแรกเกิด ซึ่งอาจมีภาวะขาดออกซิเจน คลอดก่อนกําหนด หรือน้ําหนักแรกน้อย