Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงสูง - Coggle Diagram
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงสูง
ทารกแรกเกิด
ทารกที่อายุในช่วง 28 วันแรกของชีวิต
การจำแนกประเภท
การจำแนกตามน้ำหนักแรกเกิด
ทารกแรกเกิดมีน้าหนักน้อย (low birth weight infant)
ทารกที่มีน้าหนักแรกเกิดต่ากว่า 2,500 กรัม
ทารกแรกเกิดมีน้าหนักปกติ (normal birth weight infant)
ทารกที่มีน้าหนัก แรกเกิด 2,500 – 4,000 กรัม
การจำแนกตามอายุครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด (preterm infant)
ทารกที่มีอายุครรภ์ 37 สัปดาห์เต็มหรือต่ากว่านี้
ทารกแรกเกิดครบกำหนด (term or mature infant)
ทารกที่มีอายุครรภ์มากกว่า 37 สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์เต็ม
ทารกแรกเกิดเกินกำหนด (post term infant)
ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
การสูญเสียความร้อนในทารกแรกเกิด
การนำ (conduction)
เกิดจากผิวของทารกสัมผัสกับวัตถุที่เย็น
การพา (convection)
การพาความร้อนจากทารกสู่สิ่งแวดล้อมที่เย็นกว่า
การแผ่รังสี (radiation)
การสูญเสียความร้อนไปสู่ที่เย็นกว่า แต่ไม่สัมผัสวัตถุโดยตรง
การระเหย (evaporation)
การสูญเสียความร้อน เมื่อของเหลวเปลี่ยนไปเป็นไอน้า
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 ซม.
ทารกครบกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 ซม.
ทางรักแร้
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ(Hypothermia)
อุณหภูมิกายต่ำกว่า 36.5 องศาเซลเซียส
อาการเริ่มแรก
มือเท้าเย็น ตัวซีด ผิวหนังลายจากเส้นเลือดขยายตัว
ซึม ดูดนมช้า ดูดนมน้อยลง หรือไม่ดูดนม
อาเจียน ท้องอืด น้าหนักไม่ขึ้น หรือน้าหนักลด
ภาวะอุณหภูมิกายสูง(Hyperthermia)
อุณหภูมิกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
อาการเริ่มแรก
จะหงุดหงิดเมื่อร้อนขึ้น มีการเคลื่อนไหวลดลง
หายใจเร็วและแรง หรือหยุดหายใจ ซึม สัมผัสผิวหนังพบว่าอุ่นกว่าปกติ
การดูแล
จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเซียส
วัดอุณหภูมิ Body temperature ทารก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
keep warm (warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว)
ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (25-26 องศาเซลเซียส)
ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชม.และปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
ทารกที่อยู่ในตู้อบ
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือ (Air Servocontrol mode)
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36 องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2 องศาเซลเซียส (max 38.0 องศาเซลเซียส )
ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15 – 30 นาที
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 -37.2 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดกัน
ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE)
ติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม.
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Skin Servocontrol mode)
ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36.5 องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 องศาเซลเซียส (max 38.0 องศาเซลเซียส )
ระบบการไหลเวียนโลหิต
การหายใจของทารกแรกเกิดเปลี่ยนจาก รกเป็นปอด
Fetal circulation เป็น Neonatal circulation
ส่งผลให้
Foramen ovale ปิดสมบูรณ์
Ductus arteriosus จะหดตัวและปิดกลายเป็นเอ็น(ligamentum arteriosum)
Ductus venosus ปิดเมื่อสายสะดือถูกตัดกลายเป็นเอ็นที่ตับ(ligamentum venosum)
ภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน (Patent Ductus Arteriosus)
อาการและอาการแสดง
หายใจเร็ว หอบเหนื่อย รับนมได้น้อย ท้องอืด น้าหนักไม่ขึ้น
การรักษา
การรักษาทั่วไป
ให้ยาควบคุมอาการถ้ามีภาวะหัวใจวาย
การรักษาจาเพาะ
โดยใช้ยา เพื่อช่วยยับยั้งการสร้าง prostaglandin
การผ่าตัด PDA ligation
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
เกิดจากมีการสร้างบิลิรูบินมาก
เพราะเม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าและความไม่สมบูรณ์ในการทางานของตับ
ทาให้กระบวนการในการขับบิริลูบินออกทาได้ช้า
พบในช่วงวันที่ 2 - 4 วันหลังคลอด และหายไปเองใน 1 - 2 สัปดาห์
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
เป็นภาวะที่ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติและเหลืองเร็ว
ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด
สาเหตุ
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
มีการแตกทาลายของเม็ดเลือดแดงจากหมู่เลือดของแม่ลูกไม่เข้ากัน
มีความผิดปกติเยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดง ทาให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายกว่าปกติ
มีความผิดปกติของเอนไซด์ในเม็ดเลือดแดง
มีเลือดออกในร่างกาย
เม็ดเลือดแดงเกิน (polycythemia ) จากการที่ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจนเรื้อรัง
โรคธาลัสซีเมีย
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลาไส้มากขึ้น จากภาวะต่างๆ
มีการกาจัดบิลิรูบินได้น้อยลงจากท่อน้าดีอุดตัน การขาดเอนไซด์บางชนิดแต่กาเนิด
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้นร่วมกับการกาจัดได้น้อยลง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลาไส้มากขึ้นจากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ระดับบิลิรูบินในเลือดสูง จะทาให้เข้าไปจับกับเนื้อสมองด้านใน ทาให้เกิดอาการผิดปกติทางสมอง เรียกว่า Kernicterus
อาการ
ระยะแรก
ซึม ดูดนมน้อยลง ตัวอ่อนปวกเปียก เกร็งหลังแอ่น ชัก มีไข้
ระยะยาว
มีการเคลื่อนไหวผิดปกติของร่างกายและแขนขา
มีความผิดปกติของการได้ยินและการเคลื่อนไหวลูกตา
พัฒนาการช้า ระดับสติปัญญาลดลง
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติมีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่
มารดามีโรคประจาตัวการได้รับยาการติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
ประวัติการคลอดของทารก คะแนน Apgar การได้รับบาดเจ็บในระยะคลอด
การตรวจร่างกาย
ซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหรือไม่มีจุดเลือดออกบริเวณใดหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC, Coombs’test, LFT, G6PD
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy)
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
การพยาบาล
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches) เพื่อป้องกันการกระคายเคืองของแสงต่อตา
เช็ดทำความสะอาดตาและตรวจตาของทารกทุกวัน
เพราะอาจมีการระคายเคืองจากผ้าปิดตา ทาให้ตาอักเสบ
ควรเปิดตาทุก 4 ชม.และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม.
ระหว่างให้นมควรเปิดผ้าปิดตาเพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา
เป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกันระหว่างมารดากับทารก
ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่าและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4 ชม.
ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ ห่างจากหลอดไฟ 35-50 ซม.
บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 1-4 ชม.
สังเกตลักษณะอุจจาระ ระหว่างการส่องไฟทารกอาจถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้น
บันทึกลักษณะและจานวนอุจจาระอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้า
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม.
สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา
ได้แก่ ภาวะขาดน้า ถ่ายเหลว ดูดนมไม่ดี มีผื่นที่ผิวหนัง หรือภาวะแทรกซ้อนที่ตา
ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
RDS (Respiratory Distress Syndrome)
ภาวะกลุ่มอาการหายใจลำบาก
พบได้บ่อยในทารกคลอดก่อนกาหนดที่ GA<34-36 wks น้าหนักตัว < 1,500 gm.
อายุครรภ์ต่ากว่า 28 wks น้าหนัก <1,000 gm. มีโอกาสเกิดได้ใน 60-80%
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค
มารดามีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
ทารกมีภาวะ hypothermia, Perinatal asphyxia
มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ครรภ์ก่อนบุตรมีภาวะ RDS
สาเหตุ
เกิดจากการขาดสารลดแรงตึงผิวที่ผิวของถุงลม
โครงสร้างของปอดมีพัฒนาการไม่เต็มที่
สาร surfactant ทาหน้าที่ให้ถุงลมคงรูปไม่แฟบขณะหายใจออก
การป้องกัน
มารดาที่มีความเสี่ยงจะคลอดก่อนกาหนดแต่ถุงน้าคร่ายังไม่แตก
ควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนคลอด
พื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารลดแรงตึงผิวและปอดมีความสมบูรณ์มากขึ้น
การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด
ซึ่งจะทาให้เลือดเป็นกรด ขัดขวางการทางานของการสร้างสารลดแรงตึงผิว
อาการและอาการแสดงอาการ
ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบทางเดินหายใจ
หายใจเร็ว (tachypnea) มากกว่า 60 ครั้ง / นาที
หายใจ หน้าอกและหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน
เสียงหายใจผิดปกติมีการกลั้นหายใจขณะหายใจออก
ซีด BP ต่า
ระบบทรวงอก
หน้าอกปุ่ม (retraction)
ระบบทางเดินอาหาร
ดูดนมไม่ดี อาเจียน ท้องอืด
ระบบประสาท
ซึม กระสับกระส่าย reflex ลดลง กระหม่อมโปร่งตึง
ระบบผิวหนัง
ตัวลาย ผิวหนังเย็น ตัวเหลือง มีจุดเลือดออก
เมตาบอลิซึม
Hypoglycemia ภาวะ acidosis
การรักษา
การให้ออกซิเจนตามความต้องการของทารก
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน โดยการปรับลดความเข้มข้น และอัตราไหลของออกซิเจน
ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
เช่น ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง (BPD) ภาวะจอประสาทตาพิการจากการเกิดก่อนกาหนด (ROP)
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทาให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ลดความรุนแรงของภาวะหายใจลาบาก
Perinatal asphyxia
เป็นภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิด
ประกอบด้วย
เลือดขาดออกซิเจน(hypoxemia)
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (hypercapnia)
เลือดเป็นกรด เนื่องจากการระบายอากาศที่ปอด (ventilation)และการกำซาบของปอด (pulmonary perfusion) ไม่เพียงพอ
สาเหตุ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคลอด
ได้แก่
ศีรษะทารกไม่ได้สัดส่วนกับเชิงกรานมารดา
คลอดติดไหล่
ความผิดปกติของสายสะดือ
ครรภ์แฝด ทารกท่าผิดปกติ
ปัจจัยทางด้านมารดา
ได้แก่
ตกเลือด อายุมาก เบาหวาน รกเกาะต่า รกลอกตัวก่อนกำหนด
ภาวะพิษแห่งครรภ์ ความดันเลือดต่า ครรภ์เกินกาหนด ซีดมาก ได้รับยาแก้ปวด
ปัจจัยเกี่ยวกับทารก
ได้แก่
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ภาวะติดเชื้อในครรภ์
ความพิการโดยกาเนิด
ผลของการขาดออกซิเจนแรกคลอด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ศูนย์ควบคุมการทางานของหัวใจถูกกดเป็นผลให้หัวใจเต้นช้าลง
การขาดออกซิเจน ทาให้กล้ามเนื้อหัวใจทางานมีประสิทธิภาพลดลง
การขาดออกซิเจนมากของหัวใจ ทาให้เกิดภาวะหัวใจวาย
การมีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อหัวใจลดลง ทาให้ลิ้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจถูกทาลายเกิดลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท
ระบบหายใจ
ศูนย์หายใจถูกกดทำให้หายใจช้า หรือหยุดหายใจ
เนื้อเยื่อปอดขาดออกซิเจนมาก ๆ
ทาให้เซลล์ถุงลมไม่สามารถสร้างสารลดแรงตึงผิวได้เกิดกลุ่มอาการหายใจลาบาก
การรั่วของซีรั่มจากหลอดเลือดปอด จากเยื่อบุหลอดเลือดเสียหน้าที่
ทาให้เกิดภาวะปอดคั่งน้า
ระบบประสาทกลาง
ทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับการรู้สติ หายใจไม่สม่าเสมอ
เลือดออกในสมองจากหลอดเลือดของสมองเสียความคงทน แตกได้ง่าย
ภาวะสมองบวมจากการคั่งของสารน้าทั้งภายในและภายนอกเซลล์ของสมอง
ระบบการขับถ่าย
การขาดออกซิเจนและเลือดไปเลี้ยงทาให้หลอดฝอยของไต หรือเนื้อไตเกิดเนื้อตายเฉียบพลัน
ปัสสาวะลดลง หรือไม่ปัสสาวะใน 48 ชั่วโมงหลังคลอดหรือปัสสาวะเป็นเลือด
ระบบทางเดินอาหาร
เลือดไปเลี้ยงระบบทางเดินอาหารลดลง ทาให้เกิดภาวะลาไส้เน่า
ภาวะน้าตาลในเลือดต่า บิลิรูบินในเลือดสูง
การรักษาประคับประคอง
การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
ให้ความอบอุ่นและควบคุมทารกให้อุณหภูมิปกติ
ให้ออกซิเจนที่เหมาะสม
งดอาหารทางปากชั่วคราว ให้สารน้าและอาหารทางหลอดเลือด
ให้เลือด ถ้าความเข้มข้นของเลือดต่าหรือเสียเลือด
หลังจาก 12 ชั่วโมง ให้ระวังอาการชัก
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ
ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
Apnea of prematurity (AOP)
ภาวะหยุดหายใจนานกว่า 20 วินาที ร่วมกับมี cyanosis
สาเหตุ
prematurity
infection
metabolic disorder
Impaired oxygenation
การดูแล
จัดท่านอนที่เหมาะสม
สังเกตอาการพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ดูดเสมหะเมื่อจาเป็น
ระวังการสาลัก
Intraventricular hemorrhage (IVH)
ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
ปัจจัยเสี่ยง
ช่วงก่อนคลอด
การคลอดทางช่องคลอด ภาวะทารกขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์ ภาวะตกเลือดก่อนคลอด
ช่วงหลังคลอด
RDS, prolonged neonatal resuscitation
อาการ
ในรายที่มีเลือดออกปริมาณมากและเร็ว
ทารกจะมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หมดสติชักเกร็ง หยุดหายใจ ซีด และกระหม่อมหน้าโป่งตึง
ถ้าเลือดออกไม่มาก
ทารกอาจไม่มีอาการหรือเพียงแต่ซีดลงเท่านั้น บางรายอาจมีอาการซึม กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นพักๆ
การวินิจฉัย
การตรวจ ultrasound
ความรุนแรง
grade 1
มีเลือดออกที่ germinal matrix
grade 2
มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองปกติ
grade 3
มีเลือดออกในโพรงสมอง และขนาดของโพรงสมองใหญ่ขึ้น
grade4
มีเลือดออกในโพรง สมองร่วมกับเลือดออกในเนื้อสมอง
Retinopathy of Prematurity (ROP)
เป็นความผิดปกติ ในทารกในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้าหนักน้อย
ลักษณะสำคัญ
การงอกผิดปกติของเส้นเลือดบริเวณรอยต่อระหว่างจอประสาทตา
การวินิจฉัย
ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 - 6 สัปดาห์ หรือ เมื่อทารกอายุครรภ์รวมหลังเกิด 32สัปดาห์
ถ้าไม่พบการดาเนินของโรค ตรวจซ้าทุก 4 สัปดาห์
ถ้าพบว่ามีการดาเนินของโรคอยู่ตรวจซ้าทุกอาทิตย์
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้าทุก ๆ 1 – 2 สัปดาห์
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จำเป็น
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ติดตาม O2 saturation
ดูแลให้ทารกมีระดับ O2 saturation อยู่ระหว่าง 88-92 %
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจ screening ROP
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชี้ให้ได้รับการรักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์
Bronchopulmonary Dysplasia
เป็นโรคปอดเรื้อรัง
อาการและอาการแสดง
หายใจเร็วกว่าปกติ
หน้าอกบุ๋ม (intercostal retraction)
O2ในเลือดต่ำกว่าปกติ
CO2ในเลือดคั่ง
ความดันในปอดสูง(pulmonary hypertension) ในรายที่รุนแรง
การวินิจฉัย
ภาพถ่ายรังสีปอด
ระยะที่ 1
ปอดขยายตัวไม่เต็มที่ มีจุดฝ้าขาวเล็กๆทั่วปอด
ระยะที่ 2
มีฝ้าขาวทั่วปอด
ระยะที่ 3
เข้าสู่ระยะเรื้อรัง เห็นก้อนในเนื้อปอด
ระยะที่ 4
ระยะเรื้อรัง มีatelectasis และ hyperaeration กระจายในปอด จะมีความดันในเลือดสูง
การป้องกัน
โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและลดปัจจัยเสี่ยง
การคลอดก่อนกำหนด
การให้ o2 ความเข้มข้นสูงเป็นเวลานาน
การใช้ความดันของเครื่องช่วยหายใจสูงเป็นเวลานาน
ให้สารต้านอนุมูลอิสระ
การรักษา
ตามสาเหตุ
ตามอาการ
เช่น การให้ o2, ให้ยาขยายหลอดลม,รักษาภาวะแทรกซ้อน, ฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
ปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์ ได้รับ IgG จากมารดาขณะอยู่ในครรภ์น้อย
เม็ดเลือดขาวมีน้อย
ผิวหนังเปราะบาง
Sepsis
Early onset Sepsis
ติดเชื้อในระยะก่อน/ ระหว่างการคลอด
Late onset Sepsis
ติดเชื้อที่แสดงอาการ หลังคลอด 72 ชั่วโมงถึง 1 เดือน
สาเหตุ
preterm
ถุงน้าคร่าแตกก่อนกาหนดนานเกิน 18 ชั่วโมง
การคลอดล่าช้า
มารดามีการติดเชื้อ น้ำคร่ำมีกลิ่น
ทารกมีภาวะพร่องออกซิเจนในครรภ์
การตรวจวินิจฉัย
ซักประวัติมารดาขณะตั้งครรภ์ ไข้ ผื่น ต่อม น้าเหลืองโตสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อ
ตรวจร่างกาย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Culture 24-48 hr.
CBC , Plt count
ESR ดูการตกของเม็ดเลือดขาว ทารกยังไม่เกิน 2 mm/hr
CRP,CXR
อาการและอาการแสดง
ซึม ร้องนาน ไม่ดูดนม ซีด ตัวลายเป็นจ้ำ หายใจเร็ว หายใจลาบาก ท้องอืด อาเจียน สั่น ชัก ผิวหนังเย็น
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมตาม sensitivity
การพยาบาล
ประเมินภาวะติดเชื้อในร่างกาย
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ และสังเกตอาการข้างเคียงของยา
ควบคุมอุณหภูมิกายให้อยู่ในระดับปกติ
ดูแลความสะอาดร่างกายและสิ่งแวดล้อม
ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ
แยกทารก
ระบบทางเดินอาหาร
Necrotizing Enterocolitis (NEC)
ภาวะลำไส้เน่าอักเสบ
สาเหตุ
การใช้ยาของมารดาขณะตั้งครรภ์
การคลอดก่อนกำหนด
การเริ่มรับนมและเพิ่มปริมาณนมเร็ว
ภาวะขาดออกซิเจน
ปัจจัยเสี่ยง
มารดาใช้สารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์
ทารกติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
การเติบโตช้าในครรภ์
การคลอดก่อนกำหนดหรือมีปัญหาระหว่างทำคลอด
ทารกเกิดภาวะขาดออกซิเจน
น้าหนักตัวทารกน้อยกว่า 2,000 กรัม
ความพิการของหัวใจแต่กำเนิด
การให้นมผสมที่เข้มข้นสูงผ่านทางเดินอาหาร
การใส่สายสวนหลอดเลือดทางสะดือ
อาการ
เซื่องซึม ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ร้องกวน
อุณหภูมิกายต่ำ
หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้า มีภาวะกรดเกิน โซเดียมต่ำและออกซิเจนต่ำ
อาการเฉพาะ
ท้องอืด ถ่ายอุจาระเหลว อาเจียนเป็นสีน้ำดี
มีเลือดออกในทางเดินอาหาร อาจมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
การวินิจฉัย
การตรวจเอกซเรย์ช่องท้อง เพื่อสังเกตเงาลมแทรกในผนังลาไส้
การตรวจเอกซเรย์ด้านข้าง
การตรวจช่องท้องด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การเพาะตัวอย่างเลือด
การรักษา
การระงับสิ่งกระตุ้นทาให้เกิดการอักเสบ ผ่านการพักการใช้ทางเดินอาหาร
ยาปฏิชีวนะชนิดสเปกตรัมกว้าง
การพยุงระบบไหลเวียน ด้วยการให้สารน้ำ สารอาหารทางหลอดเลือด
ให้ยากลุ่มกระตุ้นความดันโลหิต
การเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
วิธีรักษา
การผ่าตัดแบบเปิดสารวจช่องท้อง
การใส่ท่อระบายช่องท้อง
Hypoglycemia
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
ระดับน้าตาลในเลือดต่ากว่า 40 mg% (term)
ระดับน้าตาลในเลือดต่ากว่า 35 mg% (preterm)
อาการแสดง
ซึม ไม่ดูดนม มีสะดุ้งผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว
หยุดหายใจ ตัวอ่อนปวกเปียก อุณหภูมิกายต่ำ ชักกระตุก
สาเหตุ
การไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จากัด
การสร้างกลูโคส (glucogenesis) ได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การดูแล
ทารกที่มีอาการร่วมกับระดับน้าตาลน้อยกว่า 40 มก./ดล.
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด(10% D/W)
ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก
ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นมมื้อแรก
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล. :
ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าระดับน้าตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล.
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ระดับน้าตาล 25-40 มก/ดล.
ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
อายุ 4-24 ชั่วโมง ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง
ติดตามระดับน้าตาลในเลือดก่อนมื้อนม
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล.
ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล.
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ถ้าระดับน้าตาล 35-45 มก/ดล.
ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
กรณีทารกเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
ตรวจหาระดับน้ำตาล ภายใน 1-2 ชม.หลังคลอด
ติดตามทุก 1-2 ชม.ใน 6-8 ชม.แรกหรือจนระดับน้ำตาลจะปกติ
ให้ 5,10 %D/W ทางปาก
NG tube ใน 1-2 มื้อแรก แล้วให้นม
Meconium aspiration syndrome (MAS)
เป็นภาวะที่ทารกในครรภ์สูดสำลักหรือหายใจเอาขี้เทาที่มีอยู่ในน้ำคร่ำเข้าไปในหลอดลมหรือปอด
ส่งผลให้ทารกมีปัญหาหายใจลำบาก
อาการ
มีแรงหายใจด้วยตนเองได้ดี
มีกาลังกล้ามเนื้อดี
อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
สาเหตุ
ปัจจัยด้านมารดา
อายุครรภ์มากกว่า 42 wks ส่งผลให้รกเสื่อมสภาพ
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
มารดามีภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด
มารดามีภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ
มีภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ
ประวัติใช้สารเสพติด
ปัจจัยด้านทารก
ทารกมีภาวะเครียด
มีการคลายตัวของหูรูดลำไส้ของทารก
ทารกมีการถ่ายขี้เทาปนในน้าคร่ำมารดา
อาการและอาการแสดง
อาการรุนแรงน้อย
ทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง 24-72 ชั่วโมง
อาการรุนแรงปานกลาง
อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง
อาการรุนแรงมาก
ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันที
การวินิจฉัย
อาการแสดง
หายใจลำบาก ทรวงอกโป่ง
ตรวจร่างกาย
น้าคร่ามีตะกอนขี้เทา ร่างกายทารกมีขี้เทาติด ฟังเสียงปอดไม่ได้ยินเสียงอากาศผ่าน
ภาพถ่ายรังสี
alveolar infiltration hyperaeration atelectasis
ABG
มีภาวะเลือดเป็นกรด มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง มีภาวะพร่องออกซิเจน
แนวทางการรักษา
ให้ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
พิจารณาให้ยาตามอาการของทารก เพื่อให้ทารกพักผ่อน ลดการใช้ออกซิเจนในร่างกาย
พิจารณาใช้ยาเพื่อขยายหลอดเลือดในปอด กรณีมีภาวะความดันในปอดสูง
ให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีมีภาวะหายใจล้มเหลว
การพยาบาล
ให้ทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ เฝ้าระวังการติดเชื้อ
ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน
ได้แก่ หายใจเร็ว อกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจมากขึ้น เขียว
วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่าจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
การส่งเสริมสัมพันธภาพ
ขณะมารดาอยู่ในโรงพยาบาล ส่งเสริม กระตุ้นให้มารดามาเยี่ยมทารกหลังคลอดให้เร็วที่สุด
เมื่อบิดามารดาเข้าเยี่ยมทารก ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย การรักษา พยาบาลที่ทารกได้รับ
สอนให้มารดาทราบ ถึงพฤติกรรมหรือสื่อสัญญาณของทารก
กระตุ้นให้บิดามารดาอุ้มกอด หรือสัมผัสทารก ไม่บังคับหรือตาหนิถ้ามารดายังไม่พร้อมที่จะทา
เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถาม ระบายความรู้สึก
ส่งเสริมการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
พัฒนาการพฤติกรรมทางระบบประสาท
การจัดท่า
หลีกเลี่ยงการเหยียดแขนขา
ห่อตัวทารกให้แขนงอ มือสองข้างอยู่ใกล้ๆ ปาก
ใช้ผ้าอ้อมหรือผ้าห่มผืนเล็กม้วนวางรอบๆ กายของทารกเสมือนอยู่ในครรภ์มารดา
การจับต้องทารกเท่าที่จำเป็น
การเคลื่อนย้ายทารก ควรจัดให้อยู่ในท่าแขน ขา งอ และอยู่ในแนวกลางลำตัว
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
ส่งเสริมการดูดของทารก
ก่อนให้การพยาบาลควรประเมินพฤติกรรม หรือสื่อสัญญาณ (Cues) ของทารกที่แสดงออกทุกครั้ง
ส่งเสริมพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสของทารกในขณะให้การรักษา พยาบาล
เช่น พูดคุยด้วยเสียงเบา นุ่มนวล มองสบตา จับต้องด้วยความนุ่มนวล