Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
Hypertensive crisis
ศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
2.Target organ damage (TOD)
ความผิดปกติที่เกิดแก่อวัยวะ
microalbuminuria
โรคไตเรื้อรัง
หัวใจห้องล่างซ้ายโต
Hypertensive retinopathy
การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง
papilledema
3.Cardiovascular disease (CVD)
Coronary Artery Disease : CAD
โรคหัวใจล้มเหลว
Atrial fibrillation
stroke
1.Hypertension
-ซิสโตลิก ตั้งแต่140 มิลลิเมตรปรอท
-ไดแอสโตลิกตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอท
4.Hypertensive urgency
ความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการของอวัยวะ
5.Hypertensive emergency
ความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 มม.ปรอท +
การทำลายของอวัยวะ
อาจมีอาการของ Acute MI, Stroke, และ Kidney failure
อาการและอาการแสดง
Myocardial infarction
ปวดศรีษะ การมองเห็นผิดปกติ สับสน คลื่นไส้ อาเจียน
Unstable angina
Acute cardiovascular syndromes
Aortic dissection
สาเหตุ
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที
4.ยาคุมกำเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยดT
การพยาบาล
2.ระหว่างได7รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยา
3.การรักษาด้วย sodium
nitroprusside
1.ในระยะเฉียบพลัน เฝsาติดตามอย่างใกล้ชิด
ได้แก่
neurologic, cardiac, and renal systems
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วย
การซักประวัติ
ประวัติครอบครัว
การสูบบุหรี่
โรคประจำตัว
ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา
อาการ/อาการแสดงจากความดันโลหิตสูง
ตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ
เกิดจาก TOD ได้แก่
Papilledem
cotton-wool spots and hemorrhages
โรคหลอดเลือดสมอง
Chest pain
oliguria or azotemia
แสดงถึงภาวะไตถูกทำลาย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC ประเมินภาวะ MAHA
ค่าไต
หัวใจและหลอดเลือด>12-lead
ECG
chest X-ray
การรักษา
รักษาทันทีใน ICU และให้ยาลดความดันโลหิต
คือลดความดันโลหิตเฉลี่ย (mean arterial pressure) ลงจาก
ระดับเดิม 20-30% ภายใน 2 ชั่วโมงแรก และ 160/100 มม.ปรอท ใน 2-6 ชั่วโมง
ภาวะหัวใจล5มเหลวเฉียบพลัน [AHF]
สาเกตุ
ภาวะหัวใจวาย
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
หลอดเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน
ปัจจัยกระตุ้น
การใช้ยาไม่สม่ำเสมอ การติดเชื้อ
ภาวะโลหิตจาง ภาวะน้ำเกิน
โรคปอดเรื้อรัง
กลุ่มอาการแสดง 6 แบบ
Pulmonary edema
ปอดบวมน้ำชัดเจน ออกซิเจนต่ำกว่าร้อยละ 90
Cardiogenic shock
มีภาวะpoor tissue perfusion>>systolic ต่ำกว่า 90 mmHg หรือ MAP < 60 mmHg ร่วมกับมี
ปnสสาวะออกน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hr.
Hypertensive acute heart failure
มีปอดบวมน้ำ โดยมีความดันโลหิตสูงรุนแรงร่วม
High output failure
มักมีหัวใจเต้นเร็ว ปลายมือเท้าอุ่น ภาวะน้ำท่วมปอด
Acute decompensated heart failure
Right heart failure
การบวมของตับ+มีภาวะความดัน
โลหิตต่ำ
อาการแสดงที่พบบ่อย
หายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ อ่อนเพลีย บวมตามแขนขา ความดันโลหิตปกติหรือ ต่ำ/สูง ท้องอืดโต
แน่นท้อง ปัสสาวะออกน้อย/มาก หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เส้นเลือดดำที่คอโป่งพอง ฟังได้ยินเสียงปอดLung crepitation
การรักษา
2.ให้ยาขับปัสสาวะ, การเจาะระบายน้ำ
การใช้ยา
3.1 ยาเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ เช่น digitalis (digoxin)
3.2 ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น amiodarone
3.3 ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ เช่น nitroglycerine / isodril (NTG)
3.4 ยาขยายหลอดเลือด เช่น sodium nitroprusside (NTP)
3.5 ยาที่ใช้ในช็อค เช่น adrenaline, dopamine, dobutamine, norepinephrine (levophed)
3.6 ยาบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก เช่น morphine
3.7 ยาละลายลิ่มเลือด เช่น coumadin
3.8 ยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด เช่น aspirin, plavix,clopidogrel
การลดการทำงานของหัวใจ
การให้ออกซิเจน, การใส;เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ ทำบอลลูนหัวใจ
การรักษาสาเหตุ
การขยายหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี, การเปลี่ยนลิ้นหัวใจในโคโรนารี, การรักษาภาวะติดเชื้อ
การประเมินสภาพ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC, biochemical cardiac markers, ABG
การตรวจพิเศษ ได้แก่ CXR, echocardiogram, CT, coronary artery angiography (CAG)
การซักประวัติและตรวจร่างกาย
การพยาบาล
การลดความต้องการใช้ออกซิเจนของร่างกาย
2.3 ดูแลควบคุมอาการปวด
2.4 ดูแลช่วยให้ได้รับการใส่เครื่องพยุงหัวใจ
2.2 ดูแลจำกัดกิจกรรมแบบสมบูรณ์ (Absolute bed rest)
2.1 ดูแลให้ได้รับยาลด/ควบคุม จังหวะหรืออัตราการเต้นของหัวใจ
การเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
3.1 ดูแลให้ได้รับยาช;วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ โดยประเมินอัตราการเต้นของหัวใจก่อน หากอัตราการเต้นของหัวใจ ต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที งดให้ยาและรายงานแพทย์
การลดการทำงานของหัวใจ
1.3 ดูแลจำกัดสารน้ำและเกลือโซเดียม
1.4 ดูแลจัดท่านอนศรีษะสูง
1.2 ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดเลือดตามแผนการรักษา
1.1 ดูแลให้ได้รับยาขับปnสสาวะตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
5.ดูแลติดตามการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟhาหัวใจ ประเมินสัญญาณชีพทุก 1-2 ชั่วโมง
6.ดูแลติดตามและบันทึกค;า CVP, PCWP
7.สังเกต/บันทึกปริมาณปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง (keep urine output >= 0.5 ml/kg/hr.)
8.กระตุ้นและส่งเสริมให้ครอบครัว มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาและการเปลี่ยนแปลง
ภาวะช็อก (Shock)
ระยะของช็อก
ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะแรก (Compensated shock)
-ได้รับการวินิจฉัย
ตั้งแต่เริ่มต้น
-ผลการรักษาจะดีและมีภาวะแทรกซ้อนเพียง
เล็กน้อย
ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะท้าย (Decompensated shock)
ได้รับการวินิจฉัยล่าช้า เซลล์ในร่างกายเริ่มตาย
ภาวะช็อกที่ไม่สามารถชดเชยได้ (Irreversible shock)
การรักษาในระยะนี้มักจะไม่ได้ผล
ประเภทของช็อก
ภาวะช็อกจากภาวะหัวใจล้มเหลว (Cardiogenicshock)
เกิดจากหัวใจไม่สามารถส่งจ่ายเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย อย่างเพียงพอ
สาเหตุ
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ
ภาวะช็อกจากหลอดเลือดมีการขยายตัว (Distributiveshock, vasogenic / vasodilatory shock, Inflammatory shock)
3.2 ภาวะช็อกจากการแพ้Anaphylactic shock)
เกิดจากปฏิกิริยาของผู้ป่วยที่ได้รับ antigen กับ
antibody ของร่างกาย
ผู้ป่วยมีอาการบวมเฉพาะแห่ง ร้อนแดง (flush) ตัวแดง (flare) ความดันโลหิตต่ำ
ผิวหนังเกิดผื่นแดง
3.3 ภาวะช็อกจากการทำงานผิดปกติของต่อมหมวกไต (Hypoadrenal / adrenocortical
shock
ที่ร่างกายไม่สามารถผลิต cortisol
เครียด
3.1 ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock)
endotoxin
ทำให้ความต้านทาน
ของหลอดเลือดลดลง
ส่งผลให้ปริมาตรเลือดที่ไหลกลับสู่หัวใจ
ลดลง หรือเรียกว่า " ระยะอุ่น"
Warm shock, warm stage ระยะนี้มักพบผู้ป่วยมีความดันโลหิตลดลง หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วลึก มีไข่สูง หนาวสั่น ผิวหนังแดงอุ่น capillary refill time ลดลง
1 more item...
ภาวะช็อกจากการขาดสารน้ำ (Hypovolemic shock)
สาเหตุ
เสียเลือดจาก อุบัติเหตุ
เสียสารน้ำจาก Diarrhea
เกิดการสูญเสียมากกว่า 30-40% ของ
ปริมาตรเลือด
ภาวะช็อกจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจ (Obstructive shock)
สาเหตุ
Cardiac tamponade
tension pneumothorax
pulmonary embolism
อาการ
-ความดันโลหิตลดต่ำลง
-การมีระดับของความดัน
ในหัวใจห้องขวาเพิ่มมากขึ้น
-มีหลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง -CVP มีระดับที่สูงขึ้น
ภาวะช็อกจากความผิดปกติของระบบประสาท (Neurogenic shock)
ความดันโลหิตลดต่ำลง
พบบาดเจ็บของกระดูกสันหลังบริเวณคอ
อาการและอาการแสดง
หายใจ
หายใจเร็วลึก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ ระบบหายใจล้มเหลว
ไตและการขับปัสสาวะ
ปัสสาวะออกน้อย
หัวใจและหลอดเลือด
ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว ผิวหนังเย็นซีด
ทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารและลำไส้ขาดเลือด ตับอ่อนอักเสบ ดีซ่าน การย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ ตับวาย
ประสาทส่วนกลาง
กระสับกระส่าย ซึม หมดสติ เซลล์ สมองตาย
เลือดและภูมิคุ้มกัน
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วร;างกาย เม็ดเลือดขาวทำงานบกพร่อง
ต่อมไร้ท่อ
น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ ภาวะร่างกายเป็นกรด
การรักษา
การแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนของเนื้อเยื่อและการลดการใช้ออกซิเจน
การแก้ไขระบบไหลเวียนโลหิตให้ได้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ(MAP) มากกว่าหรือเท่ากับ 65 mmHg
1.1 การให้สารน้ำ Ringer's lactate solution (RLS), 0.9% NSS
1.2 การให้ยาที่มีผลต่อการบีบตัวของหัวใจ
Dopamine, Dobutamine, Epinephrine Norepinephrine
การรักษาที่เฉพาะเจาะจงตามสาเหตุของภาวะช็อก เช่น การให้ยาปฏิชีวนะ
การแก้ไขความผิดปกติของภาวะกรดด่าง
การประเมินสภาพ
การซักประวัต
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจพิเศษ เช่น x-ray, CT, echocardiogram, ultrasound.
การพยาบาล
การป้องกันเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
1.1 ประเมินภาวะขาดออกซิเจน โดยการติดตามสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง
1.2 ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง
1.3 ดูแลให7ได7รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต
2.1 ดูแลให้สารน้ำและอิเล็กโตรไลท์ทดแทน
2.2 ดูแลให้ยา (Dopamine, Dobutamine, Epinephrine Norepinephrine)
2.3 ดูแลจัดท่านอนหงายราบ ยกปลายเท้าสูง 20-30 องศา
2.4 ประเมินสัญญาณชีพ รวมถึงค่า MAP ทุก 1 ชั่วโมง
2.5 ติดตามค่า CVP
2.6 บันทึกปริมาณสารน้ำเ้าออกจากร่างกาย และ ติดตามปริมาณปnสสาวะทุก 1-2 ชั่วโมง
การแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อก
3.1 รตรวจเพื่อหาสาเหตุ เช่น การทำ gastric lavage การทำ EGD (กรณีช็อกจากการสูญเสียเลือด)
3.3 ดูแลให้ยาละลายลิ่มเลือดกรณีช็อกจากภาวะหัวใจลมเหลว
3.2 เตรียมผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับการทำ PTCA, CABG ช็อกจาก หลอดเลือดหัวใจตีบ
3.4 ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ ช็อกจากภาวะ DIC
3.5 ดูแลให้ยา Chlorpheniramine 1 amp V เพื่อ แก้ไขภาวะแพ้
ส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยและครอบครัวต่อภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น
4.3 ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ให7เกียรติผู้ป่วย
4.4 ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนการพยาบาล
4.2 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้ระบายความรู้สึก
4.5 ให้กำลังใจและสนับสนุนทางด้านจิตใจ ดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอทั้งผู้ป่วยและครอบครัว
4.1 ให้ข้อมูล อธิบายเหตุผลก่อนทำกิจกรรมการพยาบาล
4.6 ช่วยเหลือในการติดต่อสื่อสาร เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ป่วย ครอบครัวและทีมรักษา
4.8 ประเมินระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
4.7 เตรียมความพร่อมก่อนการย้ายออกจากหอผู้ป่วยวิกฤต
Cardiac dysrhythmias
3.Ventricular fibrillation (VF)
ไม่มี P wave
เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ
ไม่เห็นรูปร่างของ QRS complex
อาการและอาการแสดง
เกิดทันที คือ หมดสติ ไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย
การพยาบาล
ติดตามและบันทึกอาการแสดง ระดับความรู7สึกตัวลดลง ความดันโลหิตลดลง สีของผิวหนังเขียว อุณหภูมิของผิวหนัง เย็นลง จำนวนปnสสาวะลดลง และ capillary refill time นาน
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให7ออกซิเจนตามแผนการรักษา
ให้ยา antidysrhythmia
ติดตามผลข้างเคียงของยา
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง (lethal dysrhythmias)
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟsาหัวใจ โดยเฉพาะ ST segment
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด เพื่อหาสาเหตุ
สาเหตุ
Hyperkalemia
Hypothermia
Hypokalemia
Tension pneumothorax
Hydrogen ion (acidosis)
Cardiac tamponade
Hypoxia
Toxins
Hypovolemia
Pulmonary thrombosis
Coronary thrombosis
2.Ventricular tachycardia (VT)
ไม่พบ P wave
เร็วมากแต่สม่ำเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที
QRS complex มีรูปร่างผิดปกติ>0.12
อาการและอาการแสดง
เกิดทันที ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจหยุดเต้น
การพยาบาล
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปnสสาวะ
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
นำเครื่อง Defibrillator รายงานแพทย์ทันที และเปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง
Defibrillator
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียม
ผู้ป่วยในการทำ
synchronized cardioversion
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
สาเหตุ
Rheumatic heart disease
ถูกไฟฟ้าดูด
กล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction)
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
Digitalis toxicity
กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
ประเภท
Sustained VT
เป็นเวลานานกว่า 30วินาที
Monomorphic VT
QRS complex เป`นรูปแบบเดียว
Nonsustained VT
เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
Polymorphic VT
QRS complex เป็นรูปแบบต่างกัน
1.Atrial fibrillation (AF)
ประเภท
Persistent AF
ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน /หายได้ดัวยการรักษา
Permanent AF
เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ป้โดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Paroxysmal AF
หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า
Recurrent AF
เกิดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
Lone AF
เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
คือ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว
-ไม่สามารถบอก P wave ได้
ชัดเจน จังหวะไม่สม่ำเสมอ
-QRS complex ไม่เปลี่ยนแปลง
สาเหตุ
โรคหัวใจรูห์มาติก
ภาวะหัวใจล้มเหลว
โรคหัวใจขาดเลือด
ความดันโลหิตสูง
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
open heart surgery
hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง
ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
เป้าหมายในการรักษาคือ ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและจังหวะ
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทำ Cardioversion
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
เตรียมผู้ป่วย ทำRadiofrequency Ablationในผู้ป่วยที่เป็น AF รักษาด้วยยาไม่ได้