Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.2)ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy) -…
4.2)ภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders of pregnancy)
{2}ชนิดของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
(2.1)ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ (gestational hypertension) หมายถึง ภาวะความดัน โลหิตสูงที่วินิจฉัยได้ครั้งแรกในระหว่างการตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
(2.2)ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (chronic hypertension) หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูง
ที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือวินิจฉัยได้ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
(2.3)ครรภ์เป็นพิษ หรือ ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก (preeclampsia)
หมายถึง กลุ่มอาการของความดันโลหิตที่พบครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์
หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะอย่างน้อย 300 มิลลิกรัม
(2.4)ครรภ์เป็นพิษซ้อนทับกับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (preeclampsia superimposed on chronic hypertension) หมายถึง สตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
เมื่อตั้งครรภ์แล้วพบมีภาวะครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน
{1}ความหมายของภาวะโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
(1.1)ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension) หมายถึง ภาวะที่ค่าความดัน systolic
มากกว่า 140 mmHg. หรือค่าความดัน diastolic มากกว่า 90 mmHg.
(1.2)ภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension: PIH) หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุจากการตั้งครรภ์ พบในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
(1.3)ภาวะความดันโลหิตสูงหลังคลอด (postpartum hypertension)
หมายถึง สตรีที่มีความดันโลหิตปกติขณะตั้งครรภ์ (normotensive gestation)
แล้วมีความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ หลังคลอด ถึง 6 เดือนหลังคลอด
{3}สาเหตุของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ระยะที่ 1 ระยะก่อนแสดงอาการ (preclinical หรือ asymptomatic stage) กระบวนการนี้เริ่มในระยะท้ายของไตรมาสแรก และเสร็จสิ้นเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 18-20 สัปดาห์
ระยะที่ 2 ระยะแสดงอาการ (clinical stage) เกิดความผิดปกติในการทําหน้าที่ของเนื้อเยื่อบุโพรงหลอดเลือด กระตุ้นให้เกิดภาวะ oxidative stress เข้าไปในในระบบไหลเวียนเลือดของมารดา
{4}ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
(4.1) ยาป้องกันการชัก (anticonvulsant)
Magnesium Sulfate (MgSO4)
ผลข้างเคียง
1.ทําให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว จึงทําให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวตาม ธรรมชาติไม่ดีเมื่อเข้าสู่ระยะคลอด หรือเมื่อต้องการให้ยุติการตั้งครรภ์
2.มีปัสสาวะออกน้อยลง อาจทําให้เกิดการสะสมของ magnesium
ในกระแสเลือด
3.อาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบทั้งตัว เซื่องซึมและง่วงนอน มีเหงื่อออกมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง อุณหภูมิร่างกายต่ำ
(4.2)ยาลดความดันโลหิต (antihypertensive dtrugs)
1))Hydralazine (Apresoline® หรือ Nepresol®)
การบริหารยา
1.เริ่มให้ยาครั้งแรกขนาด 5 mg. ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดําใน 2 นาที แล้วประเมินความดันโลหิตทุก 5 นาทีหลังฉีด
2.หลังจากนั้น 20 นาที หาก diastolic > 110 mmHg ให้ยาซ้ำอีก 10 mg.
ทุก 20 นาที จนกว่าค่า diastolic อยู่ระหว่าง 90-100 mmHg ควรระวังไม่ให้ diastolic ลดต่ำกว่า 90 mmHg.
ผลข้างเคียง
ปวดศรีษะ
วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
คลื่นไส้ อาเจียน
ใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ
2))Labetalol (Avexor®)
การบริหารยา
1.เริ่มให้ยาครั้งแรกที่ขนาด 20 mg. เข้าหลอดเลือดดําช้าๆ นาน 2 นาที แล้ววัดความดันโลหิตซ้ำทุก 10 นาที
2.หากความดันโลหิตยังไม่ลดลง ให้ได้ทุก 10-15 นาที ในขนาด 40, 80, 80, และ 80 mg. ตามลําดับ แต่ขนาดยารวมกันต้องไม่เกิน 220-300 mg.
ผลข้างเคียง
ความดันโลหิตต่ำ
เวียนศีรษะ คลื่นไส้
คัดจมูก หายใจลำบาก
3)) Nifedipine (Adalat®)
การบริหารยา
1.ให้ในรูปแบบยารับประทานเท่านั้น นิยมให้ยาขนาด 10-20 mg. และให้ยาซ้ำได้ทุก 15-30 นาที โดยขนาดยามากที่สุดที่รับได้ต้องไม่เกิน 50 mg.
2.ไม่ควรให้ยาแบบอมใต้ลิ้น เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตต่ำ
3.หากระดับความดันโลหิตยังที่วัดซ้ำยังอยู่ที่ระดับ 140/100 mmHg. ระดับยาที่ได้รับไม่ควรเกิน120mg/24hr.
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
ใจสั่น คลื่นไส้
เหงือกอักเสบ
{8}การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
8.1)การพยาบาลสตรีที่มีภาวะ preeclampsia without severe features
1.ดูแลให้นอนพักบนเตียง (bed rest) ในท่านอนตะแคงซ้าย
2.ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
3.ดูแลและติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
4.ติดตามและเฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของ preeclampsia ที่รุนแรงขึ้น
5.ดูแลให้รับประทานอาหารธรรมดา บันทึกสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย
และชั่งน้ําหนัก
7.ประเมินและให้การประคับประคองสภาวะทางอารมณ์ และจิตใจอย่างเหมาะสม
6.ดูแลติดตามการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
8.2)การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ preeclampsia with severe features
1.ดูแลให้นอนพักบนเตียงอย่างเต็มที่ (absolute bed rest) โดยจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
ลดการกระตุ้นจากภายนอก ทั้งแสงและเสียงรบกวน
6.ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตตามแผนการรักษา เช่น hydralazine
2.ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมง
3.บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกในแต่ละวัน
4.ประเมินอาการนําก่อนการชัก
5.ดูแลให้ยาป้องกันชัก MgSO4 ตามแผนการรักษา และให้การดูแลภายหลังให้ยา
7.ดูแลและส่งเสริมการขับสารน้ําออกจากร่างกาย โดยให้นอนตะแคงซ้าย
บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย
8.ติดตามประเมินระดับ oxygen saturation ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
8.3)การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ eclampsia
1.ใส่ oral airway หรือ mouth gag เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้นและความสะดวกในการดูดเสมหะและน้ําลาย เพื่อป้องกันการสําลัก
2.จัดให้นอนตะแคง ใส่ไม้กั้นเตียงโดยใช้หมอนรองรับรอบด้าน
เพื่อป้องกันอันตรายจากการชัก
3.ให้ออกซิเจนขณะชักและภายหลังชัก เพื่อประเมินความรุนแรงของการขาดออกซิเจน
4.ดูแลให้ได้รับยาระงับชักตามแผนการรักษา
5.ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
อย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง
6.บันทึกปริมาณสารน้ําเข้าและออกจากร่างกาย
7.สังเกตและบันทึกอาการทางสมอง ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัว
ขนาดของ pupil และการตอบสนองต่อแสง การเคลื่อนไหวของลูกตา
8.สังเกตและบันทึกอาการนําของการชัก ระยะเวลาของการชัก
ระยะเวลาที่หยุดหายใจ ระดับความรู้สึกตัว
9.รายงานแพทย์เมื่อมีอาการนําของการชักหรือขณะชัก และดูแลให้ได้รับยาระงับการชัก
10.งดอาหารและน้ําตามแผนการรักษา
11.จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ และลดสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชัก
12.ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เป็นระยะ การหดรัดตัวของมดลูก และการแตกของถุงน้ําคร่ำหลังการชัก
13.เตรียมสตรีตั้งครรภ์เพื่อคลอดตามสถานการณ์ เช่น การคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการทางช่องคลอด หรือการผ่าตัดคลอด
14.ดูแลและป้องกันการชักซ้ำภายหลังคลอด
15.ให้การดูแลป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
16.ดูแลทารกแรกเกิด ซึ่งอาจมีภาวะขาดออกซิเจน คลอดก่อนกําหนด หรือน้ําหนักแรกคลอดน้อย
{5}ปัจจัยเสี่ยง
1.สตรีที่ไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน (nulliparity)
2.ประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ก่อน
3.ผ่านการคลอดบุตรคนก่อนมาอย่างน้อย 10 ปี
4.สตรีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งในสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด และเคยผ่านการคลอดมาแล้ว
5.มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 kg/m2 ขึ้นไป หรืออ้วน
6.การตั้งครรภ์แฝด หรือมากกว่า 3 คนขึ้นไป
7.คนในครอบครัวมีประวัติครรภ์เป็นพิษ
8.มีประวัติมีความเจ็บป่วยทางอายุรกรรม ได้แก่ ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง
โรคเบาหวาน (type I หรือ type II) ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด (thrombophilia) และโรคภูมิแพ้ตัวเอง
9.มีความผิดปกติทางสูติกรรม เช่น กลุ่มอาการถุงน้ํารังไข่หลายใบ การทําเด็กหลอดแก้ว เป็นต้น
10.มีภาวะโภชนาการบกพร่อง เช่น ขาดวิตามินซี วิตามินอี ขาดแคลเซียม เป็นต้น
{6}ภาวะ Eclampsia
6.1)ภาวะครรภ์เป็นพิษ มีระยะของการชักดังนี้
1.ระยะก่อนชัก (Premonitoring stage) อาจมีอาการหรืออาการแสดงบอก
เช่นกระสับกระส่าย ตามองนิ่งอยู่กับที่ ศีรษะหมุนไปด้านหนึ่งจนตึง และรูม่านตาขยาย
2.ระยะเริ่มแรกของอาการชัก (Stage of invasion) มีอาการกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า
และมุมปากกระตุก ริมฝีปากเบี้ยว ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที
3.ระยะชักเกร็ง (Stage of contraction หรือ tonic stage) มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
ลําตัวเหยียด ศีรษะหงายไปด้านหลัง มือกําแน่น และตาถลน
4.ระยะชักกระตุก (Stage of convulsion หรือ clonic stage)
จะมีการกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอย่างแรง มีการกระตุกของขากรรไกร
5.ระยะหมดสติ (coma หรือ unconscious) เกิดภายหลังการชักกระตุก
นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ในสภาพหมดแรง อาจมีอาการหยุดหายใจเป็นบางครั้ง
6.2)ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
1.รกลอกตัวก่อนกําหนด
2.เลือดแข็งตัวผิดปกติ (DIC)
หัวใจขาดเลือด
4.ภาวะหัวใจล้มเหลว
5.ไตวายเฉียบพลัน
6.เกิดน้ําท่วมปอด หรือปอดบวมน้ํา
7.ภาวะเลือดออกในสมอง
8.เลือดออกในตับจนมีการตายของเซลล์ตับ
หรือตับวาย (hepatic failure)
9.เกล็ดเลือดต่ำ
10.เกิดการหลุดของเรตินา อาจทำให้ตาบอดชั่วคราว
11.หลอดเลือดอุดตัน (deep venous thrombosis)
12.อื่นๆ เช่น สําลักเศษอาหารเข้าหลอดลม กัดลิ้น ข้อเคลื่อน กระดูกหัก เป็นต้น
6.3)ผลกระทบต่อทารก
1.ทารกในครรภ์โตช้า
2.เกิดภาวะขาดออกซิเจน และเลือดเป็นกรด
3.ทารกคลอดก่อนกําหนด
4.เกิดแท้งหรือเสียชีวิตในครรภ์
5.ทารกตายในครรภ์เฉียบพลันหรือตายในระยะแรกเกิด
6.ถ้าหากการรักษาด้วย magnesium sulfate ในระยะคลอด ซึ่งยานี้ผ่านรกไปสู่ทารก
ได้ ทารกแรกเกิดอาจมีรีเฟล็กซ์ และการหายใจไม่ดี แต่อาการจะหายไปใน 3-4 วัน