Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

บทที่6 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร - Coggle Diagram

- - - - ติดเชื้อ
        
        ไวรัส
        
        ปรสิต
        
        แบคทีเรีย
    - - คลื่นไส้ อาเจียน
      - ไม่อยากอาหาร
      - ปวดเกร็งท้อง และมีเสียงโกรกกราก
      - รู้สึกป่วย เป็นไข้อ่อน ๆ
    - - แพทย์อาจสอบถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าอาการที่ปรากฏไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะหรือการเจ็บป่วยอื่น ๆ ของผู้ป่วย
    - - ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับโรค Gastroenteritis ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส เพราะโดยทั่วไปร่างกายของผู้ป่วยมักฟื้นตัวจากอาการต่าง ๆ และหายดีได้เองภายใน 1 สัปดาห์
    - - ล้างมือให้สะอาด
      - ล้างอาหารและผักให้สะอาด
      - ห้ามรับประทานปลาหรือเนื้อสัตว์ดิบ
  - - - รู้สึกไม่สบายช่องท้องส่วนบน
      - จุกหน้าอก
      - แน่นท้อง
      - อาหารไม่ย่อย
      - เรอบ่อย
      - ท้องเฟ้อ
      - คลื่นไส้
    - - การติดเชื้อแบคทีเรีย
        
        เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร
    - - สอบถามประวัติ
      - การตรวจร่างกาย
      - การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Endoscopy)
      - การเอกซเรย์กระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้งแบเรียมเพื่อตรวจดูความผิดปกติ
    - - การใช้ยาปฏิชีวนะ
        
        ยาอะมอกซิซิลลิน (Amoxicillin)
        
        ยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole)
        
        ยาคลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin)
    - - การรักษาความสะอาดและสุขอนามัยในการรับประทานอาหารเป็นหลักสำคัญ
  - - - หลังจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป
  - - - ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป
  - - - ประทานของร้อน อาหารที่สะอาด
- - - - เซลล์ประสาทในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายจะทำหน้าที่ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อและช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านลำไส้ แต่เมื่อเซลล์ประสาทในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายไม่สมบูรณ์หรือเกิดความผิดปกติ
    - - ในเด็กเล็กหรือเด็กโต
        
        มีอาการปวดท้อง ท้องบวม ท้องผูกเรื้อรังและรักษาไม่หาย
      - ในทารกแรกคลอดอาจไม่ขับถ่ายขี้เทาภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรก
        
        มีอาการท้องเสีย อาเจียนเป็นสีเขียวหรือน้ำตาล ท้องอืดและบวม
    - - การตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่และหูรูดทวารหนัก
      - การตัดชิ้นเนื้อบริเวณลำไส้ใหญ่
      - การเอกซเรย์ช่องท้อง
    - - การผ่าตัดผ่านกล้อง
      - การผ่าตัดเปิดบริเวณหน้าท้อง
    - - Hirschsprung’s Disease ไม่สามารถป้องกันได้ แต่หากผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้และวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเสี่ยงของทารก เพราะโรคนี้อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
  - - - เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยด้านสภาวะแวดล้อมอื่น ๆ
    - - ทารกที่มีภาวะ Gastroschisis จะมีช่องโหว่บริเวณผนังหน้าท้องใกล้กับสะดือ
        
        ส่งผลให้ลำไส้โผล่ออกมา
        
        ให้ทารกมีภาวะตัวเย็นเกิน
    - - การตรวจเลือด
      - อัลตราซาวด์
    - - การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
      - การสังเกตและควบคุมอุณหภูมิของร่างกายทารกอย่างใกล้ชิด
      - การรับสารอาหารผ่านเส้นเลือด
    - - ไม่มีวิธีการป้องกันได้โดยตรง แต่มารดาที่ตั้งครรภ์สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการดูแลสุขภาพครรภ์ให้แข็งแรง รับประทานวิตามินเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
  - - - ทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิด Intussuception ได้ แต่การเกิดโรคลำไส้กลืนกันในเด็กอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส
    - - กระสับกระส่าย
      - มือเท้าเกร็ง
      - ปวดท้องเฉียบพลัน
      - ท้องเป็นตะคริวเป็นพัก ๆ
    - - แพทย์จะสวนแป้งแบเรียมและลมเข้าทางทวารหนัก เพื่อช่วยดันลำไส้ส่วนที่เคลื่อนตัวเข้าไปให้ออกมาจากลำไส้ส่วนที่กลืนกันอยู่
    - - ยังไม่มีวิธีป้องกัน เนื่องจากไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของการเกิดได้อย่างชัดเจน ผู้ปกครองจำเป็นจะต้องเฝ้าระวัง หากบุตรหลานมีอาการผิดปกติ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
  - - - อวัยวะในช่องท้องเคลื่อนออกมาทางฐานของสายสะดือ โดยมีเยื่อบุช่องท้อง
    - - การใช้ prenatal ultrasonography เราสามารถวินิจฉัย omphalocele ได้ตั้งแต่ระยะ trimester ที่ 2 ในครรภ์มารดา
    - - การผ่าตัดปิด omphalocele
      - ผ่าตัดปิดผนังหน้าท้อง
  - - - ใช้ในการบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอกและกรดไหลย้อน
    - - หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นอาการของโรค อย่างเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและอาหารที่มีปริมาณไขมันสูงหรือมีกรดสูง