Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกแรกเกิด ที่มีความเสี่ยงสูง, นันทิกานต์ สินพิทักษ์ เลขที่ 36…
การพยาบาลทารกแรกเกิด
ที่มีความเสี่ยงสูง
ทารกแรกเกิด
หมายถึง ทารกที่อายุอยู่ในช่วง 28 วันแรกของชีวิต
การจำแนกทารกแรกเกิด
ทารกที่มีน้ำหนักน้อย คือทารกที่มีน้ำหนัก
แรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม
ทารกน้ำหนักปกติ คือทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดอยู่ในช่วงระหว่าง 2,500 - 4,000 กรัม
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกคลอดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
ลักษณะ
น้ำหนักตัวน้อย
รูปร่างแขนขามีขนาดเล็ก
ศีรษะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว
เปลือกตาบวมและนูนออกมาและตามักปิดตลอดเวลา
การเจริญของกระดูกหูมีน้อย
ผิวหนังบาง สีแดงและเหี่ยวย่น
มีกล้ามเนื้อและไขมันใต้ผิวหนังน้อย
มีการหายใจไม่สม่ำเสมอกลั้นหายใจเป็นระยะ
การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ (Hypothermia)
หมายถึงภาะที่อุณหภูมิร่างกายต่้ำกว่า 36.5 องศา
อาการ
มือเท้าเย็น ตัวซีด ผิวหนังลายจากเส้นเลือดขยายตัว
ซึม ดูดนมช้า หรือไม่ดูดเลย
อาเจียน ท้องอืด น้ำหนักไม่เพิ่ม หรือน้ำหนักลด
ภาวะอุณหภูมิกายสูง
(Hyperthermia)
หมายถึงภาะที่อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.5 องศา
อาการ
หงุดหงิดเมื่อร้อนขึ้น
การเคลื่อนไหวลดลง
หายใจเร็วและแรงหรือหยุดหายใจ
ผิวหนังอุ่นกว่าปกติ
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
จัดให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม 32-34 องศาเซลเซียส
วัดอุณหภูมิ Body temperature ทารก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
keep warm
ระวัง “Cold stress”
ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
ป้องกันการสูญเสียความร้อนทั้ง 4 ทาง
ตรวจสอบอุณหภูมิของร่างกายทุก 4 ชั่วโมง
และปรับให้เหมาะสมกับสภาพทารก
การควบคุมอุณหภูมิทารกที่อยู่ในตู้อบ
เป้าหมายเพื่อให้อุณหภูมิทารกอยู่ในเกณฑ์ปติ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส
กรณีทารกยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือ
หรือปรับอัตโนมัติ
ปรับอุณหภูมเริ่มที่ 36 องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นทีละ 0.2 องศาเซลเซียส
ติดตามอุณหภูมิทุก 15-30 นาที
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 -37.2 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดกัน
ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE)
แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม.
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Skin Servocontrol mode)
ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36.5 องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 องศาเซลเซียส (max 38.0 องศาเซลเซียส )
ติดตามอุณหภูมิกายทุก 15 - 30 นาที (max 38.0 องศาเซลเซียส)
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 -37.2 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ครั้งติดกัน ให้ปรับ
อุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE) แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาที อีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม.
ระบบการไหลเวียนโลหิต
การเปลี่ยนแปลงของทารก
Fetal circulation เป็น Neonatal circulation
การหายใจของทารกเปลี่ยนจากรกเป็นปอด
ภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน
(Patent Ductus Arteriosus)
อาการ
หายใจเร็ว
หอบเหนื่อย
รับนมได้น้อย
ท้องอืด
น้ำหนกไม่ขึ้น
การรักษา
การรักษาทั่วไป ให้ยารักษาอาการหัวใจวายเมื่อมีอาการ
การรักษาจำเพาะ
โดยใช้ยา เพื่อช่วยยับยั้งการสร้าง prostaglandin
Indomethacin
Ibuprofen
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด
(Hyperbilirubinemia)
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice) เกิดจากมีการสร้าง
บิลิรูบินมากเพราะเม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่าและความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับ
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice) เป็นภาวะที่ทารกมี
บิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติและเหลืองเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด
สาเหตุ
มีการสร้างบิลิรูบินมากกว่าปกติ
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น
จากภาวะต่างๆ เช่น ภาวะลำไส้อุดตัน
มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงจากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซค์บางชนิดแต่กำเนิด
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้นร่วมกับการกำจัดได้น้อยลง ได้แก่ การติดเชื้อ
มีการดูคซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้นจากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ประวัติมีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็คเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่
มารคามีโรดประจำตัวการได้รับยาการติคเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
ประวัติการคลอดของทารก คะแนน Apgar การได้รับบาลเจ็บในระยะคลอด
การตรวจร่างกาย ซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหรือไม่มีจุดเลือดออกบริเวณใดหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ( CBC, Coombs'test, LFT, G6PD)
การรักษา
การส่องไฟ(phototherapy)
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
การพยาบาล
บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลง
ของสัญญาณชีพทุก 1-4 ชม
ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ ห่างจากหลอดไฟ 35-50 ชม.
ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำและเปลี่ยนท่นอนทุก 2-4
ระหว่างให้นมควรเปีดผ้าปิดตาเพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา เป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกัน
ควรเปิดตาทุก 4 ชม.และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม.
เช็ดทำความสะอาดตาและตรวจตาของทารกทุกวัน
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches)
เพื่อป้องกันการกระคายเคืองของแสงต่อตา
สังเกตลักษณะอุจจาระ
ระหว่างการส่องไฟทารกอาจถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้นอาจจะมี
อาการถ่ายเหลวสีเขียวปนเหลืองจากบิลิรูบินและน้ำดี
บันทึกลักษณะและจำนวนอุจจาระอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำ
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับ
บิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม
สังเกตกาวะแทรกซ้อนจากการ ได้รับการ
ส่องไฟรักษา ได้แก่ ภาวะขาดน้ำ ถ่ายเหลว
การพยาบาล Exchange transfusion
อธิบายให้บิดามารดาทราบ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
ในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า-ออก
ตรวจวัดสัญญาณชีพ
สังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย แคลเซียมในเลือดต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเย็น
ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัคสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที่
ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
RDS (Respiratory Distress Syndrome)
คือภาวะกลุ่มอาการหายใจลำบาก
พบได้บ่อยที่ทารกคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่า 34-36 สัปดาห์ น้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค
มารดามีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
ทารกมีภาวะ hypothermia, Perinatal asphyxia
มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ครรภ์ก่อนบุตรมีภาวะ RDS
สาเหตุ
เกิดจากการขาดสารลดแรงตึงผิวที่ผิวของถุงลม
โครงสร้างของปอดมีพัฒนาการไม่เต็มที่
สาร surfactant ทำหน้าที่ให้ถุงลมคงรูปไม่แฟบขณะหายใจออก
สร้างจาก aveolar call type II ที่ผนังถุงลมเมื่ออายุครรภ์ประมาณ
22-24wks และสร้างมากขึ้นจนเพียงพอหลัง 35 Wkร
อาการและอาการแสดงอาการ
ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบทางเดินหายใจ
หายใจเร็ว (tachypnea ) มากกว่า 60 ครั้ง / นาทีหรือหายใจลำบาก (dyspnea)
หายใจ หน้าอกและหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน
เสียงหายใจผิดปกติมีการกลั้นหายใจขณะ
หายใจออก (expiratory grunting)
ซีด
BP ต่ำ
ระบบทรวงอก
หน้าอกปุ่ม (retraction) บริเวณ Intercostal, Subcostal และ Substernal retraction
ระบบทางเดินอาหาร
ดูคนมไม่ดี อาเจียน ท้องอืด
ระบบประสาท
ซึม กระสับกระส่าย reflex ลดลง กระหม่อมโปร่งตึง
ระบบผิวหนัง
ตัวลาย ผิวหนังเย็น ตัวเหลือง มีจุดเลือดออก
เมตาบอลิซึม
Hypoglycemia ภาวะ acidosis
การรักษา
การให้ออกซิเจนตามความต้องการของทารก
เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน โดยการปรับลดความเข้มข้น
และอัตราไหลของออกซิเจน ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน เช่น ภาวะปอดอุด
กั้นเรื้อรัง (BPD) ภาวะจอประสาทตาพิการจากการเกิดก่อนกำหนด (ROP)
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ลดความรุนแรงของภาวะหายใจลำบาก
Perinatal asphyxia
เป็นภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิด
ประกอบด้วย
เลือดขาดออกซิเจน (hypoxemia)
คาร์บอนใดออกไซด์ในเลือดสูง (hypercapnia)
เลือดเป็นกรด
สาเหตุ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคลอด
ศีรษะทารกไม่ได้สัดส่วนกับเชิงกรานมารดา
คลอดติดไหล่
ความผิดปกติของสายสะดือ
ครรภ์แฝด
ทารกท่าผิดปกติ
การคลอดโดยใช้หัตถการการคลอดที่ทำยากลำบาก
ปัจจัยทางด้านมารดา
ตกเลือด
อายุมาก
เบาหวาน
รกเกาะต่ำ
รกลอกตัวก่อน
ปัจจัยเกี่ยวกับทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ภาวะติดเชื้อในครรภ์
ความพิการโดยกำเนิด
ผลของการขาดออกซิเจนแรกคลอด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
การขาดออกซิเจนและการลดลงของไกลโคเจนของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานมีประสิทธิภาพลดลง
การขาดออกซิจนมากของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย
การมีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อหัวใจลคลง
ทำให้ลิ้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจถูกทำลาย
ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท
ระบบหายใจ
ศูนย์หายใจถูกกดทำให้หายใจช้า หรือหยุดหายใจ
เนื้อเยื่อปอดขาดออกซิเจนมาก ๆ ทำให้เซลล์ถุงลมไม่สามารถสร้างสารลดแรงตึงผิวได้
การรั่วของซีรั่มจากหลอดเลือดปอด
ระบบประสาทกลาง
ทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับการรู้สติ
หายใจไม่สม่ำเสมอ หยุดหายใจ รีเฟล็กซ์ลด
ลือดออกในสมองจากหลอดเลือดของสมองเสียความคงทน แตกได้ง่าย
ภาวะชักจากคอร์เท็กซ์ของสมองถูกทำลาย
ภาระสมองบวมจากการคั่งของสารน้ำ
ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ของสมอง
ระบบการขับถ่าย
เนื้อไตเกิดเนื้อตายเฉียบพลัน ปัสสาวะลดลง
ระบบทางเดินอาหาร
เลือดไปเลี้ยงระบบทางเดินอาหารลดลง
ทำให้เกิดภาวะลำไส้เน่า
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ บิลิรูบินในเลือดสูง
การรักษา
การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
ให้ความอบอุ่นและควบคุมทารกให้อุณหภูมิปกติ
ให้ออกซิเจนที่เหมาะสม
งดอาหารทางปากชั่วคราว ให้สารน้ำ
และอาหารทางหลอดเลือด
หลังจาก 12 ชั่วโมง ให้ระวังอาการชัก
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ
ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
Apnea of prematurity
(AOP)
คือภาวะหยุดหายใจนานกว่า 20 วินาที
ร่วมกับมี cyanosis
central apnea
ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลมและไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูกโดยมีสาเหตุมาจากศูนย์การหายใจที่บริเวณก้านสมองทำงานได้ไม่ดี
obstruction apnea
ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม แต่ไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก เกิดจากการงอหรือการเหยียดลำคอเกิน ทำให้ช่องภายในหลอดคอ ไม่เปิดกว้าง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
สาเหตุ
prematurity
infection
metabolic disorder
Impaired oxygenation
CNS problem
drug
Gastroesophageal reflux
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
จัดท่านอนที่เหมาะสม
สังเกตอาการพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ดูดเสมหะเมื่อจำเป็น
ระวังการสำลัก
ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
ระวังการสำลัก
ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
Intraventricular hemorrhage
(IVH)
คือภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
ปัจจัยเสี่ยง
ช่วงก่อนคลอด
การคลอดทางช่องคลอด
ภาวะทารกขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์
ภาวะตกเลือดก่อนคลอด
ช่วงหลังคลอด
RDS, prolonged neonatal resuscitation,
acidosis, pneumothorax, NEC และภาวะชัก
อาการ
ในรายที่มีเลือดออกปริมาณมากและเร็ว ทารกจะมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หมดสติชักเกร็ง
หยุดหายใจ ซีด และกระหม่อมหน้าโป่งตึง
ถ้าเลือดออกไม่มาก ทารกอาจไม่มีอาการหรือเพียงแต่ซีดลงเท่านั้น บางรายอาจมีอาการ
ซึม กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นพักๆ
การวินิจฉัยด้วยการตรวจ
ultrasound เป็นวิธีที่ดีและสะดวกที่สุด
ความรุนแรงของ
grade 1: มีเลือดออกที่ germinal matrix
grade 2: มีเลือดออกในโพรงสมอง
และขนาดของโพรงสมองปกติ
grade 3: มีเลือดออกในโพรงสมอง
และขนาดของโพรงสมองใหญ่ขึ้น
grade4: มีเลือดออกในโพรงสมองร่วมกับ
เลือดออกในเนื้อสมอง
Retinopathy of Prematurity
(ROP)
เป็นความผิดปกติ ในทารกในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อย
มีลักษณะสำคัญ คือ การงอกผิดปกติของเส้นเลือด (neovascularization)
บริเวณรอยต่อระหว่างจอประสาทตาที่มีเลือดไปเลี้ยงและจอประสาทตาที่ขาดเลือด
การวินิจฉัย
ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 - 6 สัปดาห์
ถ้าไม่พบการดำเนินของโรค ตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
ถ้าพบว่ามีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้ำทุก ๆ 1 - 2 สัปดาห์
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จำเป็น
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ติดตาม 02 saturation
ดูแลให้ทารกมีระดับ 02 saturation อยู่ระหว่าง 88-92 %
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจ Screening ROP
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชี้
ให้ได้รับการรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์
Bronchopulmonary Dysplasia
เป็นโรคปอดเรื้อรัง
เกิดจาก
มีการทำลายของทางเดินหายใจขนาดเล็ก
พบในทารกคลอดก่อนกำหนดที่เป็น RDS
อาการและอาการแสดง
หายใจเร็วกว่าปกติ
หน้าอกปุ่ม (intercostal retraction)
02ในเลือดต่ำกว่าปกติ
CO2ในเลือดคั่ง
ความดันในปอดสูง(pulmonary hypertension)
การวินิจฉัย
ประวัติ
อาการและอาการแสดง
ภาพถ่ายรังสีปอด
ระยะที่ 1: ปอดขยายตัวไม่เต็มที่ มีจุดฝ้าขาวเล็กๆทั่วปอด (ground glass appearance)
ระยะที่ 2 : มีฝ้าขาวทั่วปอด
ระยะที่ 3 : เข้าสู่ระยะเรื้อรัง เห็นก้อนในเนื้อปอด จากมี hyperaeration สลับกับ fibrosis
ระยะที่ 4 : ระยะเรื้อรัง มีatelectasis
และ hyperaeration กระจายในปอด
การรักษา
ตามสาเหตุ
ตามอาการ เช่น การให้ 02, ให้ยาขยายหลอดลม,รักษาภาวะแทรกซ้อน,ฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
ระบบภูมิคุ้มกัน
ทารกคลอดก่อนกำหนด
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์ ได้รับ IgG
จากมารดาขณะอยู่ในครรภ์น้อย
เม็ดเลือดขาวมีน้อย จึงทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรค (phagocytosis) ไม่สมบูรณ์
ผิวหนังเปราะบาง epidermis และ dermis
ยึดกันอย่างหลวมๆจึงถูกทำลายได้ง่าย
Sepsis
Early onset Sepsis
ติดเชื้อในระยะก่อน/ ระหว่างการคลอด แสดงอาการ
ภายใน 2-3 วัน แรกหลังคลอดภายใน 72 ชั่วโมงแรก
Late onset Sepsis
ติดเชื้อที่แสดงอาการ หลังคลอด 72 ชั่วโมงถึง 1 เดือน
สาเหตุ
preterm
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดนานเกิน 18 ชั่วโมง
การคลอดล่าช้า
มารดามีการติดเชื้อ น้ำครำมีกลิ่น
เชื้อ Group B streptococci แกรมลบ E.coli Klebsiela
ทารกมีภาวะพร่องออกซิเจนในครรภ์
การตรวจวินิจฉัย
ซักประวัติมารดาขณะตั้งครรภ์ ไข้ ผื่น ต่อมน้ำเหลืองโตสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อ
ตรวจร่างกาย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Culture 24-48 hr.( blood, UA, CSF, Sputum)
CBC, Plt count
ESR ดูการตกของเม็ดเลือดขาว ทารกยังไม่เกิน 2 mm/hr
CRP
CXR
อาการและอาการแสดง
ในทารกไม่จำเพาะเจาะจง
อาจตรวจพบความผิดปกติในระบบต่างๆ
ร้องนาน
ไม่ดูดนม
ตัวลายเป็นจ้ำ
หายใจเร็ว หายใจลำบาก
ผิวหนังเย็น
ท้องอืด อาเจียน
สั่น ชัก
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมตาม sensitivity
ส่วนมากให้ Ampicillin IV กับ Gentamycin IV
ถ้าไม่ได้ผลนิยมเปลี่ยนเป็น กลุ่ม Cephalosporins IV
การพยาบาล
ประเมินภาวะติดเชื้อในร่างกาย
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ และสังเกตอาการข้างเคียงของยา
ควบคุมอุณหภูมิกายให้อยู่ในระดับปกติ
ดูแลความสะอาดร่างกายและสิ่งแวดล้อม
ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ
แยกทารก
ระบบทางเดินอาหาร
ระบบทางเดินอาหาร
Necrotizing Enterocolitis
(NEC)
คือภาวะลำไส้เน่าอักเสบ เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อของระบบทางเดินอาหารตายจากการอักเสบจนขาดเลือด
สาเหตุ
การใช้ยาของมารดาขณะตั้งครรภ์
การคลอดก่อนกำหนด
การเริ่มรับนมและเพิ่มปริมาณนมเร็ว
ภาวะขาดออกซิเจน
พยาธิสภาพ
ไส้เกิดการอักเสบนำไปสู่การทำลายเยื่อบุผิวลำไส้ รวมถึงเชื้อแบคทีเรียลุกลามเข้าไปสู่ผนังลำไส้ทำให้เนื้อเยื่อในลำไส้ตาย
เกิดก๊าซแทรกตัวเข้าไปตามชั้นของผนังลำไส้ หรืออาจลึกเข้าไป
อาการ
เซื่องซึม (lethargy) ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ร้องกวน
อุณหภูมิกายต่ำ หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้า
มีภาวะกรดเกิน โซเดียมต่ำและออกซิเจนต่ำ
อาการเฉพาะ
ถ่ายอุจาระเหลว
อาเจียนเป็นสีน้ำดี
มีเลือดออกในทางเดินอาหาร
มีอาหารเหลือค้างในกระเพาะอาหาร
อาจมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
การวินิจฉัย
การตรวจเอกซเรย์ช่องท้อง เพื่อสังเกตเงาลมแทรกในผนังลำไส้
การตรวจเอกซเรย์ด้านข้าง
การตรวจช่องท้องด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การเพาะตัวอย่างเลือด
การรักษา
การระงับสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ ผ่านการพักการใช้ทางเดินอาหาร (NPO)
ยาปฏิชีวนะชนิดสเปกตรัมกว้าง การระงับการติดเชื้อตามระบบต่างๆ ของร่างกาย
การพยุงระบบไหลเวียน ด้วยการให้สารน้ำ สารอาหารทางหลอดเลือด
ให้ยากลุ่มกระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
การเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย ได้แก่ สัญญาณชีพ ปริมาณปัสสาวะ
การแข็งตัวของเลือด การ เปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพในทางเดินอาหาร
Hypoglycemia
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 40 mg% (term)
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 35 mg% (preterm)
อาการแสดง
ซึม ไม่ดูดนม มีสะดุ้งผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว
หยุดหายใจ ตัวอ่อนปวกเปียกอุณหภูมิกายต่ำ ชักกระตุก
สาเหตุ
การไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จำนวนน้อย
การสร้างกลูโคส (glucogenesis) ได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
เช่น อุณหภูมิกายต่ำทำให้มีการใช้น้ำตาลมาก
การดูแล
ทารกที่มีอาการร่วมกับระดับน้ำตาลน้อยกว่า 40 มก./ดล.
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือค(10% D/W)
ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก
ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นมมื้อแรก
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล.
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ระดับน้ำตาล 25-40 มก./ดล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
อายุ 4-24 ชั่วโมง ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง
ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/คล
ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ถ้าระดับน้ำตาล 35-45 มก/ดล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
กรณีที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำ ตรวจติดตามทุก 30 นาที
ในรายไม่แสดงอาการ ให้กินนมหรือสารละลายกลูโคส
ถ้ากินไม่ได้ให้สารละลายกลูโคส ทางหลอดเลือดดำ
ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารกสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
Meconium aspiration syndrome
(MAS)
เป็นภาวะที่ทารกในครรภ์สูดสำลักหรือหายใจเอาขี้เทาที่มีอยู่ในน้ำคร่ำเข้าไปในหลอดลมหรือปอด
ส่งผลให้ทารกมีปัญหาหายใจลำบาก
พบบ่อยในทารกเกิดครบกำหนดและทารกเกิดเกินกำหนดที่มีภาวะขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์
สาเหตุ
ปัจจัยด้านทารก
เมื่อทารกในครรภ์มีภาวะขาดออกซิเจน
ร่างกายของทารกจะมีการปรับตัว
เพื่อหาแหล่งของออกซิเจนมาใช้
แต่เมื่อรับออกซิเจนจากสายสะดือไม่ได้
ทารกจะเกิดภาวะเครียด ทารกมีภาวะเครียด
มีการคลายตัวของหูรูดลำไส้ของทารก
ทารกมีการถ่ายขี้เทาปนในน้ำคร่ำมารดา
ปัจจัยด้านมารดา
อายุครรภ์มากกว่า 42 wks ส่งผลให้รกเสื่อมสภาพ
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ผ่านรกมายังทารกน้อยลง
มารดามีภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด
. มารดามีภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ ทารกเคลื่อนไหวไม่สะดวก เกิดสายสะดือถูกกด
มีภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ น้ำคร่ำรั่วนานกว่า 18 ชม.
ประวัติใช้สารเสพติด ส่งผลให้มีการหดรัดตัวของมดลูก
อาการและอาการแสดง
อาการรุนแรงน้อย ทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง 24-72 ชั่วโมง ทำให้แรงดันลดลง และมีค่าความเป็นกรด-ด่างปกติ อาการมักหายไปใน 24-72 ชั่วโมง
อาการรุนแรงปานกลาง อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น
มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง และมีความรุนแรงสูงสุดเมื่ออายุ 24 ชั่วโมง
อาการรุนแรงมาก ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันที
หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังเกิด
Meconium aspiration syndrome (MAS)
การวินิจฉัย
อาการแสดง: หายใจลำบาก ทรวงอกโป่ง
(จากการมีลมคั่ง ไม่สามารถระบายออกได้)
ตรวจร่างกาย: น้ำคร่ำมีตะกอนขี้เทา ร่างกายทารกมีขี้เทาติด ฟัง 94 / 102 เสียงอากาศผ่าน
ภาพถ่ายรังสี: alveolar infiltration hyperaeration atelectasis
ABG: มีภาวะเลือดเป็นกรด
มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง มีภาวะพร่องออกซิเจน
แนวทางการรักษา
ให้ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
พิจารณาให้ยาตามอาการของทารก เพื่อให้ทารกพักผ่อน ลดการใช้ออกซิเจนในร่างกาย(กลุ่ม opioids, กลุ่ม muscle relaxants )
พิจารณาใช้ยาเพื่อขยายหลอดเลือดในปอด กรณีมีภาวะความดันในปอดสูง
ให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีมีภาวะหายใจล้มเหลว เพื่อลดการอักเสบเนื้อเยื่อปอด
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ
(ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดและภาวะความดันในปอดสูง)
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน ได้แก่
หายใจเร็ว อกปุ่ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจมากขึ้น เขียว
วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชื้อ
นันทิกานต์ สินพิทักษ์
เลขที่ 36 (62111301038)