Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีความเสี่ยงสูง, นางสาวฑุลิกา เดชเกตุ ปี2 เลขที่23 …
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีความเสี่ยงสูง
ทารกแรกเกิด
ทารกในช่วง 28 วันแรกของชีวิต
ระยะเริ่มต้นที่มีความสำคัญมากมีผลต่อภาวะสุขภาพในวัยต่อมา
มีอัตราการเจ็บป่วย อัตราตาบมากที่สุดเมื่อเทียบกับประชากรวัยอื่น
เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงจากการเป็นทารกในครรภ์มาเป็นทารกที่อยู่นอกครรภ์
การจำแนกทารกแรกเกิด
การจำแนกตามน้ำหนักแรกเกิด
ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักน้อย (low birth weight infant) คือ ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิด
ต่ำกว่า 2,500 กรัม
ทารกที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 1,500 กรัม (very low birth weight)
ทารกที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัม (extreme low birth weight )
ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักปกติ (normal birth weight infant) คือ ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิด 2,500 – 4,000 กรัม
การจำแนกตามอายุครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด (pretermeinfant)
ทารกที่มีอายุครรภ์ 37 สัปดาห์เต็มหรือ
ต่ำกว่า
ทารกแรกเกิดครบกำหนด (term or mature infant)
ทารกที่มีอายุครรภ์มากกว่า
37 สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์เต็ม
ทารกแรกเกิดเกินกำหนด (post term infant)
ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์มากกว่า
41 สัปดาห์
ทารกคลอดก่อนกำหนดหมายถึง ทารกคลอดเมื่ออายุครรภ์ < 37 สัปดาห์
สาเหตุ
มารดา
อายุมารดาน้อยกว่า 18 ปีหรือมากกว่า 35 ปี
โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต
มีประวัติคลอดก่อนกำหนด
มดลูกขยายตัวมากเกินไป
ทารกในครรภ์
โครโมโซมผิดปกติ
ติดเชื้อ
ลักษณะทารกคลอดก่อนกำหนด
น้ำหนักน้อย
รูปร่าง แขนขามีขนาดเล็ก
ศีรษะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว กะโหลกศีรษะนุ่ม รอยต่อกะโหลกศีรษะและขม่อมกว้าง
ผิวหนังบางสีแดงและเหี่ยวย่น มองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้ชัดเจน มักบวมตามมือและเท้า
ไขมันคลุมตัว (Vernix caseosa) มีน้อยหรือไม่มีเลย
พบขนอ่อน (Lanugo hair) ที่บริเวณใบหน้า หลังและแขน ส่วนผมมีน้อย
ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ เล็บมือเล็บเท้าอ่อนนิ่มและสั้น
มีกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) น้อย ผิวหนังเหี่ยวย่น
กล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครงยังเจริญไม่ดี กระดูกซี่โครงค่อนข้างอ่อนนิ่ม
ขณะหายใจอาจถูกกระบังลมดึงรั้งเข้าไปเกิด intercostal retraction
หายใจไม่ส่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ (periodic breathing)
เขียวและหยุดหายใจได้ง่าย (Apnea)
เสียงร้องเบาและร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดครบก าหนด reflex ต่าง ๆ มีน้อยหรือไม่มี
ปัญหาที่พบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ระบบการไหลเวียนโลหิต
ระบบการหายใจ
ระบบทางเดินอาหาร
ระบบประสาท
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ไวต่ออุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่ hypothalamus, CNS เจริญเติบโตไม่เต็มที
ผิวหนังบาง ทำให้เส้นเลือดอยู่ชิดกับผิวหนัง
มีไขมันใต้ผิวหนังน้อย
ต่อมเหงื่อยังทำหน้าที่ได้ไม่ดี จนกว่าอายุ 4 wks
ความสามารถในการผลิตความร้อนโดยไม่ควบคุมยังน้อย
การสูญเสียความร้อนในทารกแรกเกิด
การนำ (conduction) เกิดจากผิวของทารกสัมผัสกับวัตถุที่เย็น
การพา (convection) เป็นการพาความร้อนจากทารกสู่สิ่งแวดล้อม
ที่เย็นกว่า
การแผ่รังสี (radiation) การสูญเสียความร้อนไปสู่ที่เย็นกว่า
แต่ไม่สัมผัสวัตถุโดยตรง
การระเหย (evaporation) การสูญเสียความร้อน
เมื่อของเหลวเปลี่ยนไปเป็นไอน้ำ
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
ทารกเกิดก่อนกกหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 ซม.
ทารกครบกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 ซม.
ทางรักแร้
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ(Hypothermia)
อุณหภูมิกายต่ำกว่า 36.5 องศาเซลเซียส
่ทารกแรกเกิดอาจมีอาการผิดปกติตั้งแต่อุณหภูมิกาย
ต่ำกว่า 36.8 องศาเซลเซียส
อาการเริ่มแรก
มือเท้าเย็น ตัวซีด ผิวหนังลายจากเส้นเลือดขยายตัว
ซึม ดูดนมช้า ดูดนมน้อยลง หรือไม่ดูดนม อาเจียน ท้องอืด น้ำหนักไม่ขึ้น
ภาวะอุณหภูมิกายสูง(Hyperthermia)
อุณหภูมิกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
อาการเริ่มแรก
จะหงุดหงิดเมื่อร้อนขึ้น มีการเคลื่อนไหวลดลง
หายใจเร็วและแรง หรือหยุดหายใจ ซึม
การดูแลการดูแล
จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเซียส
วัดอุณหภูมิ Body temperature ทารก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
keep warm
ระวัง “Cold stress”
ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายทารก 4 ทาง
ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชม.และปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
การควบคุมอุณหภูมิกายทารกที่อยู่ในตู้อบ
เป้าหมายให้อุณหภูมิกายทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 36.8- 37.2 องศาเซลเซียส
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือ
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36 องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2 องศาเซลเซียส
ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15 – 30 นาที
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 -37.2 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดกัน ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบ
ตาม Neutral thermal environment (NTE)
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Skin Servocontrol mode)
ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36.5 องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 องศาเซลเซียส
ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15 – 30 นาที
ระบบการไหลเวียนโลหิต
Fetal circulation เป็น Neonatal circulation
ส่งผล
Foramen ovale ปิ ดสมบูรณ์
Ductus arteriosus จะหดตัวและปิ ดกลายเป็นเอ็น
Ductus venosus ปิดเมื่อสายสะดือถูกตัดกลายเป็นเอ็นที่ตับ
ภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน
(Patent Ductus Arteriosus)
อาการและอาการแสดง
หายใจเร็ว
หอบเหนื่อย
รับนมได้น้อย
ท้องอืด
น้ำหนักไม่ขึ้น
การรักษา
การรักษาทั่วไป ให้ยาควบคุมอาการถ้ามีภาวะหัวใจวาย
การรักษาจำเพาะ
โดยใช้ยา เพื่อช่วยยับยั้งการสร้าง prostaglandin
การผ่าตัด PDA ligation
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด
(Hyperbilirubinemia)
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
มีการ
สร้างบิลิรูบินมากเพราะเม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าและความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับ
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติและเหลืองเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด
สาเหตุ
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากภาวะต่างๆที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะต่างๆ
มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงจากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซด์บางชนิดแต่กำเนิด
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้นร่วมกับการกำจัดได้น้อยลง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้นจากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
Kernicterus
อาการระยะแรก: ซึม ดูดนมน้อยลง ตัวอ่อนปวกเปี ยก เกร็งหลังแอ่น ชัก มีไข้
อาการระยะยาว: มีการเคลื่อนไหวผิดปกติของร่างกายและแขนขา
มีความผิดปกติของการได้ยินและการเคลื่อนไหวลูกตา
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติมีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่
มารดามีโรคประจำตัวการได้รับยาการติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
การตรวจร่างกายซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหรือไม่มีจุดเลือดออกบริเวณใด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ( CBC, Coombs’test, LFT, G6PD)
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy)
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
การพยาบาล
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches) เพื่อป้องกันการกระคายเคืองของแสงต่อตา
เช็ดทำความสะอาดตาและตรวจตาของทารกทุกวัน เพราะอาจมีการระคายเคืองจากผ้าปิดตา
ทำให้ตาอักเสบ
ควรเปิดตาทุก 4 ชม.และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม.
ระหว่างให้นมควรเปิดผ้าปิดตาเพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา เป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกัน
ระหว่างมารดากับทารก
ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว ่าและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4
ชม.เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง
ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ ห่างจากหลอดไฟ 35-50 ซม.
บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 1-4 ชม.
สังเกตลักษณะอุจจาระ
บันทึกลักษณะและจำนวนอุจจาระอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำ
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม
สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา
การพยาบาลExchange transfusion
อธิบายให้บิดามารดาทราบ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
ในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า-ออก ตรวจวัดสัญญาณชีพ
สังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย แคลเซียมในเลือดต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเย็นติเชื้อ
ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที
ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
Respiratory Distress Syndrome
(RDS)
ภาวะกลุ่มอาการหายใจลำบาก้บ่อยในทารกคลอดก่อนกำหนด
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค
มารดามีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
ทารกมีภาวะ hypothermia
มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ครรภ์ก่อนบุตรมีภาวะ RDS
สาเหตุ
ขาดสารลดแรงตึงผิวที่ผิวของถุงลม
โครงสร้างของปอดมีพัฒนาการไม่เต็มที
การป้องกัน
มารดาที่มีความเสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดแต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตกควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อน
คลอด
การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด ซึ่งจะท าให้เลือดเป็นกรด
ขัดขวางการท างานของการสร้างสารลดแรงตึงผิว
อาการและอาการแสดงอาการ
ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบทางเดินหายใจ
หายใจเร็ว (tachypnea) มากกว่า 60 ครั้ง / นาที
หายใจ หน้าอกและหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน
เสียงหายใจผิดปกติมีการกลั้นหายใจขณะหายใจออก
BP ต่ำ
2.ระบบทรวงอก
หน้าอกปุ่ม (retraction) บริเวณ Intercostal
3.ระบบทางเดินอาหาร
ดูดนมไม่ดี อาเจียน ท้องอืด
4.ระบบประสาท
ซึม กระสับกระส่าย reflex ลดลง
5.ระบบผิวหนัง
ตัวลาย ผิวหนังเย็น ตัวเหลือง
6.เมตาบอลิซึม
Hypoglycemia ภาวะ acidosis
การรักษา
การให้ออกซิเจนตามความต้องการของทารก
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อท าให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น
Perinatal asphyxia
ภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิด
สาเหตุ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคลอด
ศีรษะทารกไม่ได้สัดส่วนกับเชิงกรานมารดา
คลอดติดไหล่
ปัจจัยทางด้านมารดา
ตกเลือด อายุมาก เบาหวาน รกเกาะต่ำรกลอกตัวก่อน
กำหนด
ปัจจัยเกี่ยวกับทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ผลของการขาดออกซิเจนแรกคลอด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจถูกกดเป็นผลให้หัวใจเต้นช้าลง
กล้ามเนื้อหัวใจ
ทำงานมีประสิทธิภาพลดลง หัวใจพองขยาย ความดันโลหิตต่ำเกิดภาวะช็อก
เกิดภาวะหัวใจวาย
ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท
ระบบหายใจ
ทำให้หายใจช้า หรือหยุดหายใจ
เกิดภาวะปอดคั่งน้ำ
ระบบประสาทกลาง
รีเฟล็กซ์ลดลง
กำลังกล้ามเนื้อลดลงหรืออาจชักได้
เลือดออกในสมอง
ภาวะชักจากคอร์เท็กซ์ของสมองถูกทำลาย
ภาวะสมองบวมจากการคั่งของสารน้ำ
ระบบการขับถ่าย
ไตจะไวต่อภาวะขาดออกซิเจนเนื้อไตเกิดเนื้อตายเฉียบพลันปัสสาวะเป็นเลือด
ระบบทางเดินอาหาร
เกิดภาวะลำไส้เน่า
การรักษาประคับประคอง
การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
ให้ความอบอุ่นและควบคุมทารกให้อุณหภูมิปกติ
ให้ออกซิเจนที่เหมาะสม
งดอาหารทางปากชั่วคราว ให้สารน้ำและอาหารทางหลอดเลือด
ให้เลือด ถ้าความเข้มข้นของเลือดต่ำหรือเสียเลือด
หลังจาก 12 ชั่วโมง ให้ระวังอาการชัก
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ
ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
Apnea of prematurity
(AOP)
ภาวะหยุดหายใจนานกว่า 20 วินาที ร่วมกับมี cyanosis
central apnea ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกมีสาเหตุมาจากศูนย์การหายใจที่บริเวณก้านสมอง
ทำงานได้ไม่ดี
obstruction apnea ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกท าให้ช่อง
ภายในหลอดคอ ไม่เปิดกว้าง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
สาเหตุ
prematurity
infection
metabolic disorder
Impaired oxygenation
CNS problem
drug
Gastroesophageal reflux
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
จัดท่านอนที่เหมาะสม
สังเกตอาการพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ดูดเสมหะเมื่อจำเป็น
ระวังการสำลัก
ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
เลือดออกในช่องสมอง (Intraventricular hermorrhage: IVH)
ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
ปัจจัยเสี่ยง
ช่วงก่อนคลอด
การคลอดทางช่องคลอด ภาวะทารกขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์
ภาวะตกเลือดก่อนคลอด
ช่วงหลังคลอด
RDS, prolonged neonatal resuscitation,
acidosis, pneumothorax, NEC และภาวะชัก
IVH มักเกิดในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มี RDS รุนแรงและต้องใช้
เครื่องช่วยหายใจ
การวินิจฉัยด้วยการตรวจ ultrasound เป็นวิธีที่ดีและสะดวกที่สุด
ความรุนแรงของ IVH
grade 1 : มีเลือดออกที่ germinal matrix
grade 2: มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองปกติ
grade 3: มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองใหญ่ขึ้น
grade4: มีเลือดออกในโพรง สมองร่วมกับเลือดออกในเนื้อสมอง
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Bronchopulmonary Dysplasia: BPD)
โรคปอดเรื้อรัง พบในทารกคลอดก่อนกำหนดที่เป็น RDS หรือโรคที่ต้องการ O2 ความเข้มข้นสูง
เกิน 60%
อาการและอาการแสดง
หายใจเร็วกว่าปกติ
หน้าอกบุ๋ม (intercostal retraction)
O2ในเลือดต่ำกว่าปกติ
CO2ในเลือดคั่ง
ความดันในปอดสูง(pulmonary hypertension) ในรายที่รุนแรง
การวินิจฉัย
ประวัติ
อาการและอาการแสดง
ภาพถ่ายรังสีปอด (มี 4 ระยะ)
การป้องกัน โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและลดปัจจัยเสี่ยง
การคลอดก่อนกำหนด
การให้ o2 ความเข้มข้นสูงเป็นเวลานาน
การใช้ความดันของเครื่องช่วยหายใจสูงเป็นเวลานาน
ให้สารต้านอนุมูลอิสระ
การรักษา
ตามสาเหตุ
ตามอาการ เช่น การให้ o2, ให้ยาขยายหลอดลม,รักษาภาวะแทรกซ้อน,
ฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
จอประสาทตาผิดปกติ (Retinopathy of Prematurity :ROP)
เป็นความผิดปกติ ในทารกในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อย
ลักษณะสำคัญ คือ การงอกผิดปกติของเส้นเลือด (neovascularization)
บริเวณรอยต่อระหว่างจอประสาทตาที่มีเลือดไปเลี้ยงและจอประสาทตาที่ขาดเลือด
การวินิจฉัย
ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 - 6 สัปดาห์
ถ้าไม่พบการดำเนินของโรค ตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
ถ้าพบว่ามีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้ำทุก ๆ 1 – 2 สัปดาห์
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จำเป็น
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ติดตาม O2 saturation
ดูแลให้ทารกมีระดับ O2 saturation อยู่ระหว่าง 88-92 %
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจ screening ROP
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชี้ให้ได้รับการ
รักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์
ปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน
ทารกคลอดก่อนกำหนด
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์ ได้รับ IgG จากมารดาขณะอยู่ในครรภ์น้อย
เม็ดเลือดขาวมีน้อย จึงทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรค (phagocytosis) ไม่สมบูรณ
ผิวหนังเปราะบาง epidermis และ dermis ยึดกันอย่างหลวมๆ
จึงถูกทำลายได้ง่าย
Sepsis
Early onset Sepsis คือ ติดเชื้อในระยะก่อน/ ระหว่างการคลอด ภายใน 2-3 วัน แรกหลังคลอดภายใน 72 ชั่วโมงแรก
Late onset Sepsis คือ ติดเชื้อที่แสดงอาการ หลังคลอด 72 ชั่วโมงถึง 1 เดือน
สาเหตุ
preterm
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดนานเกิน 18 ชั่วโมง
การคลอดล่าช้า
มารดามีการติดเชื้อ น้ำคร่ำมีกลิ่น
ทารกมีภาวะพร่องออกซิเจนในครรภ์
การตรวจวินิจฉัย
ซักประวัติมารดาขณะตั้งครรภ์ ไข้ ผื่น ต่อม
ตรวจร่างกาย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Culture 24-48 hr.( blood, UA, CSF, Sputum)
CBC , Plt count
ESR ดูการตกของเม็ดเลือดขาว ทารกยังไม่เกิน 2 mm/hr
CRP
CXR
อาการและอาการแสดง: ในทารกไม่จำเพาะเจาะจง
ซึม
-ร้องนาน
ไม่ดูดนม
ซีด
ตัวลายเป็นจำ (motting)
ผิวหนังเย็น
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมตาม sensitivity
ส่วนมากให้ Ampicillin iv กับ Gentamycin iv
ถ้าไม่ได้ผลนิยมเปลี่ยนเป็น กลุ่ม Cephalosporins iv
การพยาบาล
ประเมินภาวะติดเชื้อในร่างกาย
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ และสังเกตอาการข้างเคียงของยา
ควบคุมอุณหภูมิกายให้อยู่ในระดับปกติ
ดูแลความสะอาดร่างกายและสิ่งแวดล้อม
ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ
แยกทารก
ระบบทางเดินอาหาร
Necrotizing Enterocolitis
(NEC)
ภาวะลำไส้เน่าอักเสบ
สาเหตุ ได้แก่ การใช้ยาของมารดาขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนก าหนด การเริ่มรับนมและ
เพิ่มปริมาณนมเร็ว ภาวะขาดออกซิเจน
ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถทำให้ทารกแรกเกิดมีโอกาสเกิดภาวะลำไส้เน่าตาย
มารดาใช้สารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์
ทารกติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
การเติบโตช้าในครรภ์
ทารกเกิดภาวะเลือดข้น (polycythemia)
น้ำหนักตัวทารกน้อยกว่า 2,000 กรัม
การให้นมผสมที่เข้มข้นสูงผ่านทางเดินอาหาร
การใส่สายสวนหลอดเลือดทางสะดือ
อาการ : เซื่องซึม (lethargy) ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ร้องกวน
อุณหภูมิกายต่ำ หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้า มีภาวะกรดเกิน โซเดียมต่ำและออกซิเจนต่ำ
อาการเฉพาะ
ท้องอืด
ถ่ายอุจาระเหลว
อาเจียนเป็นสีน้ำดี
มีเลือดออกในทางเดินอาหาร
มีอาหารเหลือค้างในกระเพาะอาหาร
อาจมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
การวินิจฉัย
การตรวจเอกซเรย์ช่องท้อง เพื่อสังเกตเงาลมแทรกในผนังลำไส้
การตรวจเอกซเรย์ด้านข้าง
การตรวจช่องท้องด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การเพาะตัวอย่างเลือด
การรักษา
การระงับสิ่งกระตุ้นท าให้เกิดการอักเสบ ผ่านการพักการใช้ทางเดินอาหาร (NPO)
ยาปฏิชีวนะชนิดสเปกตรัมกว้าง การระงับการติดเชื้อตามระบบต่างๆ ของร่างกาย
ให้ยากลุ่มกระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
การเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่ วย ได้แก่ สัญญาณชีพ ปริมาณปัสสาวะ การแข็งตัวของเลือด การ เปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพในทางเดินอาหาร
วิธีรักษาภาวะลำไส้เน่าอักเสบโดยการผ่าตัดแบ่งออกได้ 2 วิธี
1.การผ่าตัดแบบเปิดสำรวจช่องท้อง
2.การใส่ท่อระบายช่องท้อง
Hypoglycemia
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
อาการแสดง
ซึม ไม่ดูดนม มีสะดุ้งผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว หยุดหายใจ ตัวอ่อนปวกเปี ยก
อุณหภูมิกายต่ำ ชักกระตุก
สาเหตุ
การไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จ ากัด
การสร้างกลูโคส (glucogenesis) ได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การดูแล
ทารกที่มีอาการร่วมกับระดับน้ำตาลน้อยกว่า 40 มก./ดล.
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด(10% D/W)
ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30
นาทีหลังให้นมมื้อแรก
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
อายุ 4-24 ชั่วโมง ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม
กรณีทารกเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะต้องตรวจหาระดับน้ำตาล ภายใน 1-2 ชม.
หลังคลอด
ในรายไม่แสดงอาการ ให้กินนมหรือสารละลายกลูโคส
ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
Meconium aspiration syndrome
(MAS)
เป็นภาวะที่ทารกในครรภ์สูดสำลักหรือหายใจเอาขี้เทาที่มีอยู่ในน้ำคร่ำเข้าไปในหลอดลม
หรือปอด
สาเหตุ
ปัจจัยด้านมารดา
อายุครรภ์มากกว่า 42 wks ส่งผลให้รกเสื่อมสภาพ
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ผ่านรกมายังทารกน้อยลง
มารดามีภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด
มารดามีภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ ทารกเคลื่อนไหวไม่สะดวก เกิดสายสะดือถูกกด
มีภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ น้ำคร่ำรั่วนานกว่า 18 ชม.
ประวัติใช้สารเสพติด ส่งผลให้มีการหดรัดตัวของมดลูก
ปัจจัยด้านทารก
ทารกจะเกิดภาวะเครียด
มีการคลายตัวของหูรูดลำไส้ของทารก
ทารกมีการถ่ายขี้เทาปนในน้ำคร่ำมารดา
อาการและอาการแสดง
อาการรุนแรงน้อย ทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง 24-72 ชั่วโมง
อาการรุนแรงปานกลาง อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น
อาการรุนแรงมาก ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันที หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังเกิด
การวินิจฉัย
อาการแสดง
หายใจลำบาก ทรวงอกโป่ง
ตรวจร่างกาย
น้ำคร่ำมีตะกอนขี้เทา ร่างกายทารกมีขี้เทาติด
ภาพถ่ายรังสี
alveolar infiltration hyperaeration
atelectasis
ABG
มีภาวะเลือดเป็นกรด มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง มีภาวะพร่องออกซิเจน
แนวทางการรักษา
ให้ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
พิจารณาให้ยาตามอาการของทารก เพื่อให้ทารกพักผ่อน ลดการใช้ออกซิเจนในร่างกาย(กลุ่ม opioids, กลุ่ม muscle relaxants )
พิจารณาใช้ยาเพื่อขยายหลอดเลือดในปอด กรณีมีภาวะความดันในปอดสูง
ให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีมีภาวะหายใจล้มเหลว เพื่อลดการอักเสบเนื้อเยื่อปอด
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ
การพยาบาล
เป้าหมายที่สำคัญเพื่อให้ทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ เฝ้าระวังการติดเชื้อ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน ได้แก่ หายใจเร็ว อกบุ๋ม ปี กจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจมากขึ้น เขียว
วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชื้อ
พัฒนาการพฤติกรรมทางระบบประสาท
เพื่อให้ทารกมีพฤติกรรมทางระบบประสาทที่เหมาะสม
พยาบาลควรให้การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ
การจัดท่า
การจับต้องทารกเท่าที่จำเป็น
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
ส่งเสริมการดูดของทารก โดยใช้หัวนมหลอก
ส่งเสริมพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสของทารกในขณะให้การรักษา พยาบาล
นางสาวฑุลิกา เดชเกตุ ปี2 เลขที่23