Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด, 1, cats - Coggle…
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต (Hypertensive crisis)
:red_flag:Target organ damage (TOD) หมายถึง ความผิดปกติที่เกิดแก่อวัยวะในร่างกายจากความดันโลหิตสูง
:red_flag:Cardiovascular disease (CVD) หมายถึง โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคของหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่ โรคหัวใจล้มเหลว
:red_flag:Hypertensive urgency คือ ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการของอวัยวะเป้าหมายถูกทำลาย ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก
:red_flag:Hypertensive emergency หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 มม.ปรอท ร่วมกับมีการทำลายของอวัยวะเปsาหมาย
:red_flag:Hypertensive crisis หรือ Hypertensive emergency หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงอย่างเฉียบพลันสูงกว่า 180/120 มม.ปรอท
สาเหตุ
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง
Exacerbation of chronic hypertension
Acute or chronic renal disease
อาการและอาการแสดง
hypertensive encephalopathy :<3:
สับสน
คลื่นไส้
การมองเห็นผิดปกติ
อาเจียน
ปวดศรีษะ
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า
กล้ามเนื้อหัวใจตาย
น้ำท่วมปอด
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่
การซักประวัติ
โรคประจำตัว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง
ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา
ผลข้างเคียงของยาที่ใช้
การสูบบุหรี่
ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ
น้ำหนัก
เส้นรอบเอว
ส่วนสูง
ดัชนีมวลกาย
ตรวจหาความผิดปกติที่เกิดจาก TOD
แขนขาชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีก
ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ
มองเห็นไม่ชัดหรือตามัวชั่วขณะ
ตรวจจอประสาทตา
หมดสติ
ถ้าพบ Papilledema ช่วยประเมินภาวะ increased intracranial pressure
Chest pain
cotton-wool spots and hemorrhages
oliguria or azotemia
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
CBC, Creatinine, eGFR, อัลบูมินในปัสสาวะ, 12-lead ECG และ chest X-ray
การรักษา
ให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
vasodilator, adrenergic blocker, calcium channel blocker, angiotensin-converting enzyme inhibitor
การพยาบาล
รักษาด้วย short-acting intravenous antihypertensive agents ได้แก่ sodium nitroprusside
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม
ในระหว่างได้รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยาโดยติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิด
เพื่อป้องกันการลดลงของความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษา
เพื่อควบคุมความดันโลหิต และเหตุผลที่ต้องติดอุปกรณ์ที่ใช้เฝ้าระวังต่างๆ
ในระยะเฉียบพลัน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ ได้แก่
neurologic, cardiac, and renal systems
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ
วิตกกังวล
พร;องความร
Cardiac dysrhythmias
Atrial fibrillation (AF)
ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว เกิดจากจุดปล่อยกระแสไฟฟ้า (ectopic focus) ใน atrium
ส่งกระแสไฟฟ้าออกมาถี่และไม่สม่ำเสมอและไม่ประสานกัน อัตราการเต้นของ atrial มากกว่า 350 ครั้ง/นาที อัตราการเต้นของ ventricle ขึ้นอยู่กับคลื่นไฟฟ้าจาก atrium ที่สามารถผ่านลงมาที่ ventricle
ถ้าอัตราการเต้นของ ventricle 60-100 ครั้ง/นาที เรียกว่า controlled response
ถ้าอัตราการเต้นของ ventricle มากกว่า100 ครั้ง/นาที เรียกว่า rapid ventricular response
สาเหตุ
พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก
ภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery), hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง
เหนื่อยเวลาออกแรง
คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
ใจสั่น
อ่อนเพลีย
การพยาบาล
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทำ Cardioversion
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอ แขนและขา
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษา
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation)
ประเภทของ AF
Persistent AF หมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ด้วยการรักษาด้วยยา หรือการช็อคไฟฟ้า
Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วัน โดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า
Permanent AF หมายถึง AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปี โดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Recurrent AF หมายถึง AF ที่เกิดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
Lone AF หมายถึง AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
Ventricular tachycardia (VT)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิด
การเต้นของหัวใจในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ำเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที
VT อาจเปลี่ยนเป็น VF ได้ในทันทีและทำให้เสียชีวิต
ประเภทของ VT แบ่งเป็น
Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30 วินาที
Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30 วินาที
Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
อาการและอาการแสดง
ความดันโลหิตต่ำ
หน้ามืด
ใจสั่น
เจ็บหน้าอก
หายใจลำบาก
หัวใจหยุดเต้น
สาเหตุ
ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง
โรคหัวใจรูห์มาติก
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
พิษจากยาดิจิทัลลิส
กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปัสสาวะ
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
ให้เตรียมผู้ป่วยในการทำ synchronized cardioversion
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
Ventricular fibrillation (VF)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการเต้นของหัวใจตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ
สาเหตุ
Hypovolemia
Hypoxia
Hydrogen ion (acidosis)
Hypokalemia
Hyperkalemia
Hypothermia
Tension pneumothorax
Cardiac tamponade
Toxins
Pulmonary thrombosis
Coronary thrombosis
อาการและอาการแสดง
หมดสติ
ไม่มีชีพจร
รูม่านตาขยาย
การพยาบาล
เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อมและทำ CPR ทันที
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด
ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษา
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยง
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษา
และเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำ synchronized cardioversion
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure [AHF])
การเกิดอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรวดเร็วจากการทำงานผิดปกติของหัวใจทั้งการบีบตัวหรือการคลายตัวของหัวใจ
การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ หรือการเสียสมดุลของ preload และafterload
การรักษา
การลดการทำงานของหัวใจ
การให้ออกซิเจน
การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
การดึงน้ำและเกลือแร่ที่คั่งออกจากร่างกาย
การให้ยาขับปัสสาวะ
การใช้ยา
digitalis
amiodarone
morphine
sodium nitroprusside
coumadin
การรักษาสาเหตุ
การขยายหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี
การเปลี่ยนลิ้นหัวใจในโคโรนารี
การประเมินสภาพ
การซักประวัติและตรวจร่างกาย
ภาวะบวม
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CB
ABG
biochemical cardiac markers
การตรวจพิเศษ
CXR
echocardiogram
CT
coronary artery angiography (CAG)
การพยาบาล
การลดการทำงานของหัวใจ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
ดูแลให้ได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
ดูแลติดตามและบันทึกค่า CVP, PCWP
พยาธิสรีรวิทยา
การคั่งของน้ำและเกลือแร่ ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิต
ความผิดปกติทางระบบประสาทและฮอร์โมน ภาวะที่มีการอักเสบเรื้อรัง ภาวะที่มีความผิดปกติของหัวใจ ภาวะเหล่านี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอาการที่แย่ลง ทำให้มีปริมาณเลือดในหัวใจมากเกินไป ในระยะเวลานานทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น มีการปรับตัวของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เกิดพังผืด เซลล์ตาย กล้ามเนื้อหัวใจหนา
เป็นผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง
สาเหตุ
โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
ภาวะหัวใจวาย
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
อาการและอาการแสดง
Acute decompensated heart failure
Hypertensive acute heart failure
Pulmonary edema
Cardiogenic shock
High output failure
Right heart failure
หายใจเหนื่อยหอบ
นอนราบไม่ได้
อ่อนเพลีย
บวมตามแขนขา
ความดันโลหิตปกติหรือ ต่ำ/สูง
ภาวะช็อก (Shock)
ภาวะช็อกเป็นภาวะที่ร่างกายเกิดความผิดปกติจากกลุ่มอาการต่างๆ หรือความผิดปกติจากทางสรีรวิทยา
เป็นผลให้เกิดการไหลเวียนโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ
ทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ (poor tissue perfusion) เสียสมดุลของการเผาผลาญระดับเซลล์
ออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ (poor tissue perfusion) เสียสมดุลของการเผาผลาญระดับเซลล์
การรักษา
การแก้ไขระบบไหลเวียนโลหิตให้ได้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีเพียงพอ
การให้สารน้ำ ได้แก่ Crystalloid solution เพื่อเพิ่มปริมาตรของสารน้ำในหลอดเลือด
การให้ยาที่มีผลต่อการบีบตัวของหัวใจ และการหดตัวของหลอดเลือด เช่น Dopamine, Dobutamine
การรักษาที่เฉพาะเจาะจงตามสาเหตุของภาวะช็อก เช่น การให้ยาปฏิชีวนะ
การแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนของเนื้อเยื่อและการลดการใช้ออกซิเจน
การแก้ไขความผิดปกติของภาวะกรดด่าง
พยาธิสรีรวิทยาและพยาธิสภาพ
ปัจจัยด้านสรีรวิทยาของการไหลเวียนโลหิตประกอบด้วย
ความดันโลหิต
ความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย
ความสามารถของการบีบตัวของหัวใจ
ปริมาณเลือดในหัวใจในช่วงคลายตัว
อัตราการเต้นของหัวใจ
การทำงานของสรีรวิทยาของการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
ทำให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อการหดตัวหนึ่งครั้ง (Stoke volume)
และปริมาณของเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาที(Cardiac output, CO) ลดลง
ทำให้เกิดการขาดออกซิเจน ร่างกายจะตอบสนองโดยการกระตุ้นระบประสาทซิมพาเธติก
โดยการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการบีบตัว เพื่อเพิ่มปริมาตรของเลือดที่ออกจากหัวใจ หากปริมาณของออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ร่างกายจะมีการตอบสนองต่อการเพิ่มปริมาณออกซิเจนโดยการเพิ่มอัตราการหายใจและหายใจลึกขึ้น
ภาวะช็อกเป็นภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างปริมาณออกซิเจนที่ขนส่งไปยังเนื้อเยื่อกับความต้องการใช้ออกซิเจนของเนื้อเยื่อ
เมื่อเกิดความผิดปกติของปัจจัยด้านสรีรวิทยา ได้แก่ การขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ การได้รับยา
ซึ่งมีผลต่อการบีบตัวของหัวใจและการทำงานของระบบซิมพาเธติก ทำให้ปริมาณของเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาที (Cardiac output) ลดลงได้ เมื่อปริมาณออกซิเจนที่ขนส่งไปยังเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ เกิดภาวะเซลล์ขาดออกซิเจนนำไปสู่ภาวะหนี้ออกซิเจน เมื่อความต้องการออกซิเจนต่ำลงตามปริมาณของออกซิเจนที่มีในร่างกาย เซลล์จะมีการดึงออกซิเจนมาใช้ลดลง จะทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ
อวัยวะขาดออกซิเจนและสูญเสียหน้าที่ อวัยวะล้มเหลว และนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ เพื่อหาสาเหตุของภาวะช็อกที่เกิดจากการเจ็บป่วย
ประวัติโรคหัวใจ
การสูญเสียสารน้ำ
การติดเชื้อ
การได้รับการบาดเจ็บ อุบัติเหตุ
การใช้า ประวัติการแพ้
การตรวจร่างกาย
การประเมินทางเดินหายใจ
การประเมินลักษณะและอัตราการหายใจ
การประเมินการไหลเวียนโลหิตและการทำงานของหัวใจ
การประเมินระดับความรู้สึกตัว
การตรวจพิเศษ
x-ray, CT, echocardiogram, ultrasound
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC, BUN, Cr, electrolyte, lactic acid, arterial blood gas,
coagulation, specimens culture
การพยาบาล
การป้องกันเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
ประเมินภาวะขาดออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ดูแลให้สารน้ำและอิเล็กโตรไลท์
ดูแลให้ยา (Dopamine, Dobutamine, Epinephrine Norepinephrine)
ประเมินสัญญาณชีพ ติดตามค่า CVP บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าออกจากร่างกาย
การแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อก
การทำ gastric lavage การทำ EGD
การทำ PTCA, CABG
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยและครอบครัวต่อภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น
ให้ข้อมูล อธิบายเหตุผลก่อนทำกิจกรรมการพยาบาล
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้ระบายความรู้สึก วิตกกังวล
และซักถามข้อข้องใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วย
ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ให้เกียรติผู้ป่วย
ระยะของช็อก
ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะท้าย (Decompensated shock)
คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยล่าช้า เซลล์ในร่างกายเริ่มตาย
ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะแรก
(Compensated shock)
คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น
ภาวะช็อกที่ไม่สามารถชดเชยได้ (Irreversible shock)
คือ ภาวะช็อกที่ได้รับการวินิจฉัยช้าเกินไป จนทำให้เซลล์หรืออวัยวะต่างๆในร่างกายได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
ประเภทของช็อก
ภาวะช็อกจากความผิดปกติของระบบประสาท (Neurogenic shock)
เป็นความผิดปกติทางพลศาสตร์การไหลเวียนโลหิต จากความบกพร่องในการควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ
ที่ควบคุมการขยายตัวและการหดตัวของหลอดเลือด (Vasomotor tone) เป็นผลให้มีการขยายตัวของหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง ส่งผลให้เลือดมีการกระจายตัวไปยังหลอดเลือดส่วนปลายมากขึ้นหัวใจมีการเต้นช้าลง
ภาวะช็อกจากภาวะหัวใจล้มเหลว
(Cardiogenic shock)
เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากหัวใจไม่สามารถส่งจ่ายเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
โดยที่มีปริมาตรเลือดในระบบไหลเวียนโลหิตอย่างเพียงพอ
ภาวะช็อกจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจ (Obstructive shock)
เกิดจากการอุดกั้นการไหลเวียนของโลหิตไปสู่หัวใจห้องซ้าย
จากสาเหตุภายนอกหัวใจ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง
ภาวะช็อกจากการขาดสารน้ำ
(Hypovolemic shock)
เกิดจากการลดลงของปริมาณของเลือดหรือสารน้ำในร่างกาย
(การสูญเสียมากกว่า 30-40% ของปริมาตรเลือด)
ทำให้ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจ (Venous return หรือ preload) ลดลง
ภาวะช็อกจากหลอดเลือดมีการขยายตัว
(Distributive shock, vasogenic / vasodilatory shock, Inflammatory shock)
เป็นภาวะช็อกที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดส่วนปลายขยายตัว ทำให้เกิดการลดลงของแรงต้านทานของหลอดเลือด (SVR) ร่วมกับมีการไหลเวียนเลือดในระบบลดลงจากการไหลเวียนของเลือดลัดเส้นทาง (Maldistribution หรือ shunt)
ภาวะช็อกจากการแพ้ (Anaphylactic shock)
เกิดในภาวะ anaphylaxis เกิดจากปฏิกิริยาของผู้ป่วยที่ได้รับ antigen กับ antibody ของร่างกาย
(antigen-antibody reaction) ทำให้เกิด hypersensitivity type I
IgE จะไปกระตุ้น mast cell และ basophil แตกตัว (degranulation) มีการปล่อย mediator
ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด เกิดการซึมผ่านของของเหลวผ่านผนังหลอดเลือดฝอย
มักพบว่าผู้ป่วยมีอาการบวมเฉพาะแห่ง ร้อนแดง (flush) ตัวแดง (flare) ความดันโลหิตต่ำ ผิวหนังเกิดผื่นแดง
ภาวะช็อกจากการทำงานผิดปกติของต่อมหมวกไต (Hypoadrenal / adrenocortical shock)
ร่างกายไม่สามารถผลิต cortisol ในปริมาณมากพอกับความต้องการ มักพบในผู้ป่วย adrenal insufficiency
เมื่อร่างกายไม่สามารถหลังสารนี้ได้จะทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด (SVR)
ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนลดลง ปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง
ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock)
เกิดจากการติดเชื้อ (pathogen) ซึ่งเชื้อโรคจะมีการหลั่งชีวพิษในตัว (endotoxin)
ร่างกายจึงมีการตอบสนองโดยการหลั่งสาร cytokines ทำให้ความต้านทานของหลอดเลือดลดลง
เกิดการคั่งของเลือดในระบบหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้ปริมาตรเลือดที่ไหลกลับสู่หัวใจลดลง
หรือเรียกว่า " ระยะอุ่น" (Warm shock, warm stage) ผู้ป่วยจะมีอาการความดันโลหิตลดลง หัวใจเต้นเร็วขึ้น
หายใจเร็วลึก มีไข้สูง หนาวสั่น ผิวหนังแดงอุ่น capillary refill time ลดลง
หลังจากนั้นร่างกายจะมีการปรับชดเชยและมีการหลั่งสารที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการหดตัว
สูญเสียความสามารถในการซึมผ่าน (Permeability) เนื้อเยื่อและเซลล์ขาดเลือดเกิดอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ
ผู้ป่วยจะมีอากาารผิวหนังเย็นชื้น หายใจเร็วเบา ปัสสาวะออกน้อย ระดับความรู้สึกตัวลดลง
หรือเรียกว่าอยู่ในระยะเย็น หรือ Cold stage
อาการและอาการแสดง
ประสาทส่วนกลาง
กระสับกระส่าย ซึม หมดสติ เซลล์สมองตาย
หัวใจและหลอดเลือด
ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว ผิวหนังเย็นซีด
หายใจ
หายใจเร็วลึก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ ระบบหายใจล้มเหลว
ไตและการขับปัสสาวะ
ปัสสาวะออกน้อย
ทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารและลำไส้ขาดเลือด ตับอ่อนอักเสบ ดีซ่าน การย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ ตับวาย
เลือดและภูมิคุ้มกัน
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วร่างกาย เม็ดเลือดขาวทำงานบกพร่อง
ต่อมไร้ท่อ
น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ ภาวะร่างกายเป็นกรด