Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยงสูง - Coggle Diagram
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยงสูง
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ทารกแรกเกิดจะไวต่ออุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายท่ี hypothalamus, CNS เจริญเติบโตไม่เต็มที่
ผิวหนังบาง ทำให้เส้นเลือดอยู่ชิดกับผิวหนัง
พื้นผิวของร่างกายมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว
มีไขมันใต้ผิวหนังน้อย
ต่อมเหงื่อยังทำหน้าที่ได้ไม่ดี จนกว่าอายุ 4 wks
การสูญเสียความร้อนในทารกแรกเกิด
การนำ (conduction) เกิดจากผิวของทารกสัมผัสกับวัตถุที่เย็น
การพา (convection) เป็นการพาความร้อนจากทารกสู่สิ่งแวดล้อม
ที่เย็นกว่า
การแผ่รังสี (radiation) การสูญเสียความร้อนไปสู่ที่เย็นกว่า
แต่ไม่สัมผัสวัตถุโดยตรง
การระเหย (evaporation) การสูญเสียความร้อน
เมื่อของเหลวเปลี่ยนไปเป็นไอน้ำ
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 ซม.
ทารกครบกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 ซม.
ทางรักแร้
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ
ต่ำกว่า36.5องศาเซลเซียส
แต่ทารกแรกเกิดจะต่ำกว่า36.8องศาเซลเซียส
อาการเริ่มแรก
มือเท้าเย็น ตัวซีค ผิวหนังลายจากเส้นเลือดขยายตัว
ซึม ดูดนมช้า ดูดนมน้อยลง หรือไม่ดูดนม อาเจียน ท้องอืด น้ำหนักไม่ขึ้น
น้ำหนักลด
ภาวะอุณหภูมิกายสูง
สูงกว่า37.5องศาเซลเซียส
อาจเกิดจากการติดเชื้อ การอยู่ในอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่ร้อนเกินไป
อาการแรกเริ่ม
หงุดหงิดเมื่อร้อนขึ้น มีการเคลื่อนไหวลดลง
หายใจเร็วและแรง หรือหยุดหายใจ ซึม สัมผัสผิวหนังพบว่าอุ่นกว่าปกติ
การดูแล
จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเชียส
keep warm (warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว)
ระวัง Cool stress
ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (25-26 องศาเซลเซียส)
ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายทารก 4 ทาง
ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชม.และปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
การควบคุมอุณหภูมิทารกที่อยู่ในตู้อบ
อุณหภูมิกายทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 36.8- 37.2 องศาเซลเซียส
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือ
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36 องศาเซลเชียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2 องศาเซลเซียส
ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15 - 30 นาที
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 -37.2 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดกัน ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบ
ตาม Neutral thermal environment (NTE)
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ
ติด skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
ปรับตู้อบเริ่มที่36.5องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 องศาเซลเซียส
ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15 - 30 นาที (max 38.0 องศาเซลเซียส)
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 -37.2 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ครั้งติดกัน ให้ปรับ
อุณหภูมิตู้อบตาม NTE
ระบบการไหลเวียนโลหิต
ภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน
อาการและอาการแสดง
หายใจเร็ว
หอบเหนื่อย รับนมได้น้อย ท้องอืด
น้ำหนักไม่ขึ้น
การรักษา
การรักษาทั่วไป ให้ยาควบคุมอาการถ้ามีภาวะหัวใจวาย
การรักษาจำเพาะ
โดยใช้ยา
prostaglandin
Indomethacin ขนาดที่ให้ 0.1-0.2 มก/กก.ทุก 8 ชม
ข้อห้ามใช้
BUN > 30 mg/dl , Cr > 1.8 mg/dl
Plt. < 60,000 /mm3
urine < 0.5 cc/Kg/hr. นานกว่า8 hr.
มีภาวะ NEC
Ibuprofen
ข้อห้ามใช้
BUN > 20 mg/dl , Cr > 1.6 mg/dl
การผ่าตัด PDA ligation
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
แบ่งออกเป็น2ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice) เกิดจากมีการ
สร้างบิลิรูบินมากเพราะเม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าและความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับ
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice) เป็นภาวะที่
ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติและเหลืองเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด
สาเหตุ
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
มีการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงจากหมู่เลือดของแม่ลูกไม่เข้ากัน
มีความผิดปกติเยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแคงแตกง่ายกว่าปกติ
มีความผิดปกติของเอนไซด์ในเม็ดเลือดแดง
มีเลือดออกในร่างกาย
เม็ดเลือดแดงเกิน (polycythemia )
โรคธาลัสซีเมีย
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น
มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงจากท่อน้ำดีอุดตัน
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้นร่วมกับการกำจัดได้น้อยลง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น
ระดับบิลิรูบินในเลือดสูง จะทำให้เข้าไปจับกับเนื้อสมองด้านใน
ทำให้เกิดอาการผิดปกติทางสมอง เรียกว่า Kernicterus
ระยะแรก
ซึม ดูดนมน้อยลง ตัวอ่อนปวกเปียก เกร็งหลังแอ่น ชัก มีไข้
ระยะยาว
มีการเคลื่อนไหวผิดปกติของร่างกายและแขนขา
มีความผิดปกติของการได้ยินและการเคลื่อนไหวลูกตา
พัฒนาการช้า ระดับสติปัญญาลดลง
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติมีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่
มารดามีโรคประจำตัวการ ได้รับยาการติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
ประวัติการคลอดของทารก คะแนน Apgar การได้รับบาดเจ็บในระยะคลอด
การตรวจร่างกาย ซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหรือไม่มีจุดเลือดออกบริเวณใดหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ( CBC, Coombs'test, LFT, G6PD)
การรักษา
การส่องไฟ
ภาวะแทรกซ้อน
Increases metabolic rate
Increased water loss / dehydration
Diarrhea
Retinal damage
Bronze baby/tanning
การพยาบาล
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา
เช็ดทำความสะอาดตาและตรวจตาของทารกทุกวัน
ควรเปิดตาทุก 4 ชม.และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม.
ระหว่างให้นมควรเปิดผ้าปิดตาเพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา
ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4ชม.เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง
V/S ทุก 4 ชม.
สังเกตลักษณะอุจจาระ ระหว่างการส่องไฟทารก
บันทึกลักษณะและจำนวนอุจจาระอย่างละเอียด
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบิน ในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม.
สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการ ได้รับการส่องไฟรักษา
การเปลี่ยนถ่ายเลือด
การพยาบาล
อธิบายให้บิดามารดาทราบเตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่นในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า-ออก
ตรวจวัดสัญญาณชีพสังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย
ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที่
ระบบการหายใจ
Apnea of prematurity (AOP)
สาเหตุ
Prematurity
Infection
Metabolic disorder
Impaired oxygenation
CNS problem
Gastroesphageal reflex
การดูแล
จัดท่านอนที่เหมาะสม
สังเกตุการพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ดูดเสมหะเมื่อจำเป็น
ระวังการสำลัก
ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
เลือดออกในช่องสมอง Intraventricular hemorrhage:IVH
โรคปอดอุดกันเรื้อรังBornchopulmonary Dysplasia:BPD
จอประสทาตาผิดปกติRetinopathy of Prematurity:ROP
Intraventricular hemorrhage (IVH)
คือภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นปัญหาสำคัญที่พบในทารกคลอดก่อนกำหนด
พบอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ25
อุบัติการณ์และความรุนแรงจะแปรผกผันกับอายุครรภ์และน้ำหนักแรกเกิด
ปัจจัยเสี่ยง แบ่งเป็น
ช่วงก่อนคลอด: การคลอดทางช่องคลอด ภาวะทารกขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์ภาวะตกเลือดก่อนคลอด
ช่วงหลังคลอด: RDS, prolonged neonatal resuscitation,acidosis, pneumothorax, NEC และภาวะชักIntraventricular hemorrhage(IVH)
อาการ IVH มักเกิดในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มี RDS รุนแรงและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ในรายที่มีเลือดออกปริมาณมากและเร็ว ทารกจะมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หมดสติชักเกร็ง หยุดหายใจ ซีด และกระหม่อมหน้าโป้งตึง
ถ้าเลือดออกไม่มาก ทารกอาจไม่มีอาการหรือเพียงแต่ซีดลงเท่านั้น บางรายอาจมีอาการซึม กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นพักๆ
ความรุนแรงของ IVH
grade 1 : มีเลือดออกที่ germinal matrix
grade 2: มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองปกติ
grade 3: มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองใหญ่ขึ้น
grade4: มีเลือดออกในโพรง สมองร่วมกับเลือดออกในเนื้อสมอง
Retinopathy of Prematurity
(ROP)
เป็นความผิดปกติ ในทารกในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อย
มีลักษณะสำคัญ คือ การงอกผิดปกติของเส้นเลือด (neovascularization)
การวินิจฉัย
ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 - 6 สัปดาห์ หรือเมื่อทารกอายุครรภ์รวมหลังเกิด 32สัปดาห์
ถ้าไม่พบการดำเนินของโรค ตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
ถ้าพบว่ามีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้ำทุก ๆ 1 - 2 สัปดาห์
มีตำแหน่ง 3 zone
ความรุนแรง
stage1 : Demarcation line between vascularized andavascular retina
Stage 2: Ridge between vascularized and avascular retina
Stage 3: Ridge with extraretinal fibrovascular proliferation
Stage 4: Subtotal retinal detachment:
(a) extrafoveal detachment (b) foveal detachment
Stage 5: Total retinal detachment
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จำเป็น
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ติดตาม O2 saturationดูแลให้ทารกมีระดับO2saturation อยู่ระหว่าง 88-92 %
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจ screening ROP
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชี้ให้ได้รับการรักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์
การป้องกัน โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและลดปัจจัยเสี่ยง
การคลอดก่อนกำหนด
การให้ 02 ความเข้มข้นสูงเป็นเวลานาน
การใช้ความดันของเครื่องช่วยหายใจสูงเป็นเวลานาน
ให้สารต้านอนุมูลอิสระ
การรักษา
ตามสาเหตุ
ตามอาการ เช่น การให้ 02, ให้ยาขยายหลอดลม,รักษาภาวะแทรกซ้อน,
ฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
RDS (Respiratory Distress Syndrome)
ภาวะกลุ่มอาการหายใจลำบากพบได้บ่อยในทารกคลอดก่อน
น้ำหนักตัว < 1,500 gm.
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค
มารดามีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
ทารกมีภาวะ hypothermia, Perinatal asphyxia
มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ครรภ์ก่อนบุตรมีภาวะ RDS
สาเหตุ
ขาดสารลดแรงตึงผิวที่ผิวของถุงลม
โครงสร้างของปอดมีพัฒนาการไม่เต็มที่
สาร surfactant ทำหน้าที่ให้ถุงลมคงรูปไม่แฟบขณะหายใจออก
การป้องกัน
อายุครรภ์24- 34 สัปดาห์ ควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อน
ปัจจุบันมี 2 ชนิด
Betamethazone 12 mg
Dexamethazone 6 mg
การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด
อาการและอาการแสดง
ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบทางเดินหายใจ
หายใจเร็ว มากกว่า 60 ครั้ง / นาที
หน้าอกและหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน
เสียงหายใจผิดปกติมีการกลั้นหายใจขณะหายใจออก
ซีด BP ต่ำ
ระบบทรวงอก
หน้าอกปุ่ม จากการหดตัวอย่างแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยหายใจ
ระบบทางเดินอาหาร
ดูดนมไม่ดี อาเจียน ท้องอืด
ระบบประสาท
ซึม กระสับกระส่าย reflex ลดลง กระหม่อมโปร่งตึง
ระบบผิวหนัง
ตัวลาย ผิวหนังเย็น ตัวเหลือง มีจุดเลือดออก
เมตาบอลิซึม
Hypoglycemia ภาวะ acidosis
การรักษา
ให้ออกซิเจนตามความต้องการของทารก
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น
Perinatal asphyxia
เป็นภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิด
เลือดขาดออกซิเจน
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง
เลือดเป็นกรด เนื่องจากการระบายอากาศที่ปอด (ventilation)
และการกำซาบของปอด (pulmonary perfusion) ไม่เพียงพอ
สาเหตุ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคลอด
ปัจจัยทางด้านมารดา ได้แก่ ตกเลือด อายุมาก เบาหวาน รกเกาะต่ำ
ปัจจัยเกี่ยวกับทารก ได้แก่ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ภาวะติดเชื้อในครรภ์ ความพิการ โดยกำเนิด
APGAR score
No asphyxia คะแนนแอพการ์ 8-10
Mild asphyxia คะแนนแอพการ์ 5- 7
Moderate asphyxia คะแนนแอพการ์ 3 - 4
Severe asphyxia คะแนนแอพการ์ 0-2
ผลของการขาดออกซิเจนแรกคลอด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ศูนย์ควบคุมการทำงานของหัวใจถูกกดเป็นผลให้หัวใจเต้นช้าลง
กล้ามเนื้อหัวใจทำงานมีประสิทธิภาพลดลง หัวใจพองขยาย ความดัน โลหิตต่ำเกิดภาวะช็อกจากหัวใจ
การขาดออกซิเจนมากของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย
ลิ้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจถูกทำลายเกิดลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท
ระบบหายใจ
ศูนย์หายใจถูกกดทำให้หายใจช้า
เนื้อเยื่อปอดขาดออกซิเจนมาก ๆ ทำให้เซลล์ถุงลมไม่สามารถสร้างสารลดแรงตึงผิวได้
การรั่วของซีรั่มจากหลอดเลือดปอด จากเยื่อบุหลอดเลือดเสียหน้าที่
ระบบประสาทกลาง
หยุดหายใจ รีเฟด็กซ์ลดลงกำลังกล้ามเนื้อลดลงหรืออาจชัก
เลือดออกในสมองจากหลอดเลือดของสมองเสียความคงทน
ภาวะชักจากคอร์เท็กซ์ของสมองถูกทำลาย
ภาวะสมองบวมจากการคั่งของสารน้ำ
ระบบการขับถ่าย
หลอดฝอยของเนื้อไตเกิดเนื้อตายเฉียบพลัน ปัสสาวะลดลง หรือไม่ปัสสาวะใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด
ระบบทางเดินอาหาร
ภาวะลำไส้เน่า
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ บิลิรูบินในเลือดสูง
การรักษาประดับประคองและการรักษาตามอาการ
การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
ให้ความอบอุ่นและควบคุมทารกให้อุณหภูมิปกติ
ให้ออกซิเจนที่เหมาะสม
ให้เลือด ถ้าความเข้มข้นของเลือดต่ำหรือเสียเลือด
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ
หลังจาก 12 ชั่วโมง ให้ระวังอาการชัก
Bronchopulmonary Dysplasia
เป็นโรคปอดเรื้อรัง
มีการทำลายของทางเดินหายใจขนาดเล็ก
พบในทารกคลอดก่อนกำหนดที่เป็น RDS หรือโรคที่ต้องการ O2 ความเข้มข้นสูง
เกิน 60% และใช้เครื่องช่วยหายใจนานกว่า 24 ชั่วโมง
อาการและอาการแสดง
หายใจเร็วกว่าปกติ
หน้าอกบุ๋ม (intercostal retraction)
02ในเลือดต่ำกว่าปกติ
CO, ในเลือดคั่ง
ความดันในปอดสูง(pulmonary hypertension) ในรายที่รุนแรง
การวินิจฉัย
ประวัติ
อาการและอาการแสดง
ภาพถ่ายรังสีปอด (มี 4 ระยะ)
ระยะที่ 1 : ปอดขยายตัวไม่เต็มที่ มีจุดฝ้าขาวเล็กๆทั่วปอด (ground glass appearance)
ระยะที่ 2 : มีฝ้าขาวทั่วปอด
ระยะที่ 3 : เข้าสู่ระยะเรื้อรัง เห็นก้อนในเนื้อปอด จากมี hyperaeration สลับกับ fibrosis
ระยะที่ 4 : ระยะเรื้อรัง มีatelectasis และ hyperaeration กระจายในปอด จะมีความดันในเลือดสูง
ระบบทางเดินอาหาร
Necrotizing Enterocolitis (NEC)
คือภาวะลำไส้เน่าอักเสบ
เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อของระบบทางเดินอาหารตายจากการอักเสบจนขาดเลือด
มักเกิดบริเวณลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ในทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อย
สาเหตุ
การใช้ยาของมารดาขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด การเริ่มรับนม
เพิ่มปริมาณนมเร็ว ภาวะขาดออกซิเจน
Necrotizing Enterocolitis
ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถทำให้ทารกแรกเกิดมี โอกาสเกิดภาวะลำไส้เน่าตาย
มารดาใช้สารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์
ทารกติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
การเติบโตช้าในครรภ์
การคลอดก่อนกำหนดหรือมีปัญหาระหว่างทำคลอด
ทารกเกิดภาวะขาดออกซิเจน(hypoxia)
ทารกเกิดภาวะเลือดข้น(polycythemia)
น้ำหนักตัวทารกน้อยกว่า 2,000 กรัม
ความพิการของหัวใจแต่กำเนิด ซึ่งส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงลำไส้ได้ไม่เพียงพอ
การให้นมผสมที่เข้มข้นสูงผ่านทางเดินอาหาร
การใส่สายสวนหลอดเลือดทางสะดือ
มีพยาธิสรีรภาพจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งจนทำให้ลำไส้เกิดการอักเสบ
นำไปสู่การทำลายเยื่อบุผิวลำไ ส้ รวมถึงเชื้อแบคที่เรียลุกลามเข้าไปสู่ผนังลำไส้ทำให้เนื้อเยื่อในลำไส้ตาย เกิดก๊าซแทรกตัว
หากมีความรุนแรงมากขึ้น อาจถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด มีแผลบริเวณลำไส้ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่เยื่อบุชั้นในและกล้ามเนื้อของลำไส้และอาจทำให้ลำไส้ทะลุ
อาการ
เชื่องซึม (lethargy) ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ร้องกวน
อุณหภูมิกายต่ำ หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้า มีภาวะกรดเกิน โซเดียมต่ำและออกซิเจนต่ำ
อาการเฉพาะ
ท้องอืด
ถ่ายอุจาระเหลว
อาเจียนเป็นสีน้ำดี
มีเลือดออกในทางเดินอาหาร
มีอาหารเหลือค้างในกระเพาะอาหาร
อาจมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
การรักษา
การระงับสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ ผ่านการพักการใช้ทางเดินอาหาร (NPO)
ยาปฏิชีวนะชนิดสเปกตรัมกว้าง การระงับการติดเชื้อตามระบบต่างๆ ของร่างกาย
การพยุงระบบไหลเวียน ด้วยการให้สารน้ำ สารอาหารทางหลอดเลือด
ให้ยากลุ่มกระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
การเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย ได้แก่ สัญญาณชีพ ปริมาณปัสสาวะ การแข็งตัวของเลือด การ เปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพในทางเดินอาหาร
วิธีรักษาภาวะลำใส้เน่าอักเสบโดยการผ่าตัด
การผ่าตัดแบบเปิดสำรวจช่องท้อง
การใส่ท่อระบายช่องท้อง
Meconium aspiration syndrome
(MAS)
เป็นภาวะที่ทารกในครรภ์สูดสำลักหรือหายใจเอาขี้เทาที่มีอยู่ในน้ำคร่ำเข้าไปในหลอดลมหรือปอด
ส่งผลให้ทารกมีปัญหาหายใจลำบาก
พบบ่อยในทารกเกิดครบกำหนดและทารกเกิดเกินกำหนดที่มีภาวะขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์
ภาวะตื่นตัวของทารกเมื่อแรกเกิดเรียกว่า Vigorous ได้จากการประเมินทารกโดย ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลทารกแรกเกิดเมื้อ 10 ถึง 15 วินาทีหลังเกิด โดยทารกต้องมีอาการ
มีแรงหายใจด้วยตนเองได้ดี
มีกำลังกล้ามเนื้อดี
อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
ได้รับการประเมินว่าไม่ตื่นตัวเรียกว่า non vigorous
สาเหตุ
ด้านมารดา
อายุครรภ์มากกว่า 42 wks ส่งผลให้รกเสื่อมสภาพ
ความดัน โลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ผ่านรกมายังทารกน้อยลง
มารดามีภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด
มารดามีภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ ทารกเคลื่อนไหวไม่สะดวก เกิดสายสะดือถูกกด
มีภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ น้ำคร่ำรั่วนานกว่า 18 ชม.
ประวัติใช้สารเสพติด ส่งผลให้มีการหดรัดตัวของมดลูก
ด้านทารก
เมื่อทารกในครรภ์มีภาวะขาดออกซิเจน ร่างกายของทารกจะมีการปรับตัว เพื่อหาแหล่งของออกซิเจนมาใช้ แต่เมื่อรับออกซิเจนจากสายสะดือไม่ได้ ทารกจะเกิดภาวะเครียด
มีการคลายตัวของหูรูดลำไส้ของทารก
ทารกมีการถ่ายขี้เทาปนในน้ำคร่ำมารดา
การถ่ายขี้เทาออกมาปนในน้ำคร่ำขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์เกิดได้
ลักษณะทางพยาธิสรีรวิทยาปกติ ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของลำไส้ที่พัฒนาสมบูรณ์แล้วของทารกในครรภ์
ลักษณะความผิดปกติทางพยาธิสภาพของรกและทารกในครรภ์ที่ตอบสนองต่อความเครียด
การวินิจฉัย
อาการแสดง: หายใจลำบาก ทรวงอกโป้ง(จากการมีลมคั่ง ไม่สามารถระบายออกได้)
ตรวจร่างกาย: น้ำคร่ำมีตะกอนขี้เทา ร่างกายทารกมีขี้เทาติด ฟังเสียงปอดไม่ได้ยินเสียงอากาศผ่าน
ภาพถ่ายรังสี: alveolar infiltration hyperaeration
atelectasis
ABG: มีภาวะเลือดเป็นกรด มีคาร์บอนไดออกไซด์ดั่ง มีภาวะพร่องออกซิเจน
แนวทางการรักษา
ให้ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
พิจารณาให้ยาตามอาการของทารก เพื่อให้ทารกพักผ่อน ลดการใช้ออกซิเจนใน(กลุ่ม opioids, กลุ่ม muscle relaxants )
พิจารณาใช้ยาเพื่อขยายหลอดเลือดในปอด กรณีมีภาวะความดันในปอดสูง
ให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีมีภาวะหายใจล้มเหลว เพื่อลดการอักเสบเนื้อเยื่อปอด
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ (ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดและภาวะความดันในปอดสูง)
การพยาบาล
เป้าหมายที่สำคัญเพื่อให้ทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ เฝ้าระวังการติดเชื้อ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน ได้แก่ หายใจเร็ว อกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจมากขึ้น เขียว
วัดความดัน โลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชื้อ
พัฒนาการพฤติกรรมทางระบบประสาทเนื่องจาก
ช่วงเวลาที่อยู่ในครรภ์มารดาซึ่งมีความเหมาะสมต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ มีน้อย
ความเจ็บป่วยของทารกทำให้ได้รับการรักษาที่ส่งผลต่อพัฒนาการ
สิ่งแวดล้อมในหอผู้ป่วยไม่เหมาะสม เช่น แสง เสียง ที่มากเกินไป
พยาบาลควรให้การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ โดยการดูแล ดังนี้
การจัดท่า
การจับต้องทารกเท่าที่จำเป็น จัดกิจกรรมการพยาบาลต่างๆ ให้อยู่ในเวลาเดียวกัน (cluster nursing care)
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
ส่งเสริมการดูดของทารก โดยใช้หัวนมหลอก (Non-nutritive sucking ในกรณีที่สภาพทารกไม่เหมาะที่จะดูดนมส่งเสริมให้ดูดเอง
ส่งเสริมพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสของทารกในขณะให้การ รักษา พยาบาล
การวางแผนจำหน่าย
ทารกมีอาการดีขึ้น ไม่มีปัญหาการหายใจหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
สามารถดูดนมได้เอง
น้ำหนักเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอและเมื่อารกมีน้ำหนักมากกว่า 1,800 กรัม
พยาบาลต้องมีการวางแผนการจำหน่ายทารกตั้งแต่แรกเริ่ม
สอนมารดาเกี่ยวกับเรื่องการให้นมมารคาแก่ทารก การทำความสะอาดร่างกาย การสังเกตอาการผิดปกติ
การสังเกตพฤติกรรมหรือสื่อสัญญาณของทารก
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีพัฒนาการของระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทสัมผัสที่ไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถแสดงสื่อสัญญาณได้ชัดเจนเหมือนในทารกครบกำหนด
สอนมารคาเกี่ยวกับการคิดอายุจริงของทารก /Corrected age) เพื่อใช้ในการประเมินและส่งเสริมพัฒนาการของทารกต่อไป
Hypoglycemia
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 40 mg% (term)
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 35 mg% (preterm)
อาการแสดง
ซึม ไม่ดูคนม มีสะดุ้งผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว หยุดหายใจ ตัวอ่อนปวกเปียก
สาเหตุ
การไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จำกัด
การสร้างกลูโคส (glucogenesis) ได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด เช่น การขาดออกซิเจนอุณหภูมิกายต่ำทำให้มีการใช้น้ำตาลมาก
การดูแล
ทารกที่มีอาการร่วมกับระดับน้ำตาลน้อยกว่า 40 มก.ดล.
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด(10% D/W)
ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30นาทีหลังให้นมมื้อแรก
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/คล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล.ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ระดับน้ำตาล 25-40 มก/ดล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
Hypoglycemiaอายุ 4-24 ชั่วโมง ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/คล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/คล. ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ถ้าระดับน้ำตาล 35-45 มก/คล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด 10% D/W 2 mg kg,และ/หรือ glucose infusion rate (GIR)5-8 มก/กก/นาที โดยให้ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ในช่วง 40-50 มก.ดล
กรณีทรกเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะต้องตรวจหาระดับน้ำตาล ภายใน 1-2 ชม.หลังคลอด และติดตามทุก 1-2 ชม.ใน 6-8 ชม.แรกหรือจนระดับน้ำตาลจะปกติ
รีบให้5,10 %D/W ทางปาก หรือ NG tube ใน 1-2 มื้อแรก แล้วให้นม
กรณีที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำ ตรวจติดตามทุก 30 นาที
ในรายไม่แสดงอาการ ให้กินนมหรือสารละลายกลูโคส ถ้ากินไม่ได้ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดำ
ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
ระบบภูมิคุ้มกัน
ทารกคลอดก่อนกำหนด
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์ ได้รับ IgG จากมารดาขณะอยู่ในครรภ์น้อย
เม็ดเลือดขาวมีน้อย จึงทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรค (phagocytosis) ไม่สมบูรณ์
ผิวหนังเปราะบาง epidermis และ dermis ยึดกันอย่างหลวมๆ
จึงถูกทำลายได้ง่าย
Sepsis
Early onset Sepsis คือ ติดเชื้อในระยะก่อน/ ระหว่างการคลอด แสดงอาการภายใน 2-3 วัน แรกหลังคลอดภายใน 72 ชั่วโมงแรก
Late onset Sepsis คือ ติดเชื้อที่แสดงอาการ หลังคลอด 72 ชั่วโมงถึง 1 เดือน
สาเหตุ
preterm
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดนานเกิน 18 ชั่วโมง
การคลอดล่าช้า
มารดามีการติดเชื้อ น้ำคร่ำมีกลิ่น
เชื้อ Group B streptococci แกรมลบ E.coli Klebsiella)
ทารกมีภาวะพร่องออกซิเจนในครรภ์
การตรวจวินิจฉัย
ซักประวัติมารดาขณะตั้งครรภ์ ไข้ ผื่น ต่อม น้ำเหลืองโตสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อ
ตรวจร่างกาย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Culture 24-48 hr.( blood, UA, CSF, Sputum)
CBC , Plt count
ESR ดูการตกของเม็ดเลือดขาว ทารกยังไม่เกิน 2 mm /hr
CRP
CXR
อาการและอาการแสดง: ในทารกไม่จำเพาะเจาะจง
อาจตรวจพบความผิดปกติในระบบต่างๆ
ซึม
ร้องนาน
ไม่ดูดนม
ซีด
ตัวลายเป็นจ้ำ (motting)
ผิวหนังเย็น
หายใจเร็ว หายใจลำบาก
ท้องอืด อาเจียน
สั่น ชัก
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมตาม sensitivity
ส่วนมากให้ Ampicillin iv กับ Gentamycin iv
ถ้าไม่ได้ผลนิยมเปลี่ยนเป็น กลุ่ม Cephalosporins iv
การพยาบาล
ประเมินภาวะติดเชื้อในร่างกาย
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ และสังเกตอาการข้างเคียงของยา
ควบคุมอุณหภูมิกายให้อยู่ในระดับปกติ
ดูแลความสะอาดร่างกายและสิ่งแวดล้อม
ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ
แยกทารก
ทารกแรกเกิด
เป็นกลุ่มประชากรที่มีอัตราการเจ็บป่วย (morbidity) และมีอัตราการตาย(mortality) มากที่สุดเมื่อเทียบกับประชากรวัยอื่น
การจำแนกประเภททารกแรกเกิด
การจำแนกตามน้ำหนักแรกเกิด
น้ำหนักน้อย คือ ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 2,500 กรัม
น้ำหนักปกติ คือ ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิด 2,500 - 4,000 กรัม
การจำแนกตามอายุครรภ์
คลอดก่อนกำหนด คือ ทารกที่มีอายุครรภ์ 37 สัปดาห์เต็มหรือต่ำกว่านี้
ครบกำหนด คือ ทารกที่มีอายุครรภ์มากกว่า37 สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์เต็ม
เกิดเกินกำหนดคือ ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์มากกว่า41 สัปดาห์
ทารกคลอกก่อนกำหนด
สาเหตุ
มารดา
อายุมารดาน้อยกว่า 18 ปีหรือมากกว่า 35 ปี
โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจ
มีประวัติคลอดก่อนกำหนด
มดลูกขยายตัวมากเกินไป
ติดเชื้อในร่างกาย
ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ใช้ยาเสพติดขณะตั้งครรภ์
ทารกในครรภ์
โครโมโซมผิดปกติ
ติดเชื้อ
ลักษณะทารกคลอดก่อนกำหนด
น้ำหนักน้อยรูปร่าง แขนขามีขนาดเล็ก
ศีรษะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว กะโหลกศีรษะนุ่ม
รอยต่อกะโหลกศีรษะและขม่อมกว้าง
เปลือกตาบวมและนูนออกมา ตามักปิดตลอดเวลา
ใบหูอ่อนนิ่มเป็นแผ่นเรียบ งอพับได้ง่าย
พบขนอ่อน (Lanugo hair) ที่บริเวณใบหน้า หลังและแขน ส่วนผมมีน้อย
ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ
กล้ามเนื้อ และไขมันใต้ผิวหนัง น้อย ผิวหนังเหี่ยวย่น
กล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครงยังเจริญไม่ดี
ขณะหายใจอาจถูกกระบังลมดึงรั้งเข้าไปเกิด intercostal retraction
หายใจไม่สม่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ
เขียวและหยุดหายใจได้ง่าย
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่ดี
ทารกมักจะเหยียดแขนและขาขณะนอนหงาย
มีการเคลื่อนไหวน้อย การเคลื่อนไหวสองข้างไม่พร้อมกันและมักเป็นแบบกระตุก
เสียงร้องเบาและร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดครบกำหนด
หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม
ท้องป่องเพราะกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง
ขนาดของอวัยวะเพศค่อนข้างเล็ก ในเพศชายลูกอัณฑะยังไม่ลงในถุงอัณฑะ รอยย่นบริเวณถุงมีน้อย ในเพศหญิงเห็นแคมเล็กชัดเจน