Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต, นาย จิรวัฒนื…
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต (Hypertensive crisis)
สาเหตุ
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที (Sudden withdrawal of antihypertensive medications)
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด
ความหมาย
ที่มีค่าความดัน
โลหิตซิสโตลิก ตั้งแต่ 140 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตไดแอสโตลิกตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตที่วัดจากสถานพยาบาล
ผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป
อาการและอาการแสดง
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
ความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤตที่ทำให้เกิดอาการทางสมอง เรียกว่า hypertensive encephalopathy
สับสน
คลื่นใส้อาเจียน
การมองเห็นผิดปกติ
ปวดศีรษะ
น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
การซักประวัติ
ซักประวัติการเป็นโรคประจำตัว ได้แก่โรคความดันโลหิตสูง
ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา
ผลข้างเคียงของยาที่ใช้
การสูบบุหรี่
ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว
ความดันโลหิตสูงขณะ
ตั้งครรภ์
โรคอื่นๆที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง
renal artery stenosis
coarctation ของ aorta
โรคของต่อมหมวกไต
โรคไทรอยด์เป็นพิษ
สอบถามอาการของอวัยวะที่ถูกผลกระทบจากโรค
ความดันโลหิตสูง (target organ damage, TOD)
โรคหลอดเลือดสมอง
มองเห็นไม่ชัดหรือตามัวชั่วขณะ (blurred vision)
ระดับความรูู้สึกตัวผิดปกติ (change in
level of consciousness)
ปวดศรีษะ
(Headache)
หมดสติ(Coma)
โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
เหนื่อยง่ายแน่นอกเวลาออกแรง
ไตวายเฉียบพลัน จะพบว่า ปริมาณปnสสาวะลดลง หรืออาจไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะ
มีอาการ เจ็บหน้าอก (chest pain)
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพโดยเฉพาะความดันโลหิตเปรียบเทียบกันจากแขนซ้ายและขวา น้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนี
มวลกาย เส้นรอบเอว
แขนขาชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีก blurred vision,change in level of consciousness, Coma
ตรวจจอประสาทตา
ถ้าพบ Papilledema ช่วยประเมินภาวะ increased intracranial pressure ตรวจ retina
ถ้าพบ cotton-wool spots and hemorrhages แสดงว่า มีการแตกของ retina blood vessels และ retina nerves ถูกทำลาย
อาการของ oliguria or azotemia (excess urea in the blood) แสดงถึงภาวะไตถูกทำลาย
Chest pain บอกอาการของ acute coronary syndromeor aortic dissection
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจการทำงานของไตจากค่า Creatinine และ Glomerular filtration rate (eGFR) และค่าอัลบูมินในปัสสาวะ
ประเมินหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12-lead ECG) และ chest X-ray
ตรวจ CBC ประเมินภาวะ microangiopathic hemolytic anemia (MAHA)
ในรายที่สงสัยความผิดปกติของสมอง ส่งตรวจเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟsาสมอง
การรักษา
ผู้ป่วย Hypertensive crisis ต้องให้การรักษาทันทีใน ICU และให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
ลดความดันโลหิตเฉลี่ย (mean arterial pressure) ลงจากระดับเดิม 20-30% ภายใน 2 ชั่วโมงแรก และ 160/100 มม.ปรอท ใน 2-6 ชั่วโมง
เป้าหมายเพื่อลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ต้องการโดยป้องกันอวัยวะต่างๆไม่ให้ถูกทำลายมากขึ้นและไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการักษา
ยาลดความดันโลหิตที่พึงประสงค์ควรออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็วเมื่อหยุดยา
กลุ่ม adrenergic blocker
labetalol
กลุ่ม calcium channel blocker
nicardipine
กลุ่มvasodilator
กลุ่ม angiotensin-converting enzyme inhibitor
sodium nitroprrusside
nitroglycerin,
การพยาบาล
ในระยะเฉียบพลัน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ ได้แก่ neurologic, cardiac, and renal systems
ในระหว่างได้รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยาโดยติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการลดลงของความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ควรลด SBP ลงมาต่ำกว่า 120 มม.ปรอท
ความดันโลหิต DBP ที่เหมาะสม คือ 70-79 มม.ปรอท เพื่อให้เพียงพอต่อ coronary artery filling
ถ้ายากลุ่ม vasodilator ลด DBP มากเกินไป เมื่อ coronary artery filling เกิดจะทำให้เกิด myocardial ischemia
ผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดร่วมกับความดันโลหิตสูงวิกฤต ควรควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 180/105 มม.ปรอทใน 24 ชั่วโมงแรก แต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าความดันโลหิตเริ่มต้น
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลาย ได้แก่ ชีพจร capillary refill อุณหภูมิของ ผิวหนัง
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงไต ได้แก่ ปริมาณปnสสาวะสมดุลกับสารน้ำที่รับเข้าร่างกาย ค่า BUN Cr ปกติ
การรักษาด้วย short-acting intravenous antihypertensive agents ได้แก่ sodium nitroprusside แพทย์จะเริ่มให7ขนาด0.3-0.5 mcg/kg/min และเพิ่มครั้งละ 0.5 mcg/kg/minทุก 2-3 นาทีจนสามารถคุมความดันโลหิตได้ ขนาดยาสูงสุดให้ไม่เกิน 10 mcg/kg/min
ผสมยาใน D5W และ NSS หลังจากผสมแล้วยาคงตัว 24 ชั่วโมง เก็บยาให้พ้นแสงและตลอดการให้ยาแก้ผู้ป่วย
หากพบว่ายาเปลี่ยนสีเข้มขึ้น หรือเป็นสีส้ม น้ำตาล น้ำเงิน ห้ามใช้ยาเนื่องจากเกิดการสลายตัวของยาซึ่งจะปล่อย cyanide ออกมา
ให้ยาทาง infusion pump เท่านั้นห้ามฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรง
ติดตามอาการไม่พึงประสงค์
ภาวะกรด (acidosis)
cyanide toxicity ซึ่งจะมีอาการ หัวใจเต้นเต็ว ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง หายใจตื้นเร็ว มีภาวะกรด ชัก และหมดสติ
หัวใจเต้นช้า
อักเสบหลอดเลือดดำ (phlebitis)
ความดันโลหิตต่ำอย่างรวดเร็ว (excessive hypotension)
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม เช่นการจัดท่านอนให้สุขสบาย การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ และจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ เช่น ปลดไฟหัวเตียง เพื่อส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ
ให้ความรู้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิต และเหตุผลที่ต้องติดอุปกรณ์ที่ใช้เฝ้าระวังต่างๆหลังจากควบคุมความดันโลหิตได้แล้วควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเพื่อลดปnจจัยเสี่ยง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ
(Risk for ineffective peripheral tissue perfusion)
วิตกกังวล (Anxiety related to threat to biologic, psychologic, or social integrity)
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
(Risk for ineffective cerebral tissue perfusion)
พร่องความรู้ (Deficient knowledge related to lack of previous exposure to information
Cardiac dysrhythmias
Atrial fibrillation (AF)
ความหมาย
ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว เกิดจากจุดปล่อยกระแสไฟฟsา (ectopic focus) ใน atriumส่งกระแสไฟฟ้าออกมาถี่และไม่สม่ำเสมอและไม่ประสานกัน ทำให้ atrium บีบตัวแบบสั่นพริ้ว
อัตราการเต้นของ atrial มากกว่า 350 ครั้ง/นาที อัตราการเต้นของ ventricle ขึ้นอยู่กับคลื่นไฟฟ้าจาก atrium ที่สามารถผ่านลงมาที่ ventricle
ถ้าอัตราการเต้นของ ventricle 60-100 ครั้ง/นาที เรียกว่า controlled response ถ้าอัตราการเต้นของ ventricleมากกว่า100 ครั้ง/นาที เรียกว่า rapid ventricular response
ประเภทของ AF
Persistent AF หมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา หรือการช็อค ไฟฟ้า
Permanent AF หมายถึง AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
1.Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า(Electrical Cardioversion
Recurrent AF หมายถึง AF ที่เกิดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
Lone AF หมายถึง AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุ
โรคหัวใจรูห์มาติก
ภาวะหัวใจล้มเหลว
โรคหัวใจขาดเลือด
ความดันโลหิตสูง
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery)
hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง
เหนื่อยเวลาออกแรง
คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
ใจสั่น อ่อนเพลีย
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker, calcium channel blockers, amiodarone
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีขอบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทำ Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อ
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และ
ไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
Ventricular tachycardia (VT)
ความหมาย
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิด
การเต้นของหัวใจ ในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ำเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที
ซึ่งจุดกำเนิดอาจมีตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง ลักษณะ ECG ไม่พบ P wave ลักษณะ QRS complex มีรูปร่างผิดปกติกว้างมากกว่า 0.12 วินาที VT อาจเปลี่ยนเป็น VF ได้ในทันทีและทำให้เสียชีวิต
ประเภทของ VT แบ่งเป็น
Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
. 2. Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาที ซึ่งมีผลทำให้ระบบไหลเวียน
โลหิตในร่างกายลดลง
Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
สาเหตุ
ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction)
โรคหัวใจรูห์มาติก
(Rheumatic heart disease)
ถูกไฟฟ้าดูด
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
พิษจากยาดิจิทัลลิส (Digitalis
toxicity)
กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
อาการและอาการแสดง
อาการเกิดทันที ผู้ป่วยจะรู้สึกใจสั่น
ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด
เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก
หัวใจหยุดเต้น
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที และเปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปnสสาวะ เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง และอวัยวะสำคัญลดลง
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator เพื่่อให์แพทย์ทำการช็อกไฟฟ้าหัวใจ ในระหว่างเตรียมเครื่องให้ทำการกดหน้าอกจนกว่าเครื่องจะพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้า
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียม
ผู้ป่วยในการทำ synchronized cardioversion
3.Ventricular fibrillation (VF)
ความหมาย
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการ
เต้นของหัวใจตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ
ลักษณะ ECG จะไม่มี P wave ไม่เห็นรูปร่างของ QRS complex ระบุไม่ได้ว่าส่วนไหนเป็น QRS complex ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขผู้ป่วยจะหัวใจหยุดเต้นทันที
สาเหตุที่ทำให้เกิด VF และ Pulseless VT
Hypovolemia
Hypoxia
Hydrogen ion (acidosis)
Hypokalemia
Hyperkalemia
Tension pneumothorax
Cardiac tamponade
Pulmonary thrombosis
Toxins
Coronary thrombosis
อาการและอาการแสดง
อาการเกิดทันที คือ หมดสติ ไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย
อาการเกิดทันที คือ หมดสติ ไม;มีชีพจร รูม;านตาขยาย
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของ อัตรา และจังหวะการเต้นของหัวใจ
การพยาบาล
ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยว่ามียาชนิดใดที่มีผลต่อ อัตรา และจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือไม่ ถ้าพบให้รายงานแพทย์ทันที
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยง (Tissue
perfusion) ลดลง จากระดับความรู้สึกตัวลดลง
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด เพื่อหาสาเหตุนำของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยเฉพาะ ST segment
เพื่อประเมินภาวะ Myocardial tissue perfusion และป้องกันการเกิด Myocardial ischemia
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษาในกรณีที่ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดงที่วัดจากปลายนิ้ว (O2 saturation หรือSpO2) น้อยกว่า 93% ในผู้ป่วยที่เป็น Stroke หรือ Acute MI ระดับ SpO2 ที่ปลอดภัยในผู้ป่วยวิกฤตทั่วไปอยู่ระหว่าง 90-94% ในผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการมีคาร์บอนไดออกไชด์คั่ง อยู่ระหว่าง 88-92%
ให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษาและเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำ synchronized
cardioversion ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่รุนแรง(Nonlethal dysrhythmias) ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที ให้เตรียมอุปกรณ์สำหรับใส่ temporary pacing
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง (lethal dysrhythmias)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure [AHF])
ความหมาย
การเกิดอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรวดเร็วจากการทำงานผิดปกติของหัวใจทั้งการบีบตัวหรือการคลายตัวของหัวใจ
การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ หรือการเสียสมดุลของ preload และafterload โดยอาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจเดิม(decompensated)
แสดงอาการครั้งแรกในผู้ที่ไม่เคยมีโรคหัวใจเดิมอยู่ก็ได้ (de novo heart failure)ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติได้หลายระบบไม่จำกัดเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด
สาเหตุ
โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
ภาวะหัวใจวาย
กลไกการไหลเวียนของเลือดผิดปกติเฉียบพลัน
กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงจากความผิดปกติอื่นๆ
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
หลอดเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน
เกิดได้จากปัจจัยกระตุ้น
ความผิดปกตินอกระบบหัวใจและหลอดเลือด
การใช้ยาไม่สม่ำเสมอ
ภาวะน้ำเกิน
การควบคุมปริมาณเกลือในอาหารไม่
เพียงพอ
หลอดเลือดปอดอุดตัน โรคติดเชื้อ
โรคปอดเรื้อรัง
ยาแก้ปวดกลุ่ม
NSAIDs
ภาวะโลหิตจาง
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ
ภาวะทุพโภชนาการ
สารออกฤทธิ์เป็นพิษต่อหัวใจ
ความผิดปกติ
ทางหัวใจและหลอดเลือด
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่พอ
อาการและอาการแสดง
ภาวะนี้เป็นกลุ่มอาการที่มีอาการแสดงได้ 6 รูปแบบ
Acute decompensated heart failure
Hypertensive acute heart failure
Pulmonary edema
High output failure
Right heart failure
Cardiogenic shock
อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยที่พบบ่อย
ความดันโลหิตปกติหรือ ต่ำ/สูง
ท้องอืดโต
แน่นท้อง
หายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ อ่อนเพลีย บวมตามแขนขา
ฟังได้ยินเสียงปอด
ผิดปกติ
หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เส้นเลือดดำที่คอโป่งพอง
ปัสสาวะออกน้อย/มาก
การรักษา
การลดการทำงานของหัวใจ (Decrease cardiac workload)
การให้ออกซิเจน
การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Cardiac pacemaker)
intra-aortic balloon pump
การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วย
บอลลูน (Percutaneous coronary intervention)
การดึงน้ำและเกลือแร่ที่คั่งออกจากร่างกาย (Negative fluid balance)
การให้ยาขับปัสสาวะ
การจำกัดสารน้ำและเกลือโซเดียม
การเจาะระบายน้ำ
การใช้ยา
ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ เช่น nitroglycerine / isodril (NTG)
ยาขยายหลอดเลือด เช่น sodium nitroprusside (NTP)
ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช;น amiodarone
ยาที่ใช้ในช็อค เช่น adrenaline, dopamine, dobutamine, norepinephrine (levophed)
ยาเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ เช่น digitalis (digoxin)
ยาละลายลิ่มเลือด เช่น coumadin
ยาบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก เช่น morphine
ยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด เช่น aspirin, plavix, clopidogrel
การรักษาสาเหตุ ได้แก่ การขยายหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี, การเปลี่ยนลิ้นหัวใจในโคโรนารี, การรักษาภาวะติดเชื้อ
การประเมินสภาพ
การซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อประเมินอาการทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อาการเจ็บหน้าอก อาการหอบเหนื่อย ภาวะบวม การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การตรวจพิเศษ ได้แก่ CXR, echocardiogram, CT, coronary artery angiography (CAG)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC, biochemical cardiac markers, ABG
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงไม้เพียงพอ เนื่องจาก กล้ามเนื้อหัวใจหดรัดตัวไม้เต็มที่ / การเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นและจังหวะของหัวใจ
เสี่ยง / ภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน เนื่องจาก ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง
ได้รับอาหารและพลังงานไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจาก รับประทานอาหารได้น้อยจากการหอบเหนื่อย
มีความต้องการพลังงานมากขึ้น เนื่องจาก มีภาวะเจ็บป่วยวิกฤต / หายใจหอบเหนื่อย / เบื่ออาหาร
กิจกรรมการพยาบาล
การลดการทำงานของหัวใจ
1.5 ดูแลจำกัดกิจกรรมแบบสมบูรณ์ (Absolute bed rest) หรือช่วยในการทำกิจกรรม
1.4 ดูแลจัดท่านอนศรีษะสูง
1.3 ดูแลจำกัดสารน้ำและเกลือโซเดียม
1.2 ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดเลือดตามแผนการรักษา
1.1 ดูแลให้ได้รับยาขับปnสสาวะตามแผนการรักษา
การเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
3.1 ดูแลให้ได้รับยาช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ โดยประเมินอัตราการเต้นของหัวใจก่อน หากอัตราการเต้นของหัวใจ ต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที งดให้ยาและรายงานแพทย์
3.2 ดูแลให้ได้รับยาเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ดูแลให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับการไหลเวียนเลือด ได้แก่ ให้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด ยาต้านเกล็ดเลือด หรือดูแลให้ได้รับการทำหัตถการหลอดเลือดหัวใจ
การลดความต้องการใช้ออกซิเจนของร่างกาย
2.4 ดูแลช่วยให้ได้รับการใส่เครื่องพยุงหัวใจ
2.3 ดูแลควบคุมอาการปวดโดยให้ยาตามแผนการรักษา
2.2 ดูแลจำกัดกิจกรรมแบบสมบูรณ์ (Absolute bed rest) หรือช่วยในการทำกิจกรรม
2.1 ดูแลให้ได้รับยาลดควบคุม จังหวะหรืออัตราการเต้นของหัวใจ
ดูแลการทำงานของเครื่องกระตุ้นจังหวะหัวใจ
ดูแลให้ได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับการตอบสนองตามความต้องการพื้นฐาน
ดูแลติดตามการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ประเมินสัญญาณชีพทุก 1-2 ชั่วโมง
ดูแลติดตามและบันทึกค่า CVP, PCWP
สังเกต/บันทึกปริมาณปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง (keep urine output >= 0.5 ml/kg/hr.)
จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการนอนหลับพักผ่อน
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วย โดยประเมินความรู้สึกและปัญหาต่างๆของผู้ป่วยพร้อมทั้งซักถามความต้องการของผู้ป่วยโดยพยาบาลควรให้เวลาและตั้งใจรับฟังปัญหาอย่างต่อเนื่อง
สอนและแนะนำเทคนิคการผ่อนคลายที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ป่วย
กระตุ้นและส่งเสริมให้ครอบครัว ญาติหรือบุคคลใกล้ชิดมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาและการเปลี่ยนแปลงของอาการที่เกิดขึ้นไปในทางที่ดีเพื่อให้ผู้ป่วยมีกำลังใจและลดความวิตกกังวลได้แต่ต้องระมัดระวังการให้ข้อมูลมากเกินไป
ภาวะช็อก (Shock)
ประเภทของช็อก
ภาวะช็อกจากการขาดสารน้ำ (Hypovolemic shock)
สาเหตุ
การสูญเสียเลือดจาก
อุบัติเหตุ
เลือดออกในทางเดินอาหาร
การสูญเสียสารน้ำจาก
ท้องเสีย ถ่ายเหลว
ไฟไหม้
อาเจียน
ความหมาย
เกิดจากการลดลงของปริมาณของเลือดหรือสารน้ำในร่างกาย (การสูญเสียมากกว่า 30-40% ของปริมาตรเลือด) ทำให้ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจ (Venous return หรือ preload) ลดลง
ภาวะช็อกจากภาวะหัวใจล้มเหลว (Cardiogenic shock)
สาเหตุ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ
ความหมาย
เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากหัวใจไม่สามารถส่งจ่ายเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย โดยที่มีปริมาตรเลือด
ในระบบไหลเวียนโลหิตอย่างเพียงพอ
ภาวะช็อกจากหลอดเลือดมีการขยายตัว (Distributive shock, vasogenic / vasodilatory shock, Inflammatory shock)
ความหมาย
เป็นภาวะช็อกที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดส;วนปลายขยายตัว ทำให้เกิดการลดลงของแรงต้านทานของหลอดเลือด (SVR)ร่วมกับมีการไหลเวียนเลือดในระบบลดลงจากการไหลเวียนของเลือดลัดเส้นทาง (Maldistribution หรือ shunt)
สาเหตุ
ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock)
ภาวะช็อกจากการทำงานผิดปกติของต่อมหมวกไต (Hypoadrenal / adrenocortical shock)
ภาวะช็อกจากการแพ้(Anaphylactic shock)
ภาวะช็อกจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจ (Obstructive shock)
ความหมาย
เกิดจากการอุดกั้นการไหลเวียนของโลหิตไปสู่หัวใจห้องซ้ายจากสาเหตุภายนอกหัวใจ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง
สาเหตุ
tension pneumothorax
pulmonary embolism
Cardiac tamponade
ภาวะช็อกจากความผิดปกติของระบบประสาท (Neurogenic shock)
Neurogenic shock
สาเหตุ:สาเหตุที่มีผลต่อการทำงานของประสาทซิม
พาเธติกรวมถึงการบาดเจ็บของไขสันหลัง
พยาธิสภาพ:ระบบประสาทซิมพาเธติกทำงานบกพร่อง
และหลอดเลือดส่วนปลายมีการขยายตัว
อาการ:ความผิดปกติของระบบการไหลเวียนโลหิต
การติดตาม:ความดันโลหิต และความดันในหลอดเลือดดำใหญ่
ระยะเวลา:ขึ้นอยู่กับสาเหตุในผู้ที่มีการบาดเจ็บของสัน
หลังเกิดขึ้นภายใน 24ชั่วโมงแรกจนถึง 1-3 สัปดาห์
Spinal shock
พยาธิสภาพ:สัญญาณของไขสันหลังถูกทำลาย
อาการ:ความอ่อนแรงและปฏิกิริยาตอบสนอง (reflex)
สาเหตุ:การบาดเจ็บของไขสันหลัง
การติดตาม:Bulbocavernosus reflex
ระดับความรู้สึกและความอ่อนแรง
ระยะเวลา:ทุเลาในสัปดาห์แรก หรืออาจนานถึง 6 สัปดาห์
อาการและอาการแสดง
ประสาทส่วนกลาง
กระสับกระส่าย ซึม หมดสติ เซลล์สมองตาย
หัวใจและหลอดเลือด
ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว ผิวหนังเย็นซีด
หายใจ
หายใจเร็วลึก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ ระบบหายใจล้มเหลว
ไตและการขับปัสสาวะ
ปัสสาวะออกน้อย
ทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารและลำไส้ขาดเลือด ตับอ่อนอักเสบ ดีซ่าน การย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ ตับวาย
เลือดและภูมิคุ้มกัน
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วร่างกาย เม็ดเลือดขาวทำงานบกพร่อง
เลือดและภูมิคุ้มกัน
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วร่างกาย เม็ดเลือดขาวทำงานบกพร่อง
ต่อมไร้ท่อ
น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ ภาวะร่างกายเป็นกรด
ความหมาย
เป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติทางสรีรวิทยาส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อทั่วร่างกายลดต่ำลงกว่าความต้องการใช้ออกซิเจนของเนื้อเยื่อและอวัยวะนำไปสู่ความผิดปกติของการทำงานของ
อวัยวะต่างๆจากการขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ (Cellular dysoxia)
ระยะของช็อก
ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะแรก (Compensated shock)
ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะท้าย (Decompensated shock)
ภาวะช็อกที่ไม่สามารถชดเชยได้(Irreversible shock)
กิจกรรมการพยาบาล
การแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนของเนื้อเยื่อและการลดการใช้ออกซิเจน
2.ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง มีการระบายอากาศที่ดี โดยการดูดเสมหะ จัดท่านอนศีรษะสูง กระตุ้นให้หายใจลึกๆ
3.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยให้ออกซิเจนตามความเหมาะสมและแผนการรักษา
1.ประเมินภาวะขาดออกซิเจน โดยการติดตามสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมงประเมินระดับความรู้สึกตัว อาการเขียวจากริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้า ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน ABG
การส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตอย่างเพียงพอกับความต้องการของร้างกาย
2.1 ดูแลให้สารน้ำและอิเล็กโตรไลท์ทดแทนตามแผนการรักษา
2.2 ดูแลให้ยา (Dopamine, Dobutamine, Epinephrine Norepinephrine) เพื่อส่งเสริมการหลเวียนโลหิตตามแผนการรักษา
2.3 ดูแลจัดท่านอนหงายราบ ยกปลายเท่าสูง 20-30 องศา เพื่อให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้ง่ายขึ้น
2.4 ประเมินสัญญาณชีพ รวมถึงค่า MAP ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย บ่งบอกความก้าวหน้าของการรักษา หากพบความผิดปกติต้องรายงานแพทย์ทันที
2.5 ติดตามค่า CVP (ปกติ 8-12 cmH2O) เพื่อประเมินความเพียงพอของสารน้ำภายหลังการได้รับการรักษา
2.6 บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าออกจากร่างกาย และ ติดตามปริมาณปัสสาวะทุก 1-2 ชั่วโมง (keepurine output >= 0.5 ml/kg/hr.)
2.7 ติดตามการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึกตัว
ลักษณะผิวหนังเย็นชื้น ซีด หรือเขียวคล้ำ
2.8 ดูแลให้ได้รับการช่วยเหลือโดยใช้อุปกรณ์พิเศษต่างๆเพื่อเพิ่มให้เลือดไปเลี้ยงเซลล์ได้อย่างเพียงพอ ได้แก่ Intra-Aortic balloon pump, Extracorporeal membrane oxygen, ECMO
การแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อก
3.1 ดูแลเตรียมให้ได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุ เช่น การทำ gastric lavage การทำ EGD กรณีช็อกจากการสูญเสียเลือด
3.2 เตรียมผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับการทำ PTCA, CABG กรณีช็อกจากภาวะช็อกจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจ
3.3 ดูแลให้ยาละลายลิ่มเลือดตามแผนการรักษาเพื่อแก้ไขภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย กรณีช็อกจาก
3.4 ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา รวมถึงการเตรียมผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขสาเหตุของการติดเชื้อ กรณีภาวะช็อกจากหลอดเลือดมีการขยายตัว
3.5 ดูแลให้ยา Chlorpheniramine 1 amp V เพื่อ แก้ไข้ภาวะแพ้ (กรณีช็อกจากภาวะAnaphylactic shock
ส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยและครอบครัวต่อภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น
4.1 ให้ข้อมูล อธิบายเหตุผลก่อนทำกิจกรรมการพยาบาล
4.2 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้ระบายความรู้สึก วิตกกังวล และซักถามข้อข้องใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วย
4.8 ประเมินระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
4.7 เตรียมความพร้อมก่อนการย้ายออกจากหอผู้ป่วยวิกฤต
4.6 ช่วยเหลือในการติดต่อสื่อสาร เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ป่วย
ครอบครัวและทีมรักษา
4.5 ให้กำลังใจและสนับสนุนทางด้านจิตใจ ดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอทั้งผู้ป่วยและครอบครัว
4.4 ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนการพยาบาล
4.3 ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ให้เกียรติผู้ป่วย
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ เพื่อหาสาเหตุของภาวะช็อกที่เกิดจากการเจ็บป่วย
ประวัติโรคหัวใจ การสูญเสียสารน้ำ การติดเชื้อ การได้รับการบาดเจ็บ อุบัติเหตุ การใช้ยา ประวัติการแพ้
การใช้แบบประเมิน sequential organ failure assessment (SOFA) score หรือ quick SOFA (qSOFA)
การตรวจร่างกาย
การประเมินทางเดินหายใจ การประเมินลักษณะและอัตราการหายใจ
ประเมินการไหลเวียนโลหิตและการทำงานของหัวใจ
ความดันโลหิต ชีพจร เสียงหัวใจ
การโป่งพองของหลอดเลือดดำที่คอ การไหลกลับของหลอดเลือดฝอย capillary refill time
การวัดความดันหลอดเลือดดำส;วนกลาง (CVP) การวัดความดันหลอดเลือด pulmonary artery
การประเมินระดับความรู้สึกตัว
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, BUN, Cr, electrolyte, lactic acid, arterial blood gas, coagulation, specimens culture
การตรวจพิเศษ เช่น x-ray, CT, echocardiogram, ultrasound
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยง / การกำซาบเนื้อเยื่อไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง
เสี่ยง / ภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน เนื่องจาก ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง
เสี่ยง / ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง เนื่องจาก การสูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุ / การสูญเสียสารน้ำของร่างกาย / การบาดเจ็บของกระดูกสันหลังส่วนคอ / การเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นและจังหวะของหัวใจผิด / กล้ามเนื้อหัวใจหดรัดตัวไม่เต็มที่
ผู้ป่วย/ครอบครัว มีภาวะวิตกกังวล เนื่องจาก ภาวะเจ็บป่วยวิกฤต / การทำหัตการในการรักษา /
สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
นาย จิรวัฒนื ปันเบี้ยว รหัสนักศึกษา 6101210408 เลขที่17 secB