Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงสูง, การพยาบาลส่องไฟ,…

- - - - 1.น้ำหนักน้อยต่ำกว่า 2,500 กรัม
        
        น้ำหนักต่ำกว่า 1,500 กรัม
        
        น้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัม
      - 2.น้ำหนักปกติ 2,500-4,000 กรัม
    - - ครบกำหนด (term or mature infant) มีอายุครรภ์มากกว่า 37 สัปดาห์ถึง 41สัปดาห์เต็ม
      - เกินกำหนด (post term infant) มีอายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
      - คลอดก่อนกำหนด (preterm infant) มีอายุครรภ์ 37 สัปดาห์เต็มหรือต่ำกว่า
- - - - มีประวัติคลอดก่อนกำหนด
      - มดลูกขยายตัวมากเกินไป เช่น ครรภ์แฝด ภาวะน้ำคร่ำมากกว่าปกติ
      - มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจ เป็นต้น
      - มีการติดเชื้อในร่างกาย
      - อายุน้อยกว่า 18 ปีหรือมากกว่า 35 ปี
      - ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดขณะตั้งครรภ์
    - - มีโครโมโซมผิดปกติ
      - มีการติดเชื้อ
- - - - คลอดก่อนกำหนดวัดนาน 3 นาทีลึก 2.5 ซม.
      - คลอดครบกำหนดวัดนาน 3 นาทีลึก 3.0 ซม.
    - - คลอดก่อนกำหนดวัดนาน 5 นาที
      - คลอดครบกำหนดวัดนาน 8 นาที
  - - - มือเท้าเย็น ตัวซีด ผิวหนังลายจากเส้นเลือดขยายตัว ซึม ดูดนมช้าและน้อยลง หรือไม่ดูดนม อาเจียน ท้องอืด น้ำหนีกไม่ขึ้นหรือน้ำหนักลด เป็นต้น
  - - - หงุดหงิดเมื่อร้อนขึ้น มีการเคลื่อนไหวลดลง หายใจเร็วและแรง หรือหยุดหายใจ ซึม สัมผัสผิวหนังพบว่าอุ่นกว่าปกติ
  - - - ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2 องศาเซลเซียส (max 38 องศาเซลเซียส)
      - ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15-30 นาที
      - ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36 องศาเซลเซียส
      - ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8-37.2 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดกันให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE) แล้วติดตามอุณหภูมิต่อทุก 15-30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม.
    - - ปรับอุณหภูมิตู้อบิ่มที่ 36.5 องศาเซลเซียส
      - ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 องศาเซลเซียส (max 38 องศาเซลเซียส )
      - ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
      - ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15-30 นาที
      - ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8-37.2 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดกันให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE) แล้วติดตามอุณหภูมิต่อทุก 15-30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม.
- - - - Ductus arteriosus จะหดตัวและปิดกลายเป็นเอ็น (ligamentum arteriosum)
      - Ductus venosus ปิดเมื่อสายสะดือถูกตัดกลายเป็นเอ็นที่ตับ (ligamentum venosum)
      - Foramen ovale ปิดสมบูรณ์
  - - - 1.การรักษาทั่วไป ให้ยาควบคุมอาการถ้ามีภาวะหัวใจวาย
      - 2.การรักษาจำเพาะ
        
        ใช้ยาเพื่อช่วยยับัย้งการสร้าง prostaglandin
        
        Indomethacin ข้อห้ามใช้ BUN >30 mg/dl, Cr >1.8 mg/dl, Plt. <60,000 /mm3, urine <0.5 cc/Kg/hr. นานกวา่ 8 hr., มีภาวะ NEC
        
        Ibuprofen ข้อห้ามใช้ BUN > 20 mg/dl , Cr >1.6 mg/dl
        
        การผ่าตัด PDA ligation
  - - - 1.ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice) เกิดจากมีการสร้างบิลิรูบินมาก เพาระเม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าและความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับ จึงทำให้กระบวนการในการขับบิลิรูบินออกทำได้ช้า
      - 2.ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice) เป็นภาวะที่ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติและเหลืองเร็วภายใน 24 ชวั่ โมงแรกหลังเกิด เกิดได้จากหลายสาเหตุ
    - - 1.มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติจากภาวะต่างๆที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง
      - 2.มรการดูดซึมของบบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้นจากภาวะต่างๆ เช่น ภาวะลำไส้อุดตัน
      - 3.มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงจากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซม์บางชนิดแต่กำเนิด
      - 4.มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้นร่วมกับการจำกัดได้น้อยลง ได้แก่ การติดเชื้อ
      - 5.มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้นจากภาวะที่เกี่ยงข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (breastfeeding jaundice) เกิดจากได้รับน้ำนมช้าไม่เพียงพอ การจำกัดขี้เทาช้าทำให้มีการดูดซึมของบิลิรูบินพบในทารกอายุ 4-7 วัน
    - - ระยะแรก: ซึม ดูดนมน้อยลง ตัวอ่อนปวกเปียก เกร็งหลังแอ่น ชัก มีไข้
      - ระยะยาว: มีการเคลื่อนไหวผิดปกติของร่างกายและแขนขา มีความผิดปกติของการได้ยิน และการเคลื่อนไหวลูกตาพัฒนาการช้า ระดับสติปัญญาลดลง
    - - การส่องไฟ (phototherapy)
        
        ภาวะแทรกซ้อน
        
        Retinal damage
        
        Bronze baby /tanning
        
        Diarrhea
        
        Disturb of mother-infant interaction
        
        Thermodynamic unstable
        
        Increased water loss / dehydration
        
        Increases metabolic rate
        
        non-specific erythrematous rash
      - การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
    - - การพยาบาลเปลี่ยนถ่ายเลือด
        
        เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
        
        ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
        
        ในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า-ออกตรวจวัดสัญญาณชีพ
        
        สังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย แคลเซียมในเลือด น้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเย็น ติดเชื้อ
        
        อธิบายให้บิดามารดาทราบ
        
        ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที ทุก 30 นาทีจนกระทั่งคงที่
- - - - ทารกมีภาวะ hypothermia, Perinatal asphyxia
      - มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - มารดามีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
      - ครรภ์ก่อนบุตรมีภาวะ RDS
    - - โครงสร้างของปอดมีพัฒนาการไม่เต็มที่
      - ซึ่งสาร surfactant ทำหน้าที่ให้ถุงลมคงรูปไม่แฟบขณะหายใจออกสร้างจาก aveolar call type II ที่ผนังถุงลมเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 22-24wks และสร้างมากขึ้นจนเพียงพอหลัง 35 wks
      - เกิดจากการขาดสารลดแรงตึงผิวที่ผิวของถุงลม
    - - 1.มารดาที่มีความเสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดแต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตก โดยเฉพาะอายุครรภ์ 24-34 สัปดาห์ควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนคลอด เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารลดแรงตึงผิวและปอดมีความสมบูรณ์มากขึ้น
      - 2.การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด ซึ่งจะทำให้เลือดเป็นกรด ขัดขวางการทำงานของการสร้างสารลดแรงตึงผิว
    - - 1.ระบบไหลเวียนเลือด: หายใจเร็ว (tachypnea) มากกวา่ 60 ครั้ง/นาทีหรือหายใจลำบาก (dyspnea) หายใจหน้าอกและหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน เสียงหายใจผิดปกติ มีการกลั้นหายใจขณะหายใจออก ซีด ความดันต่ำ
      - 2.ระบบทรวงอก: หน้าอกปุ่ม บริเวณ Intercostal, Subcostal และ Substernal retraction จากการหดตวัอยา่ งแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยหายใจ
      - 3.ระบบทางเดินอาหาร: ดูดนมไม่ดี อาเจียน ท้องอืด
      - 4.ระบบประสาท: ซึม กระสับกระส่าย reflex ลดลงกระหม่อมโปร่งตึง
      - 5.ระบบผิวหนัง: ตัวลาย ผิวหนังเย็น ตัวเหลือง มีจุดเลือดออก
      - 6.เมตาบอลิซึม: Hypoglycemia ภาวะ acidosis
    - - ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน เช่น ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง ภาวะจอประสาทตาพิการจากการคลอดก่อนกำหนด โดยการปรับลดความเข้มข้นและอัตราไหลของออกซิเจน
      - ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ลดความรุนแรงของภาวะหายใจลำบาก
      - การให้ออกซิเจนตามความต้องการของทารก เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ
  - - - คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (hypercapnia)
      - เลือดเป็นกรด เนื่องจากการระบายอากาศที่ปอด (ventilation) และการกำซาบของปอด (pulmonary perfusion) ไมเพียงพอ
      - เลือดขาดออกซิเจน(hypoxemia)
    - - 2.ปัจจัยทางด้านมารดา: ตกเลือด อายุมาก เบาหวาน รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะครรภ์เป็นพิษ
      - 3.ปัจจัยเกี่ยวกับทารก: ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ภาวะติดเชื้อในครรภ์ ควาพิการโดยการกำเนิด
      - 1.ปัจจัยที่เกี่ยงข้องกับการคลอด: ศีรษะทารกไม่ได้สัดส่วนกับเชิงกรานมารดา คลอดตืดไหล่ ความผิดปกติของสายสะดือ ครรภ์แฝด ทารกท่าผิดปกติ
    - - Mild asphyxia คะแนนแอพการ์ 5–7
      - Moderate asphyxia คะแนนแอพการ์ 3–4
      - No asphyxia คะแนนแอพการ์ 8–10
      - Severe asphyxia คะแนนแอพการ์ 0-2
    - - 1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด
        
        การขาดออกซิเจนและการลดลงของไกลโคเจนของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลง หัวใจพองขยาย ความดันโลหิตต่ำเกิดภาวะช็อกจากหัวใจ
        
        เกิดภาวะหัวใจวาย
        
        ศูนย์ควบคุมการทำงานของหัวใจถูกกดเป็ นผลให้หัวใจเต้นช้าลง
        
        มีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อหัวใจลดลง ทำให้ลิ้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจถูกทำลายเกิด ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท
      - 2.ระบบหายใจ
        
        ศูนย์หายใจถูกกดทำให้หายใจช้า หรือหยุดหายใจ
        
        เนื้อเยื่อปอดขาดออกซิเจนมากๆ ทำให้เซลล์ถุงลมไม่สามารถสร้างสารลดแรงตึงผิวได้ เกิดกลุ่มอาการหายใจลำบาก
        
        การรั่วของซีรั่มจากหลอดเลือดปอด ตากเยื่อบุหลอดเลือดเสียหน้าที่ทำให้เกิดภาวะปอดคั่งน้ำ
      - 3.ระบบประสาทกลาง
        
        ทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับการรู้สติ หายใจไม่สม่ำ เสมอ หยุดหายใจ รีเฟล็กซ์ลดลง กำลังกล้ามเนื้อลดลงหรืออาจชักได้
        
        เลือดออกในสมองจากหลอดเลือดของสมองเสียความคงทน แตกได้ง่าย
        
        ภาวะชักจากคอร์เท็กซ์ของสมองถูกทำลาย
        
        ภาวะสมองบวมจากการคั่งของสารน้ำทั้งภายในและภายนอกเซลล์ของสมอง
      - 4.ระบบการขบัถ่าย
        
        ไตจะไวต่อภาวะขาดออกซิเจน การขาดออกซิเจนและเลือดไปเลี้ยงทำให้หลอดเลือดฝอยของไตหรือเนื้อไตเกิดเนื้อตายเฉียบพลัน ปัสสาวะลดลง หรือไม่ปัสสาวะใน 48 ชั่วโมงหลังคลอดหรือปัสสาวะเป็นเลือด
      - 5.ระบบทางเดินอาหาร
        
        เลือดไปเลี้ยงระบบทางเดินอาหารลดลง ทำให้เกิดภาวะลำไส้เน่า
        
        ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ บิลิรูบินในเลือดสูง
    - - งดอาหารทางปากชั่วคราว ให้สารน้ำและอาหารทางหลอดเลือด
      - ให้เลือด ถ้าความเข้มข้นของเลือดต่ำหรือเสียเลือด
      - ให้ออกซิเจนที่เหมาะสม
      - หลังจาก 12 ชั่วโมงให้ระวังอาการชัก
      - ให้ความอบอุ่นและควบคุมทารกให้อุณหภูมิปกติ
      - พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ
      - การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
      - ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
  - - - metabolic disorder
      - Impaired oxygenation
      - prematurity
      - CNS problem
      - drug
      - Gastroesophageal reflux
      - infection
    - - สังเกตอาการพร่องออกซิเจน
      - ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
      - จัดท่านอนที่เหมาะสม
      - ดูดเสมหะเมื่อจำเป็น
      - ระวังการสำลัก
    - - โรคปอดอุดกั้นเรื้งรัง (Bronchopulmonary Dysplasia: BPD)
      - จอประสาทตาผิดปกติ (Retinopathy of Prematurity :ROP)
      - เลือดออกในช่องสมอง (Intraventricular hermorrhage: IVH)
  - - - ช่วงก่อนคลอด: การคลอดทางช่องคลอด ภาวะทารกขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์ ภาวะตกเลือดก่อนคลอด
      - ช่วงหลงัคลอด: RDS, prolonged neonatal resuscitation, acidosis, pneumothorax, NEC และภาวะชัก
    - - อาการ IVH มักเกิดในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มี RDS รุนแรงและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ในรายที่มีเลือดออกปริมาณมากและเร็ว ทารกจะมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หมดสติ ชักเกร็ง หยุดหายใจ ซีด และกระหม่อมหน้าโปร่งตึง แต่ถ้าเลือดออกไม่มาก ทารกอาจไม่มีอาการหรือเพียงแค่ซีดเท่านั้น บางรายอาจมีอาการซึม กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นพักๆ
    - - ultrasound เป็นวิธีที่ดีและสะดวกที่สุด
    - - grade2: มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองปกติ
      - grade1: มีเลือดออกที่ germinal matrix
      - grade3: มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองใหญ่ขึ้น
      - grade4: มีเลือดออกในโพรงสมองร่วมกับเลือดในเนื้อสมอง
  - - - การงอกผิดปกติของเส้นเลือด (neovascularization) บริเวณรอยต่อระหว่างจอประสาทตาที่มีเลือดไปเลี้ยงและจอประสาตาที่ขาดเลือด
    - - ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4-6 สัปดาห์หรือเมื่อทารกอายุครรภ์รวมหลังเกิด 32 สัปดาห์
      - ถ้าไม่พบการดำเนินการของโรคตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
      - ถ้าพบว่ามีการดำเนินของโรตอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์
      - ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้ำทุกๆ 1-2 สัปดาห์
    - - stage1 : Demarcation line between vascularized and avascular retina
      - Stage 2: Ridge between vascularized and avascular retina
      - Stage 3: Ridge with extraretinal fibrovascular proliferation
      - Stage 4: Subtotal retinal detachment: (a) extrafoveal detachment (b) foveal detachment
      - Stage 5: Total retinal detachment
    - - ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ติดตาม O2saturation อยู่ระหว่าง 88-92%
      - ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
      - ดูแลให้ทารกได้รับออกซเจนเท่าที่จำเป็น
      - ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจ screening ROP
      - ดูแลทารกที่มีภาวะ ROP รุนแรงแลพอยู่ในเกณฑ์บ่งชี้ให้ได้รับการรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์
  - - - หน้าอกบุ๋ม (intercostal retraction)
      - O2 ในเลือดต่ำกว่าปกติ
      - CO2 ในเลือดคั่ง
      - ความดันในปอดสูง(pulmonary hypertension) ในรายที่รุนแรง
      - หายใจเร็วกว่าปกติ
    - - ระยะที่2 : มีฝ้าขาวทั่วปอด
      - ระยะที่3 : เข้าสู่รัยัเรื้อรัง เห็นก้อนในเนื้อปอด จากมี hyperaeration สลับกับ fibrosis
      - ระยะที่1 : ปอดขยายตัวไม่เต็มที่ มีจุดฝ้าขาวเล็กๆทั่วปอด (ground glass appearance)
      - ระยะที่4 : ระยะเรื้อรังมี atelectasis และ hyperaeration กระจายในปอด จะมีความดันในเลือดสูง
    - - การคลอดก่อนกำหนด
      - การให้ O2 ความเข้มข้นสูงเป็นเวลานาน
      - การใช้ความดันของเครื่องช่วยหายใจศุงเป็ฯเวลานาน
      - ให้สารต้านอนุมูลอิสระ
    - - ตามสาเหตุ
      - ตามอาการ
- - - - preterm
      - ถุงน้ำคร่ำาแตกก่อนกำหนดนานเกิน 18 ชั่วโมง
      - การคลอดล่าช้า
      - มารดามีการติดเชื้อ น้ำคร่ำมีกลิ่น
      - เชื้อ Group B streptococci แกรมลบ E.coli Klebsiella)
      - ทารกมีภาวะพร่องออกซิเจนในครรภ์
    - - ซึม ร้องนาน ไม่ดูดนม ซีด ตัวลายเป็นจ้ำ ผิวหนังเย็น หายใจเร็ว หายใจลำบาก ท้องอืด อาเจียน สั้น ชัก
    - - ส่วนมากให้ Ampicillin iv กบั Gentamycin iv
      - ถ้าไม่ได้ผลนิยมเปลี่ยนเป็นกลุ่ม Cephalosporins iv
      - ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมตาม sensitivity
    - - ประเมินภาวะติดเชื้อในร่างกาย
      - ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะและสังเกตอาการข้างเคียงของยา
      - ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับปกติ
      - ดูแลความสะอาดร่างกายและสิ่งแวดล้อม
      - ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ
      - แยกทารก
- - - - การคลอดก่อนกำหนด
      - การเริ่มรับนมและเพิ่มปริมาณนมเร็ว
      - การใช้ยาของมารดาขณะตั้งครรภ์
      - ภาวะขาดออกซิเจน
    - - เซื่องซึม (lethargy) ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ร้องกวน อุณหภูมิร่างกายต่ำ หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้า มีภาวะกรดเกิน โซเดียมและออกซิเจนต่ำ
      - อาการเฉพาะ: ท้องอืด ถ่ายเหลว อาเจียนเป็นสีน้ำดี มีเลือดออกในทางเดินอาหาร มีอาหารเหลือค้างในหระเพาะอาหาร อาจมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
    - - ยาปฏิชีวนะชนิดสเปกตรัมกว้าง การระงับการติดเชื้อตามระบบต่างๆของร่างกาย
      - การพยุงระบบไหลเวียนด้วยการให้สารน้ำสารอาหารทางหลอดเลือด
      - การระงับสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ ผ่านการพักการใช้ทางเดินอาหาร
      - ให้ยากลุ่มกระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
      - การเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย ได้แก่ สัญญาณชีพ ปริมาณปัสสาวะ การแข็งตัวของเลือด การเปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพในทางเดินอาหาร
      - การผ่าตัด
        
        การผ่าตัดแบบเปิดสำรวจช่องท้อง
        
        การใส่ท่อระบายช่องท้อง
  - - - ซึม ไม่ดูดนม มีสะดุ้วผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว หยุดหายใจ ตัวอ่อนปวกเปียก อุญหภูมิร่างกายต่ำ ชักกระตุก
    - - glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จำกัด
      - การสร้างกลูโคส (glucogenesis) ได้น้อย
      - การไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
      - มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด เช่น การขาดออกซิเจน อุณหภูมิร่างกายต่ำทำให้มีการใช้น้ำตาลมาก
    - - ทารกมีอาการ
        
        ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด(10% D/W)
      - ทารกไม่มีอาการ
        
        แรกเกิด-อายุ 4 ชม.ให้นมภายใน 1 ชม.แรก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นมมื้อแรก
        
        อายุ 4-24 ชม.ให้นมทุก 2-3 ชม.ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม
        
        ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชม
        
        ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
        
        ถ้าระดับน้ำตาล 35-45 มก/ดล ให้นนมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
  - - - ปัจจัยด้สนมารดา
        
        ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ผ่านรกมายังทารกน้อยลง
        
        มารดามีภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด
        
        มารดามีภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ ทารกเคลื่อนไหวไม่สะดวกเกิดสานสะดือถูกกด
        
        มีภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ น้ำคร่ำรั่วนานกว่า 18 ชม
        
        อายุครรภ์มากกว่า 42 wks ส่งผลให้รกเสื่อมสภาพ
        
        ประวัติใช้สารเสพติดส่งผลให้มีการหดรัดตัวของมดลูก
      - ปัจจัยด้านทารก
        
        ทารกในครรภ์มีภาวะขาดออกซิเจน
    - - อาการรุนแรงน้อย มีการหายใจเร็วระยะสั้นๆเพียง 24-72 ชม ทำให้แรงดันลดลง และมีค่าความเป็นกรด-ด่างปกติ อาการมักหายไปใน 24-72 ชม
      - อาการรุนแรงปานกลาง หายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น มีการดึงรั้งของช่องซี่โครงและมีความรุนแรงสูงสุดเมื่ออายุ 24 ชม
      - อาการรุนแรงมาก ระบบหายใจล้มเหลวทันทีหรือภายใน 2-3 ชม หลังเกิด
    - - พิจารณาให้ยาตามอาการของทารก เพื่อให้ทารกพักผ่อน ลดการใช้ออกซิเจนในร่างกาย (กลุ่ม opioids, กลุ่ม muscle relaxants )
      - พิจารณาใช้ยาเพื่อขยายหลอดเลือดในปอด กรณีมีภาวะความดันในปอดสูง
      - ให้ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
      - ให้ยาปฏิชีวนะในกรณีภาวะหายใจล้มเหลว เพื่อลดการอักเสบเนื้อเยื่อปอด
      - เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ (ภาวะลมรั่วในช่องเยื้อหุ้มปอดและภาวะความดันในปอดสูง)
    - - ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ตืดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน ได้แก่ หายใจเร็ว อกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจมากขึ้น
      - วัดความดันโลหิตทุก 2-4 ชม.เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN
      - เป้าหมายที่สำคัญเพื่อให้ทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ เฝ้าระวังการติดเชื้อ
      - รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
      - สังเกตอาการติดเชื้อ