Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4 การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรมขณะตั้งครรภ์ -…
บทที่ 4 การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรมขณะตั้งครรภ์
4.2 ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy)
เป็นภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรมที่รุนแรงโดยพบได้ร้อยละ 5-10 ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด
ส่งผลให้เกิดอัตราทุพพลภาพ การเสียชีวิตของทั้งมารดาและทารกในครรภ์
เป็น 1 ใน 3 สาเหตุหลักของการตายของมารดาทั่วโลก
เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
เกิดผลกระทบระยะยาวของภาวะครรภ์เป้นพิษต่อสตรีคือเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ระดับความดันโลหิตในสตรีตั้งครรภ์
ระดับความดันโลหิตในสตรีตั้งครรภ์จะต่ำกว่าขณะที่ไม่ตั้งครรภ์
ต่ำสุดในระยะไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
จากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 จนกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกับขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
การลดต่ำลงของความดันโลหิตระหว่างตั้งครรภ์เกิดจาก vascular tone ลดลง เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จึงทำให้เกิด low resistance ในระบบไหลเวียน
อิริยาบถขณะวัดความดันมีผลต่อความดันโลหิต ขณะนั่งความดันจะสูงสุด และต่ำสุดเมื่อนอนตะแคง
ภาวะครรภ์เป็นพิษก่อนระยะชัก (Preeclampsia)
ภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นกลุ่มอาการที่เกิดเฉพาะกับการตั้งครรภ์ (pregnancy specific syndrome)
ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclampsia)
ภาวะชักแบบ generalized convulsions หรือ grandmal seizures ที่มีลักษณะเป็นการชักเกร็งแบบชักกระตุก (tonic-clonic) ที่เกิดขึ้นใน preeclampsia หรือ gestational hypertension
อุบัติการณ์ของการชักเกิดขึ้นได้ทุกระยะของการตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะ 48-72 ชั่วโมงหลังคลอด
ภาวะชักนี้เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงจนถึงอาการรุนแรงมาก
การชักอาจเกิดได้ในขณะหลับและไม่มีสิ่งกระตุ้น และเกิดการชักซ้ำได้หากไม่ได้รับการรักษา
สาเหตุของการชักยังไม่ทราบแน่ชัด อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
สารโมเลกุลเหล่านี้กระตุ้นให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการชักได้
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นภายหลังการชัก
ภาวะขาดออกซิเจน สมองขาดออกซิเจน (hypoxic encephalopathy) เลือดเป็นกรด เลือดออกในสมอง ปอดอักเสบจากการสำลัก (aspirate pneumonia) และการบาดเจ็บจากการชัก โดยอาการนำก่อนชักอาจได้แก่ ปวดศีรษะมาก (throbbing) ปวดบริเวณหน้าผากหรือท้ายทอย ตาพร่ามัว อาเจียน รีเฟล็กซ์ไวเกิน (hyperreflexia) และปวดใต้ชายโครงขวารุนแรง หรือจุกแน่นใต้ลิ้นปี่
สาเหตุและพยาธิกำเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ (preclinical หรือ asymptomatic stage) เป็นระยะที่เกิดความผิดปกติที่รก
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ (clinical stage)
พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระบบไต (renal system)
ระบบหัวใจและปอด (cardiopulmonary system)
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด (hematologic and coagulation system)
ระบบตับ (hepatic system)
ระบบประสาท (neurological system)
ระบบการมองเห็น (visual system)
รก และมดลูก (placenta and uterus)
การรักษา preeclampsia without severe features
การนอนพัก
ดูแลควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น
เฝ้าระวังการเกิด sever features
ทำให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปจนครบกำหนดคลอด
การรักษา preeclampsia with severe features
การป้องกันการชัก
ควบคุมความดันโลหิต
ยุติการตั้งครรภ์
การรักษา eclampsia
ควบคุมการชัก
แก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนและความเป็นกรดในร่างกาย
ควบคุมความดันโลหิต
ยุติการตั้งครรภ์เมื่อควบคุมอาการชักได้แล้ว
ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)
2.1 Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)
2.2 Labetalol (Avexor®)
2.3 Nifedipine (Adalat®)
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features
Bed rest ในท่านอนตะแคงซ้าย
ประเมิน V/S โดยเฉพาะ BP ทุก 4 hr.
ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจ lab และการตรวจพิเศษ
เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
ดูแลให้ regular diet, I&O และชั่งน้ำหนัก
ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
Psychological support
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features
ประเมิน V/S โดยเฉพาะ BP ทุก 1 ชั่วโมง
บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกในแต่ละวัน
ประเมินอาการนำก่อนการชัก เช่น อาการปวดศีรษะ ตาพร่าลาย เจ็บบริเวณลิ้นปี่ เป็นต้น
ดูแลให้ยาลด BP ตามแผนการรักษา
ประเมิน V/S ทุก 5-15 นาที จนครบ ½ ชั่วโมง โดยเฉพาะ PR, RR, BP
หาก BP ลดต่ำลงมาก ให้รายงานแพทย์ โดยเฉพาะ diastolic BP ไม่ต่ำกว่า 90-100 mmHg. เพราะจะทำให้การไหลเวียนโลหิตของมดลูกและรกไม่เพียงพอ
หลีกเลี่ยงการสวนอุจจาระ และ PV
สังเกตอาการนำของการชัก และเตรียมอุปกรณ์ CPR ได้แก่ เครื่องดูดเสมหะ เครื่องช่วยหายใจ ออกซิเจน และอื่น ๆ
ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ำออกจากร่างกาย: นอนตะแคงซ้าย บันทึก I&O Obs.บวม ชั่งwt. และดูแลการได้รับ diuretic ตามแผนการรักษา
ติดตามประเมินระดับ O2 sat. ดูแลให้ได้รับ O2อย่างเพียงพอ (ร้อยละ 97)
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia
ใส่ oral airway หรือ mouth gag เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้นและความ
สะดวกในการดูดเสมหะและน้ำลาย เพื่อป้องกันการสำลัก
จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียง โดยใช้หมอนรองรับรอบด้าน เพื่อป้องกัน
อันตรายจากการชัก
ให้ออกซิเจนขณะชัก และภายหลังชัก และประเมินความรุนแรงของการขาด
ออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับยาระงับชักตามแผนการรักษา
ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง
บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย
สังเกตและบันทึกอาการทางสมอง : ระดับความรู้สึกตัว ขนาดของ pupil และการตอบสนองต่อแสง การเคลื่อนไหวของลูกตา รวมทั้ง motor และ sensory function
สังเกตและบันทึกอาการนำของการชัก: ระยะเวลาของการชัก ระยะเวลาที่หยุดหายจ ระดับความรู้สึกตัว และพฤติกรรมหลังอาการชัก
รายงานแพทย์เมื่อมีอาการนำของการชักหรือขณะชัก และดูแลให้ได้รับยาระงับการชักตามแผนการรักษา
ให้ NPO ตามแผนการรักษา
จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ และลดสิ่งกระตุ้นการชัก
ประเมิน FHR เป็นระยะ UC ความก้าวหน้าของการคลอด และการแตกของถุงน้ำคร่ำ หลังการชัก
เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อคลอดตามสถานการณ์ เช่น การคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการณ์ทางช่องคลอด หรือการผ่าตัดคลอด
ดูแลป้องกันการชักซ้ำภายหลังคลอด
ให้การดูแลป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ดูแลทารกแรกเกิด ซึ่งอาจมีภาวะขาดออกซิเจน คลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย