Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เด็กชายนำโชค อายุ 8 เดือน Dx. Meningitis, นส. ทิพธาราวัลย์ เพชรหาญ…
เด็กชายนำโชค อายุ 8 เดือน
Dx. Meningitis
ระบบหายใจ
มีภาวะพร่องออกซิเจน
เนื่องจากปอดทำงานไม่มีประสิทธิภาพจากการติดเชื้อ
ข้อมูลสนับสนุน
S : มารดาบอกว่าเด็กหายใจเหนื่อยหอบ
O : อัตราการหายใจ 40 bpm (24-40 bpm)
: วัด O2 sat 100%
: ฟังปอดได้ยินเสียง Crepitation and secretion breast lung
: ผล Chest x- ray พบ RUL-atelectasis
A :จากการฟังปอดได้ยินเสียง Crepitation and secretion breast lung ทำให้ทราบว่าผู้ป่วยมีเสียงกรอบแกรบในปอดและสารคัดหลั่ง และในผลChest x- ray พบ RUL-atelectasis พบว่าผู้ป่วยมีอาการปอบแฟบ จึงทำให้ปอดทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้พื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างปอดกับกระแสโลหิตลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินภาวะพร่องออกซิเจนจากระดับ On ventilator SIMV c PS เวรละ 1 ครั้ง Keep > 98% และระดับความรู้สึกตัว ลักษณะการหายใจ อาการหอบเหนื่อย การตรวจสภาพสีผิว ปลายมือปลายเท้า ความรู้สึกตัว สัญญาณชีพทุก 2 ชั่วโมงหรือทุก 4 ชั่วโมง ตามสภาพผู้ป่วยเพื่อจะได้ให้การพยาบาลได้ทันท่วงทีและรายงานแพทย์ทราบทันทีเมื่อพบภาวะผิดปกติ
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยจัดให้นอนศีรษะสูง 30 องศา เพื่อให้ปอดได้ยืดขยายได้เต็มที่
ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดลมตามแผนการรักษา ได้แก่ Ventolin 0.5ml + 3% NSS 4 ml NB q 8 hr c CPT suction
เช็ดตัวลดไข้และให้ยา และดูแลให้ยา Levetiracetam 30 (MKD) 279 IV drip in 10 min ตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการชัก
ฟังเสียงปอดเป็นระยะ ๆ ในขณะที่เหนื่อยหอบ เพื่อประเมินการหดรัดตัวที่ผิดปกติของหลอดลมและทำกายภาพบำบัดทรวงอก (chest physiotherapy) เพื่อให้เสมหะนั้นขับออกมาได้สะดวก
แนะนำให้ผู้ดูแลเด็กให้เด็กดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อที่จะช่วยทำให้เสมหะที่คั่งอยู่ในปอดนั้นอ่อนตัวลงและมีการขับออกมาได้ง่ายขึ้น
ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล ปลอบโยน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับพยาบาลและลดปัญหากลัวคนแปลกหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการพยาบาลมากขึ้น
เตรียมของใช้และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยได้ตลอดเวลาถ้ามีภาวะฉุกเฉิน
ระบบภูมิคุ้มกัน
มีภาวะติดเชื้อในร่างกายเนื่องจากไม่มีภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ข้อมูลสนับสนุน
A: ผู้ป่วยไม่ได้รับวัคซีน BCG ตั้งแต่แรกเกิด จึงไม่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายเนื่องจาก วัคซีน BCG เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในทารกและเป็นการป้องกันโรคร้ายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะวัณโรค เมื่อทารกไม่เคยได้รับวัคซีนนี้จึงไม่มีภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันเชือโรค
S : ผู้ป่วยไม่เคยได้รับวัคซีน BCG แรกเกิด
O : จากผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการ
White Blood Count = 1,170/uL
Lymphocytes= 19%
: จากการวัด V/S Temperature = 37.6 - 38.4 *C
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ท้องเสีย ปวดท้อง ปัสสาวะแสบขัดบ่อย อาจมีปัสสาวะเป็นเลือด ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง อาจสับสน ซึม ชัก แขนขา อ่อนแรง โคม่า เมื่อเป็นการติดเชื้อของสมอง(สมองอักเสบ)หรือการติดเชื้อของเยื่อหุ้มสมอง (ยื่อหุ้มสมองอักเสบ) เพื่อติดตามประเมินภาวะติดเชื้อ
วัด vital signs ทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิของร่างกาย ถ้าวัดอุณหภูมิได้มากกว่าหรือเท่ากับ 38.0องศาเซลเซียสเป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง
อาจเสี่ยงต่อภาวะ Febrile neutropenia ได้
ให้คิดคำนวณค่า Absolute Neutrophil Count ถ้าต่ำกว่า Absolute
Neutrophil Count น้อยกว่า 500 cell/mm แยกเด็กออกจากเด็กโรคติดเชื้ออื่นๆโดยให้อยู่ห้องแยกเดี่ยวพร้อมให้ผู้ป่วยสวมmask และติดป้ายหน้าห้องและปลายเตียง จำกัดผู้เข้าเยี่ยม ผู้ที่เป็นหวัดไอ ไม่ควรเข้าเยี่ยมเด็ก
หากจำเป็นต้องสวมผ้าปิดปากจมูกก่อนเข้าเยี่ยม ให้การพยาบาลโดยยึด
หลักสะอาดปราศจากเชื้อ ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาล
สวมผ้าปิดปากจมูก เสื้อคลุมเปลี่ยนรองเท้า และอธิบายให้เด็กและญาติเข้าใจเกี่ยวกับการอยู่ห้องแยก และการปฏิบัตินเมื่อเข้าเยี่ยม
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ตรวจตำแหน่งที่ให้ยาและสารน้ำ ถ้ามีลักษณะบวมแดง ร้อน บริเวณที่แทงเข็มให้ยาและสารน้ำควรหยุดการให้ยาหรือสารน้ำ แล้วให้รายงานแพทย์ให้ทราบพร้อมทั้งเปลี่ยนตำแหน่งที่ให้ยาและสารน้ำใหม่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
งดอาหารไม่สุก อาหารหมักดอง ผักสด ผลไม้ทั้งเปลือก เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งและป้องกันการติดเชื้อจากอาหารที่ไม่สะอาด
รักษาความสะอาดของร่างกาย ผิวหนัง ปาก ฟัน เละอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอ ถ้าเด็กมีแผลและเลือดออกในช่องปากให้ดูแลทำความสะอาดช่องปากให้บ่อยๆ โดยการให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ ทากลีเซอร์ลีน บอแร็ก เพื่่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ถ้ามีฟันผุให้ปรึกษาทันตแพทย์ และบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ จะเป็นบริเวณที่จะเกิดเชื้อราได้ง่าย ให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และซับให้แห้งภายหลังขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
การให้วัคซีน บิดามารดาควรให้เด็กได้รับวัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการตรวจเลือด
ดูจำนวนเม็ดเลือดขาว ผลการเพาะเชื้อต่างๆ ถ้ามี ไข้เกิน 39 องศาเซลเซียส 1ครั้ง หรือเกิน 38 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดต่อกันใน 24 ชั่วโมง หรือ
เม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 1,000 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร ควรรายงานแพทย์
เพื่อพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะแก่เด็ก
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์
ระบบควบคุมอุณหภูมิ
เสี่ยงต่อการเกิดอาการซักช้ำจากไข้สูง
ข้อมูลสนับสนุน
O: T = 38.9 หลังเช็ดตัวลดไข้ 38.4 องศาเซลเซียส
S: ผู้ป่วยมาด้วยอาการชัก ไข้สูง
A : ภาวะสมองของทารกที่ยังไม่เจริญเต็มที่นั้น ทำให้มีโอกาสชักได้ โดยการกระตุ้นจากปัยจัยต่างๆ โดยเฉพาะ ไข้สูง ซึ่งหากมีไข้สูงจะทหำให้มีการชักซ้ำได้ใน 1-2 ปีแรก 30-35%
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการซักจะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ดูแลให้การพยาบาลขณะที่มีอาการชักจากไข้สูงอาการชักจากไข้สูง
เพื่อป้องกันอันตรายจาก การชัก ดังนี้
3.2 ดูแลเรื่องของระบบทางเดินหายใจให้เด็กหายใจได้สะดวก โดยการจัดทำนอนตะแคงศีรษะต่ำกว่าลำตัวดูดเสมหะถ้ามีเสมหะหรือน้ำลายมากเพื่อป้องกันการสำลักเสมหะเข้าปอด หรือให้ออกซิเจนเมื่อเด็กมีอาการเขียวขณะมีอาการชัก
3.3 ไม่ผูกยึดเด็กหรือจับเด็กขณะมีอาการชักเพราะอาจเกิดข้อไหล่หลุดหรือกระดูกหัก
3.1 คลายเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
3.4 ไม่ใส่ไม้กดลิ้นเข้าปากเด็ก เพราะอาจทำให้ฟันหักและฟันที่หักอาจตกลงไป ในลำคอเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
ถ้ามีสิ่งของหรือเศษอาหารค้างในปากเด็กให้ล้วงออกมา
5 ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขณะมีอาการชัก
เช่น การตกเตียง การกระทบกระแทกกับขอบเตียง กระดูกหักเคลื่อนที่
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง ถ้ามีไข้สูงกว่า 37.5องศาเซลเชียส ให้เช็ดตัว ถ้าไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ให้เช็ดตัวลดไข้ภายหลังจากเช็ดตัวลดไข้ครึ่งชั่วโมง วัดไข้ซ้ำถ้าไข้ยังสูงกว่า
38.5 องศาเชลเชียสให้ยาลดไข้ตามแผนการรักษา
เพื่อป้องกันการชักจากไข้สูง
สังเกตและบันทึกระยะเวลาของการชัก ลักษณะการชัก
สังเกตริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้า ลักษณะการหายใจ วัด 02-sat
ดูแลให้เด็กนอนหลับพักผ่อนภายหลังจากมีอาการชักและไม่รบกวนเด็ก
โดยไม่จำเป็น
ระบบไหลเวียนเลือด
มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเนื่องจากร่างกายได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ
ข้อมูลสนับสนุน
O : จากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ค่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ 16 mg/dl (40-70 mg/dl)
HGB 9.1 g/dl (4-18g/dl)
HCT 29.1 % (41-51%)
A : จากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ HGB 9.1 g/dl (4-18g/dl)
HCT 29.1 % (41-51%) ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ โดยจะทำใ้ห้เกิดอาการอ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย หน้ามืด อีกทั้งภาวะโลหิตจางจะสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำได้
S : ไม่มี
กิจกรรมการพยาบาล
1.วัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 1 เวร หากมีอาการผิดปกติแจ้งแพทย์
2.สังเกตตระดับความรู้สึกตัวและอาการแสดงของผู้ป่วย เช่น ซึม กระวนกระวาย ใจสั่น
3.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงเพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงและวางแผนให้การช่วยเหลือทันที
4.ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อประเมินระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันที
นส. ทิพธาราวัลย์ เพชรหาญ เลขที่ 27 ปี2 ห้อง2 รหัส 62125301057