Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลด้วยความเอื้ออาทรในผู้ที่มีความวิตกกังวลและความเครียดผิดปกติ -…
การพยาบาลด้วยความเอื้ออาทรในผู้ที่มีความวิตกกังวลและความเครียดผิดปกติ
สารเคมีในสมอง
แอซิติลโคลีน (Acetylcoline) เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ แอซิติลโคลีนต่ำ จะทำให้มีสมาธิสั้น ความจำไม่ดี โดยเฉพาะความจำระยะสั้น
โดพามีน (Dopamine) ได้ชื่อว่าเป็นสารแห่งความสุข ซึ่งจะปล่อยออกมาเมื่อเรารู้สึกพึงพอใจ โดพามีนต่ำ จะทำกล้ามเนื้อเกร็งกระตุก และมีอาการสั่น
นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) จะหลั่งออกมาเมื่อเกิดความกลัวและเครียด จะหลั่งสูงในตอนเช้า นอร์เอพิเนฟรินต่ำ จะทำให้เซื่องซึม หากสูง จะทำให้กระวนกระวาย วิตกกังวล และนอนไม่หลับ
ซีโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารที่ควบคุมสภาพอารมณ์ ความรู้สึกเจ็บปวด ความหิว การหายใจ การนอนหลับ ซีโรโทนินต่ำ จะทำให้มีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ
กาบา (GABA) เป็นสารสื่อประสาทชนิดที่ยับยั้งกระแสประสาท ทำให้สมองผ่อนคลายลง
เอนดอร์ฟิน (Endorphin) เป็นสารที่ออกฤทธิ์คล้ายสารเสพติด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
การทำงานของสารในสมองกับโรคและความวิตกกังวล
กลไกทางชีวภาพ
ระดับที่ลดลงของกรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก (กาบา) มีส่วนร่วมให้เกิดความวิตกกังวล ยาแก้วิตกกังวล (anxiolytic) ควบคุมตัวรับกาบา (GABA receptor) SSRI เป็นยาที่ปกติใช้รักษาโรคซึมเศร้ามากที่สุด แต่เป็นวิธีการรักษาอันดับแรกสำหรับโรควิตกกังวล
ความวิตกกังวล หมายถึง ความรู้สึกไม่สบายใจ หวาดหวั่น ไม่มั่นใจต่อสภาพการณ์ในอนาคต เกรงว่าจะเกิดอันตรายหรือความเสียหาย ขณะเดียวกันจะมีความไม่สุขสบายทางกายร่วมด้วย หากมี ความวิตกกังวลมากหรือเป็นระยะเวลานาน จะมีผลเสียต่อสุขภาพของบุคคลได้
โรควิตกกังวล (Anxiety disorders) เป็นกลุ่มความผิดปกติทางจิตกำหนดโดยความวิตกกังวลและความกลัว
ความวิตกกังวล (anxiety) เป็นความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตและความกลัว (fear) เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน
โรควิตกกังวลผิดปกติ (Anxiety Disorders)
1.1 Panic Disorder
ลักษณะอาการทางคลินิก
มีอาการตื่นตระหนกเกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยอาการระยะแรกจะเกิดขึ้นมาเอง มีอาการต่อ เช่น ใจสั่น ใจเต้นแรงคือหัวใจเต้นเร็วมาก เหงื่อแตก ตัวสัน หายใจไม่อิ่มหรือหายใจขัด มึนงง วิงเวียน ปวดศีรษะหรือเป็นลม
สาเหตุ
ปัจจัยด้านชีวภาพ 1.1 พันธุกรรม 1.2 กายวิภาคของสมอง 1.3 ความสมดุลของสารสื่อประสาท พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของ norepinephrine
ปัจจัยด้านจิตใจ มักจะเกิดขึ้นภายหลังการแยกจาก หรือภาวะสูญเสีย โดยพบว่าการเกิดอาการตื่นตระหนกในครั้งแรกนั้นมักสัมพันธ์กับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
การบำบัดรักษา
ด้านร่างกาย การรักษาด้วยยา เริ่มจากกลุ่ม SSRI คู่กับ ยากลุ่ม anxiolytic agent หรือในที่นี้คือ benzodiazepine โดยใช้ในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก จากนั้นจึงค่อยๆลดยา benzodiazepine ลงหรือหยุดยา และใช้ยาแก้ซึมเศร้าเป็นยาหลัก
ด้านจิตใจ 2.1 พฤติกรรมบำบัด (behavioral therapy) 2.2 จิตบำบัดแบบการปรับความคิดและพฤติกรรม (Cognitive behavioral therapy)
จัดสิ่งแวดล้อม 3.1 การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น 3.2 ผู้บำบัดควรมีลักษณะจริงใจ
การพยาบาล
พยาบาลแสดงท่าที่สงบ ไม่คุกคามผู้ป่วย สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและรู้สึกปลอดภัย
ตระหนักถึงความรู้สึกกลัวของผู้ป่วย ประเมินระดับความวิตกกังวลด้วยการรวบรวมข้อมูลทั้งจากแบบประเมิน แบบสอบถาม หรือ การประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก
สื่อสารกับผู้ป่วยด้วยคำพูดที่เข้าใจง่าย สั้นๆ ชัดเจน ให้ผู้ป่วยบอกพยาบาลเมื่อความรู้สึกกลัว
1.2 Phobia Disorder
ลักษณะอาการทางคลินิก
Agoraphobia เป็นความกลัวการอยู่คนเดียวในที่สาธารณะ
Social Phobia เป็นความกลัวต่อการต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกผู้อื่นจ้องมอง หรือตก เป็นเป้าสายตา
Specific Phobia เดิมเรียก simple phobia เป็นการกลัวสัตว์ วัตถุหรือสิ่งของเฉพาะ หรือ กลัวเหตุการณ์บางอย่างเฉพาะ
สาเหตุ
1.ด้านชีวภาพ 1.1 สมดุลปริมาณสารสื่อประสาท 1.2 การทำงานของสมอง
ด้านจิตใจ โรคกลัวมีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่สร้างความ สะเทือนใจ
การบำบัดรักษา
1.ด้านร่างกาย การรักษาด้วยยา (pharmacotherapy) นิยมใช้ต้านอารมณ์เศร้า (antidepressant drugs) กลุ่ม SSRIS ยาคลายกังวลกลุ่ม benzodiazepine
2.ด้านจิตใจ 2.1 ใช้เทคนิคการใช้ตัวแบบ 2.2 ปรับแก้ความคิดที่บิดเบือนจากความเป็นจริงต่อคน สิ่งของ หรือสถานการณ์ที่กลัว
การจัดสิ่งแวดล้อม 3.1 การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น 3.2 ผู้บำบัดควรมีลักษณะจริงใจ
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด ยอมรับความกลัวของผู้ป่วย โดยพูดคุยด้วยกิริยาสงบท่าทางเชื่อมั่น และอยู่กับผู้ป่วยในขณะที่มีความกลัว ให้กำลังใจว่าปลอดภัย
2.ประเมินระดับความวิตกกังวลด้วยการรวบรวมข้อมูลทั้งจากแบบประเมิน แบบสอบถาม หรือ การประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก
3.พูดคุยถึงสถานการณ์ที่เป็นจริง และให้ตระหนักว่าพฤติกรรมของเขาเป็นวิธีแก้ไขความวิตกกังวล
1.3 Generalized Anxiety Disorder (GAD)
ลักษณะอาการทางคลินิก
มีความวิตกกังวลมากเกินกว่าเหตุในหลายๆเรื่องพร้อมกัน และมีความลำบากในการควบคุม ร่วมกับมีอาการ เช่น อยู่นิ่งไม่ได้ กระสับกระส่าย (restlessness) อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย (fatigue) ม่มีสมาธิ (impaired Concentration) หงุดหงิดง่าย irritability)
สาเหตุ
1.ด้านชีวภาพ 1.1 การลดลงของ GABA 1.2 การลดลงของระดับ serotonin 1.3 การเพิ่มมากเกินไปของ norepinephrine
2.ด้านจิตใจ อาการวิตกกังวลเกิดจากความขัดแย้งของ จิตไร้สำนึก มีความผิดปกติในแง่ของการรับรู้และการแปลผลต่อเหตุการณ์ในลักษณะมองโลกในแง่ร้าย
การบำบัดรักษา
1.ด้านร่างกาย การรักษาด้วยยากลุ่ม benzodiazepine แต่จะใช้ในช่วงสั้นๆเท่านั้น
2.ด้านจิตใจ 2.1ด้วยการพยายามช่วยให้ ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจสาเหตุของความวิตกกังวล 2.2มุ่ง ปรับแก้ความคิดที่บิดเบือนคือการมองตนเองด้านลบของผู้ป่วยให้กลับมามองได้อย่างเหมาะสม
การจัดสิ่งแวดล้อม 3.1จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ ลดสิ่งกระตุ้น 3.2แสดงการยอมรับในอาการของผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยเกิด ความมั่นใจด้านความปลอดภัยของตนเอง 3.33.3 ส่งเสริมการจัดกิจกรรมและกระตุ้นให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรม
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ รู้สึกปลอดภัย และเพื่อช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่เหมาะสม
2.ประเมินระดับความวิตกกังวลด้วยการรวบรวมข้อมูลทั้งจากแบบประเมิน แบบสอบถาม หรือ การประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก
3.ให้ผู้ป่วยสำรวจความรู้สึก ค้นหาสาเหตุของความวิตกกังวลร่วมกับผู้ป่วย โดยวิเคราะห์สาเหตุ ของความขัดแย้งในใจ
1.4 Obsessive-Compulsive Disorder (OCD)
ลักษณะอาการทางคลินิก
อาการย้ำคิด (obsessive) คือ การมีความคิด ความรู้สึกหรือแรงกระตุ้นให้กระทำอะไรบางอย่าง ซ้ำ ๆโดยไร้เหตุผล คิดหมกมุ่นไปมาโดยไม่มีประโยชน์ ทำให้เกิดความกังวลใจ
อาการย้ำทำ (compulsive) คือ การกระทำอย่างมีเป้าหมายชัดเจนซ้ำๆ เพื่อป้องกันหรือลด ความไม่สบายใจจากการย้ำคิดข้างต้น และเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล
สาเหตุ ุ
1.ด้านชีวภาพ 1.1 พันธุกรรม 1.2 ระดับ serotonin มีความผิดปกติ 1.3 การทำงานผิดปกติของสมองใหญ่ส่วนหน้า
2.2ด้านจิตใจ อาการย้ำคิดย้ำทำเกิดจากการที่ผู้ป่วยใช้ กลไกการป้องกันตัวเองทางจิตเพื่อจัดการกับความรู้สึกขัดแย้งในระดับจิตไร้สำนึก
การบำบัดรักษา
1.ด้านร่างกาย ยาที่นิยมใช้รักษาโรคย้ำคิดย้ำทำ ได้แก่ ยาต้านอารมณ์เศร้า (antidepressant drugs) กลุ่ม SSRIS และกลุ่ม TCAS
2..ด้านจิตใจ 2.1ใช้เทคนิคการควบคุมและการ ตรวจสอบพฤติกรรมตนเองร่วมกับใช้เทคนิคการเสริมแรง 2.2 จิตบำบัดแบบการปรับความคิดและพฤติกรรม 2.3 การบำบัดทางความคิด
การจัดสิ่งแวดล้อม 3.1สงบ ลดสิ่งกระตุ้น 3.2 ให้ผู้ป่วยได้แสดงพฤติกรรมอย่างที่ผู้ป่วยต้องการอย่างอิสระ ไม่ควรตำหนิหรือห้ามปราม 3.33.3 จัดกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรม
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและรู้สึกปลอดภัย
2.ประเมินระดับความวิตกกังวลด้วยการรวบรวมข้อมูลทั้งจากแบบประเมิน แบบสอบถาม หรือ การประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก
3.การบำบัดในช่วงแรก ควรให้ผู้ป่วยได้แสดงออกทางพฤติกรรมอย่างที่ผู้ป่วยต้องการ ไม่ควร ห้ามปราม.
1.5 Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD)
ลักษณะอาการทางคลินิก
จะมีอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรง รู้สึกสิ้นหวัง การนอนแปรปรวน ตกใจง่าย หงุดหงิด ง่าย กระสับกระส่าย คิดถึงเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจบ่อย ๆ ฝันร้ายบ่อย ๆ กลัว โกรธ ความสนใจในสิ่งต่าง ๆลดลงอย่างมาก
สาเหตุ
1.ด้านชีวภาพ 1.1 การทำงานที่ผิดปกติของยีน 1.2 การเผชิญความเครียดจากเหตุการณ์นานๆ
2.ด้านจิตใจ 2.1 เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นไปกระตุ้นความขัดแย้งในจิตไร้ สำนึกที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ผู้ป่วยเกิดพฤติกรรมถดถอยและหันไปใช้กลไกการป้องกันตนเอง 2.2ความเครียดหรือความวิตกกังวลเกิดจากการไม่ สามารถปรับตัวต่อเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นได้อย่างเหมาะสม มักใช้วิธีการหลีกเลี่ยง เปลี่ยนการรับรู้ หรือ เพิกเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การบำบัดรักษา
1.ด้านร่างกาย ยาที่นิยมใช้รักษา Post-traumatic stress Disorder ได้แก่1.1 ยาต้านอารมณ์เศร้า (antidepressant drugs) กลุ่ม SSRIS และกลุ่ม TCAS 1.2 ยาคลายกังวลและยานอนหลับ กลุ่ม benzodiazepine 1.3 ยา propranolol เพื่อบรรเทาอาการทางกาย
2.ด้านจิตใจ 2.1 จิตบำบัดแบบการปรับความคิดและพฤติกรรม2.2 การจัดการกับภาวะวิตกกังวล 2.3 การให้การปรึกษาด้านจิตใจ 2.4 การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว
3.การจัดสิ่งแวดล้อม 3.1สงบ ลดสิ่งกระตุ้น 3.2แสดงการยอมรับในอาการของผู้ป่วย พยาบาลควรมีข้อมูล เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยต้องเผชิญก่อน การช่วยเหลือควรใช้วิธีการสร้างสัมพันธภาพที่ดี มีความ เข้าใจ เคารพในสิทธิ
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและรู้สึกปลอดภัย
2.ประเมินระดับความวิตกกังวลด้วยการรวบรวมข้อมูลทั้งจากแบบประเมิน แบบสอบถาม หรือการประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก
3.ป่วยควรได้รับการประเมินภาวะซึมเศร้าและความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ความเครียด และ ปัญหาการใช้สารเสพติด
โรคโซมาโตฟอร์ม (Somatoform Disorders)
2.1 Somatic Symptom Disorder
ลักษณะอาการทางคลินิก
มีอาการผิดปกติหลายอย่างและหลายแบบ ที่พบบ่อยคืออาการปวด ซึ่ง ไม่ได้บ่งถึงโรคทางกายที่ร้ายแรง ทำให้ต้องมาหาแพทย์เป็นประจำ โดยที่แพทย์ก็ตรวจไม่พบความ ผิดปกติของร่างกาย อาการมักเป็นมากขึ้นเมื่อมีความเครียดหรือปัญหาในชีวิต
2.2 Conversion Disorder
ลักษณะอาการทางคลินิก
1.อาการด้านการเคลื่อนไหว ได้แก่ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เช่น โยกตัวไปมา พูดไม่ได้ทั้งๆที่ เคยพูดได้ (mutism) เป็นอัมพาต (paralysis) แขนขาไม่มีแรง
2.มีอาการชา (parenthesis) หรือความรู้สึกเปลี่ยนไป มักพบที่มือ เท้า
3.มีอาการชักเกร็ง ดิ้นไปมา และมักจะรู้สึกตัวดีระหว่างชัก และไม่พบอาการบาดเจ็บจากการชัก
4.มีอาการหูไม่ได้ยิน ตามองไม่เห็น หรือมองเห็น เฉพาะหน้าตรงๆ พูดไม่มีเสียง
5.อาการชาร่วมกับการยกแขนขาไม่ขึ้น เมื่อเกิดอาการแล้ว ผู้ที่มีปัญหาได้รับการตอบสนองหรือผลประโยชน์ใน 2 ส่วน คือ Primary gain ช่วยปกป้องตัวผู้ป่วยให้ไม่ต้องไปรับรู้ความยุ่งยาก ความทุกข์ใจ Secondary gain ช่วยให้ได้รับแรงเสริมหรือได้รับประโยชน์จากคนรอบข้าง
2.3 Illness Anxiety Disorder
ลักษณะอาการทางคลินิก
มีความคิดหมกมุ่นว่าตนเองเป็นโรคร้ายแรง ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยทางกาย มักไปพบแพทย์หลายแห่ง ได้รับการตรวจหลายอย่าง และได้รับการ ยืนยันจากแพทย์ว่าไม่พบโรคหรือความผิดปกติใดๆ แต่ผู้ป่วยก็ยังคงเชื่อว่าตนป่วยอยู่ดี ดังนั้นจึงมัก พบว่าผู้ป่วยมีอารมณ์ซึมเศร้า และวิตกกังวลร่วมด้วย
2.4 Body Dysmorphic Disorder
ลักษณะอาการทางคลินิก
ผู้ป่วยจะหมกมุ่นกับความคิดที่ว่า ส่วนของร่างกายตนเองน่าเกลียด ไม่สมส่วน แม้ตามความ เป็นจริงผู้ป่วยไม่ได้น่าเกลียด หรือมีรูปร่างสมส่วนดีอยู่แล้ว ผู้ป่วยมักจะคอยสังเกตดูอวัยวะนั้นอยู่ บ่อยๆซึ่งมักเป็นส่วนบริเวณใบหน้า
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่เหมาะสม
2.รับฟังปัญหาและให้ความรู้เรื่องความวิตกกังวล สอนทักษะการควบคุมและการลดความวิตกกังวล
3.ไม่ส่งเสริมบทบาทความเจ็บป่วย พยายามให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเอง
4.ฝึกให้ผู้ป่วยรู้จักการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การควบคุมการหายใจเพื่อควบคุมและลดความวิตก กังวล
โรควิตกกังวล เป็นโรคที่บุคคลเกิดความรู้สึกตระหนก หวาดหวั่น กลัวโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน