Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.2 ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy) image,…
4.2 ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy)
หมายถึง
ภาวะความดันโลหิตสูง
(hypertension)
systolic BP อย่างน้อย 140 mmHg.
diastolic BP) อย่างน้อย 90 mmHg.
สองค่า โดยวัด 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ภายหลังการพัก
ภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์
(Pregnancy Induced Hypertension: PIH)
พบในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
พบร่วมกับการมีโปรตีนในปัสสาวะ และ/หรือมีอาการบวม
Gestational hypertension, preeclampsia และ eclampsia
ภาวะความดันโลหิตสูงหลังคลอด
(postpartum hypertension)
สตรีที่มีความดันโลหิตปกติขณะตั้งครรภ์ (normotensive gestation) แล้วมีความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอด ถึง 6 เดือนหลังคลอด จากนั้นความดันโลหิตกลับสู่ปกติในปลายปีแรก
อาจเกิดความดันโลหิตสูงเรื้อรังในอนาคต
ระดับความดันโลหิตในสตรีตั้งครรภ์
ต่ำกว่าขณะที่ไม่ตั้งครรภ์
ต่ำสุดในระยะไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 จนกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกับขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 จนกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกับขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
เกิดจาก
vascular tone ลดลง เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จึงทำให้เกิด low resistance ในระบบไหลเวียน
อิริยาบถขณะวัดความดันมีผลต่อความดันโลหิต ขณะนั่งความดันจะสูงสุด และต่ำสุดเมื่อนอนตะแคง
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในสตรีตั้งครรภ์
ขณะ Preg. มีการ + ให้ผลิต enzyme renin ในพลาสมาสูงขึ้น
Renin
angiotensin I เปลี่ยนเป็น
angiotensin IIซึ่งเป็น
vasoconstrictor
ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclampsia)
ภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีภาวะชักร่วมด้วย โดยหาสาเหตุของการชักไม่ได้
ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ (gestational hypertension)
Dx. ระหว่าง preg. หลัง GA 20 wk.
ไม่มีโปรตีนในปัสสาวะ หรือ<300 mg. ใน urine 24 hr.
BP กลับสู่ระดับปกติใน 12 wk. หลังคลอด
ร้อยละ 50 จะพัฒนาไปเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษ
ไม่มีการแสดงอาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ และความดันโลหิตกลับสูงปกติใน 12 สัปดาห์หลังคลอด อาจถูกจัดกลุ่มเป็นภาวะความดันโลหิตสูงชั่วคราว (transient hypertension)
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
(chronic/ preexisting hypertension)
ภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์
หรือวินิจฉัยได้ก่อนGA 20 wk.
โดยที่ BP สูง จากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ gestational trophoblastic diseases
หรือหากวินิจฉัยความดันโลหิตสูงได้ครั้งแรกหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ความดันโลหิตนั้นยังคงสูงอยู่นานกว่า 12 สัปดาห์หลังคลอด
ครรภ์เป็นพิษ หรือครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก (preeclampsia)
พบครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์หลัง GA 20 wk. ร่วมกับมี alb.ในปัสสาวะอย่างน้อย 300 mg. ใน urine 24 hr.
BP สูงคงอยู่ไม่เกิน 12 wk.หลังคลอด
กรณีตรวจไม่พบโปรตีนในปัสสาวะตามเกณฑ์ท ใช้เกณฑ์การตรวจพบ ความดันโลหิตสูงร่วมกับเกณฑ์การทำงานผิดปกติของอวัยวะสำคัญ (end-organ dysfunction) อย่างน้อย 1 อย่าง
ครรภ์เป็นพิษซ้อนทับกับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (preeclampsia superimposed on chronic hypertension)
มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เมื่อตั้งครรภ์แล้วพบมีภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน
มีความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ไม่เคยมี alb.ในปัสสาวะก่อน GA 20 wk. ให้ใช้เกณฑ์การตรวจพบ alb. ในปัสสาวะที่เกิดขึ้นใหม่
มีความดันโลหิตสูงเรื้อรัง มีโปรตีนในปัสสาวะอยู่เดิม ให้ใช้เกณฑ์การตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หรือ พบการทำงานผิดปกติของอวัยวะสำคัญอย่างน้อย 1 อย่าง
4.2.1 ภาวะครรภ์เป็นพิษก่อนระยะชัก (Preeclampsia)
เกณฑ์การวินิจฉัย
เกณฑ์การวินิจฉัยความดันโลหิตสูง
โปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria) : โดยการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
ยกเลิกเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (severe preeclampsia) โดยใช้เกณฑ์ proteinuria มากกว่า 5 กรัม ในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง และยกเลิกเกณฑ์ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (fetal growth restriction) ร่วมในการประเมินเพื่อวินิจฉัย
อาการ
ภาวะไตวาย serum creatinine ≥ 1.1 mg/dL. หรือปริมาณปัสสาวะออกน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร ใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
การทำงานของตับผิดปกติ ระดับเอนไซม์ AST และ/หรือ ALT สูงกว่า 70 IU/L หรือมากกว่า 2 เท่าของค่าเดิม
เกล็ดเลือดต่ำ มี platelet count < 100,000 ต่อไมโครลิตร
ระบบการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
HELLP syndrome เป็นภาวะแทรกซ้อน หรือเป็นกลุ่มอาการที่แสดงถึงความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษ
อาการแสดง
Systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ Diastolic BP ≥ 110 mmHg.
น้ำท่วมปอด
Eclampsia มีอาการชักแบบชักทั้งตัว
เลือดออกในสมอง
ตาบอดจากพยาธิสภาพของครรภ์เป็นพิษในสมอง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
Nulliparity
ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน
ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี
สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด และเคยผ่านการคลอดมาแล้ว
BMI ตั้งแต่ 30 kg/m2 ขึ้นไป หรืออ้วน
Multiple pregnancy จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่า Twin pregnancy
แนวทางการรักษา
การรักษา preeclampsia without severe features
Admit.
Hx. + PE. ติดตามสังเกตอาการและอาการแสดงทุกวัน
Bl. for
CBC, Plt.count, peripheral blood smear เพื่อตรวจหา red blood cells morphology, serum BUN, creatinine, uric acid, LDH, AST, ALT, total + direct billirubin
Urine 24 hr. X 3 day หรือ urine protein creatinine index (UPCI)
bed rest
BP q 4 hr.
U/S : GA, แยกโรค molar pregnancy , fetal hydrops, ประเมินภาวะสุขภาพทารกในครรภ์, fetal wt., ปริมาณน้ำคร่ำ
GA < 34 wk. + มี preterm labor ให้ glucocorticoid เพื่อกระตุ้น fetal lung maturity
Regular diet, I &O, ชั่งน้ำหนักทุก 2 วัน
กรณีผลตรวจอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถให้สตรีตั้งครรภ์กลับบ้านได้
ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการผิดปกติที่ควรมาก่อนวันนัด
นัดตรวจครรภ์ทุก 1-2 สัปดาห์ ตามความรุนแรงของโรค
เจาะเลือดตรวจทุก 2 สัปดาห์
ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงทุก 2-4 สัปดาห์ : ความรุนแรงของโรค
NST หากผลเป็น NR ให้ยืนยันด้วยการตรวจ BPP
การรักษา preeclampsia with severe features
ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย
ให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่บนเตียง พักรักษาอยู่บนเตียง (absolute bed rest)
เริ่มให้ยา magnesium sulfate (MgSO4) ทางหลอดเลือดดำทันที เพื่อป้องกันการชัก
ประเมินอาการแสดงของ Mg toxicity เป็นระยะ อย่างน้อยชั่วโมงละครั้ง
reflex = 0
RR ≤ 14 ครั้ง/นาที
urine ≤ 100 ml/4 ชั่วโมง หรือ ≤ 25 ml/hr.
ให้ยาลด BP เมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
BP ทุก 15 min จนคงที่ จากนั้น ทุก 1 hr. จนกระทั่งคลอด
ส่งตรวจ blood testing
หากได้รับการวินิจฉัยว่ามีลักษณะรุนแรงแล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
U/S เพื่อยืนยันอายุครรภ์ ตรวจแยกโรค
GA < 34 wk. + preterm labor ให้ glucocorticoid
หลีกเลี่ยง diuretic drug
ให้สารน้ำประเภท crystalloid หรือสารละลายเกลือแร่ โดย ให้ 5% glucose in lactated ringer’s solution เพื่อแก้ไขภาวะ hemoconcentration
Preeclampsia with severe features ที่การเจ็บครรภ์คลอด ห้ามให้ยายับยั้งการเจ็บครรภ์คลอด (tocolytic drugs) ในทุกอายุครรภ์
ยาลดความเจ็บปวด : Meperidine (Pethidine®) 50-75 mg. อาจให้ร่วมกับ Promethazine (Phenergan®) 25 mg. ทาง IV ช้า ๆ
การรักษาแบบเฝ้าระวัง
NST ทุกวัน หากผลเป็น non-reassuring ให้ทำ BPP
ตรวจ blood test ทุกวัน
หากพบกลุ่มอาการ HELLP ให้ยุติการตั้งครรภ์ทันที ส่วนใหญ่จะให้การรักษาแบบเฝ้าระวังประมาณ 10 วัน ก่อนที่โรคจะไม่สามารถคุมได้ และต้องยุติการตั้งครรภ์
4.2.2 ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะชัก (eclampsia)
สาเหตุ
cerebral vasospasm ร่วมกับ local ischemia, vasogenic edema, endothelial damage และ hypertensive encephalopathy ร่วมกับ hyperperfusion
utero-placental ischemia ทำให้มีการหลั่งสาร molecules
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นภายหลังการชัก
สาเหตุและพยาธิกำเนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการเกิดความผิดปกติที่รก
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ (clinical stage)
อาการและอาการแสดง
Eclampsia
ระยะก่อนชัก
อาจมีอาการหรืออาการแสดงบอกล่วงหน้า (aura)
กระสับกระส่าย : ตามองนิ่งอยู่กับที่ ศีรษะหมุนไปด้านหนึ่งจนตึง รูม่านตาขยาย
ระยะเริ่มแรกของอาการชัก
อาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที
ระยะชักเกร็ง
มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
ลำตัวเหยียด ศีรษะหงายไปด้านหลัง มือกำแน่น แขนงด ขาบิดเข้าด้านใน ตาถลน
ถ้ากล้ามเนื้อที่ช่วยการหายใจหดรัดตัวมาก อาจมีการหยุดหายใจ หน้าเขียว
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 15-10 วินาที
ระยะชักกระตุก
มีการกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอย่างแรง
มีการกระตุกของขากรรไกร อาจกัดลิ้นบาดเจ็บ มีน้ำลายฟูมปาก ใบหน้าบวมสีม่วง ตาแต้มเลือด หนังตาจะปิดและเปิดสลับกันอย่างรวดเร็ว
อาจสูญเสียความสามารถในการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ร่างกายเกร็งกระตุกอย่างแรง อาจทำให้เกิดแรงดีดตัว จึงอาจเกิด injury, fracture ได้
การเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อจะค่อยๆ เบาลงจนหายไป
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที
ระยะหมดสติ
เกิดภายหลังการชักกระตุก
นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพหมดแรง
อาจมีอาการหยุดหายใจเป็นบางครั้ง ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์คั่งเกิดภาวะ repiratory acidosis
ร่างกายมีการปรับโดยการหายใจเร็ว (hyperventilation) จากการคั่งของ latic acid
อาจมีอาการเขียว (cyanosis) เนื่องจากขาดออกซิเจน
อาจมีหมดสติ ทำให้ระยะนี้ใช้เวลาต่างกันไปในแต่ละราย
หากไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการชักซ้ำได้อีกในเวลาที่ถี่ขึ้น
การรักษา eclampsia
ควบคุมการชักและป้องกันการชักซ้ำโดยให้ MgSO4 loading dose ตามด้วย maintenance dose ให้ทาง IV
หากชักในขณะได้ MgSO4 อยู่ ให้ blood for Mg level ทันที ส่วนในรายที่มีการเจ็บครรภ์คลอดแล้ว ให้ load ซ้ำได้อีก 2-4 g. โดยไม่ต้องรอผล Mg level
ให้ยาลด BP เมื่อ systolic BP ≥ 160 mmHg. หรือ diastolic BP ≥ 110 mmHg.
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในขณะชักและหลังชัก โดยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
ใส่ oral airway/mouth gag, เตรียมเครื่องดูดเสมหะ, NPO, ลดสิ่งกระตุ้น
ติดตามและตรวจสอบอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
V/S โดยเฉพาะ RR, ให้ O2 ทาง canular (4-6 L/m.) หรือ face mask (8-10 L/m).
ตรวจสอบภาวะ oliguria หรือ anuria
Retained Foley's catheter with urine bag
Record urine output ทุกชั่วโมง
ไม่ควรใช้ยา diazepam เนื่องจากจะกดระดับความรู้สึก
Eclampsia ที่มี labor pain ห้ามใช้ยา tocolytic drug ในทุกกลุ่มอายุ
กระบวนการ augmentation of labor พิจารณาช่วยคลอดด้วย F/E หรือ V/E
เฝ้าระวัง PPH
ให้ MgSO4 ต่อไปจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ผลกระทบ
ผลกระทบต่อทารก
ทารกโตช้าในครรภ์
ขาดออกซิเจน เลือดเป็นกรด
ทารกคลอดก่อนกำหนด
แท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
ทารกตายในครรภ์เฉียบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด
กรณีที่ได้รับการรักษาด้วย magnesium sulfate (MgSO4)ในระยะคลอด ซึ่งยานี้ผ่านรกไปสู่ทารกได้ ทารกแรกเกิดอาจมี reflex และการหายใจไม่ดี แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปภายใน 3-4 วัน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
รกลอกตัวก่อนกำหนด
เลือดแข็งตัวผิดปกติ (DIC)
หัวใจขาดเลือด
หัวใจล้มเหลว จากการมี venous return เพิ่มอย่างรวดเร็ว
ไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง
น้ำท่วมปอด หรือปอดบวมน้ำ
เลือดออกในสมอง (cerebral henorrhage)
เลือดออกในตับจนมีการตายของเซลล์ตับ หรือตับวาย (hepatic failure)
เกล็ดเลือดต่ำ
การหลุดของเรตินา (retina detachment) ทำให้ตาบอดชั่วคราวได้
หลอดเลืออุดตัน (deep venous thrombosis)
อันตรายจากการชัก เช่น สำลักเศษอาหารเข้าหลอดลม กัดลิ้น ข้อเคลื่อน กระดูกหัก เป็นต้น
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ
ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ : BPสูง โรคไต DM
อาการและอาการแสดงของ preeclampsia : ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เจ็บใต้ชายโครงขวา อาการบวม การเพิ่มของน้ำหนัก
การตรวจร่างกาย
การประเมินBP
การประเมินระดับรีเฟล็กซ์
ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม
การประเมินอาการบวม
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC, platelet count, liver function test, renal functiontest และตรวจ cogulation profile เพราะอาจพบปัจจัยการแข็งตัวของเลือดบางตัวลดลง
การตรวจพิเศษ การตรวจพิเศษเพื่อทำนายการเกิด preeclampsia
4.5 Specific blood testing
4.3 Isometric exercise
4.6 Mean arterial blood pressure (MAP)
MAP = [ (2 X diastolic BP+systolic BP) / 3]
4.2 Roll over test
4.4 Doppler velocimetry
4.1 Angiotensin sensitivity test
พยาธิสรีรภาพของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระบบไต (renal system) หากเกิด hypovolemic shock และได้รับสารน้ำ หรือเลือดทดแทนไม่ทัน จะทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้ง่าย
ระบบหัวใจและปอด (cardiopulmonary system)
plasma albumin ลดลง
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด hematologic and coagulation system) นำไปสู่ภาวะ hemoglobulonemia และ hyperbillirubinemia
ระบบตับ (hepatic system) อาการปวดใต้ชายโครงขวา หรือจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ คลื่นไส้อาเจียน มี blood glucose ลดลง ในรายรุนแรงอาจพบมีตับแตก (hepatic rupture) ได้
ระบบประสาท (neurological system) พบอาการปวดศีรษะ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง มี hyperreflexia หรือมีอาการชักเกร็ง-ชักกระตุก (seizure) อาจเกิด vasogenic edema และ coma ได้
ระบบการมองเห็น (visual system) สมองส่วนท้าย occipital lobe อาจทำให้เกิดอาการตาบอดได้retinal edema ตาพร่ามัว การมองเห็นผิดปกติ
รก และมดลูก (placenta and uterus) อาจเกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด จาก placental ischemia และ infarction
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
Nulliparity
ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน
ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี
สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด และเคยผ่านการคลอดมาแล้ว
BMI ตั้งแต่ 30 kg/m2 ขึ้นไป หรืออ้วน
Multiple pregnancy จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่า Twin pregnancy
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)
2.1 Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)
2.2 Labetalol (Avexor®)
2.3 Nifedipine (Adalat®)
ยาป้องกันการชัก
Magnesium Sulfate (MgSO4)
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ :red_flag:
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features
Bed rest ในท่านอนตะแคงซ้าย Bed rest ในท่านอนตะแคงซ้าย
ประเมิน V/S โดยเฉพาะ BP ทุก 4 hr.
ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจ lab และการตรวจพิเศษ
เฝ้าระวัง ติดตาม อาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
ดูแลให้ regular diet, I&O และชั่งน้ำหนัก
ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
Psychological support
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features
Absolute bed rest:
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ ลดการกระตุ้นจากภายนอก เพื่อลดการกระตุ้นของสมองส่วนกลาง
ให้การพยาบาลอย่างมีระบบเท่าที่จำเป็นในเวลาเดียวกัน
ดูแลให้ได้รับยา sedative ตามแผนการรักษา
ประเมิน V/S โดยเฉพาะ BP ทุก 1 ชั่วโมง
บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกในแต่ละวัน
ประเมินอาการนำก่อนการชัก เช่น อาการปวดศีรษะ ตาพร่าลาย เจ็บบริเวณลิ้นปี่ เป็นต้น
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia
ดูแลให้ MgSO4 ตามแผนการรักษา
หากค่า serum creatinine ≥1.0 mg/dL ให้ส่งตรวจระดับ serum magnesium
ประเมินอาการ magnesium toxicity
ระยะแรกร้อนวูบวาบ กระหายน้ำ เหงื่อออก BPลดลง กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก DTR ลดลง
ระยะหลังจะกด CNS ซึม หายใจช้าลง การเต้นของหัวใจผิดปกติ หยุดหายใจ การทำงานของระบบหัวใจและระบบไหลเวียนล้มเหลว
เตรียม 10% calcium gluconate หรือ 10% calcium chloride 1 gm. เป็น antidote ของ MgSO4
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก เป็นระยะ : MgSO4 ทำให้การหดรัดตัวของมดลูกลดลง, ระยะคลอดทุก 30-60 นาที
หยุดให้ยาเมื่อครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ดูแลให้ยาลด BP ตามแผนการรักษา
ประเมิน V/S ทุก 5-15 นาที จนครบ ½ ชั่วโมง โดยเฉพาะ PR, RR, BP
หาก BP ลดต่ำลงมาก ให้รายงานแพทย์ โดยเฉพาะ diastolic BP ไม่ต่ำกว่า 90-100 mmHg. เพราะจะทำให้การไหลเวียนโลหิตของมดลูกและรกไม่เพียงพอ
หลีกเลี่ยงการสวนอุจจาระ และ PV
สังเกตอาการนำของการชัก และเตรียมอุปกรณ์ CPR ได้แก่ เครื่องดูดเสมหะ เครื่องช่วยหายใจ ออกซิเจน และอื่น ๆ
ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ำออกจากร่างกาย: นอนตะแคงซ้าย บันทึก I&O Obs.บวม ชั่งwt. และดูแลการได้รับ diuretic ตามแผนการรักษา
ติดตามประเมินระดับ O2 sat. ดูแลให้ได้รับ O2อย่างเพียงพอ (ร้อยละ 97)
นางสาววิชญาพร แก้วสุ 6201210019 เลขที่ 1 section B