Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงสูง, image, image, image, image, image,…
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงสูง
การจำแนกประเภททารกแรกเกิด
ครบกำหนด
อายุครรภ์มากกว่า37สัปดาห์ถึง41สัปดาห์เต็ม
เกิดกำหนด
อายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
คลอดก่อนกำหนด
อายุครรภ์ 37 สัปดาห์เต็มหรือต่ำกว่า
ทารกคลอดก่อนกำหนด
สาเหตุ
มารดา
มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน
มีประวัติคลอดก่อนกำหนด
อายุน้อยกว่า18ปีหรือมากกว่า35ปี
ทารก
โครโมโซมผิดปกติ
ติดเชื้อ
ลักษณะ
ศีรษะใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว กะโหลกนุ่มรอยต่อและขม่อมกว้าง
เปลือกตาบวมนูน และตามักปิดตลอดเวลา
น้ำหนักน้อย รูปร่างแขนขาเล็ก
พบขนอ่อนบริเวณใบหน้า หลังและแขน ส่วนผมมีน้อย
ลายที่ฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ เล็บมอเล็บเท้าอ่อนนิ่มและสั้น
ท้องป่องกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง
หัวนมมีขนาดเล็กหรือมองไม่เห็นหัวนม
เสียงร้องเบาและร้องน้อยกว่าทารกครบกำหนด reflexน้อยหรือไม่มี
ปัญหาที่พบในทารกคลอดก่อนกำหนด
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
การสูญเสียความร้อนในทารก
convection
radiation
conduction
evaporation
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
ทารกก่อนกำหนด วัดนาน3นาที ลึก2.5ซม.
ทารกครบกำหนด วัดนาน3นาทีลึก3ซม.
ทางรักแร้
ทารกก่อนกำหนด วัดนาน5นาที
ทารกครบกำหนด วัดนาน8นาที
Hypothermia
คือ อุณหภูมิกายต่ำกว่า36.5องศาเซลเซียส แต่อาจผิดปกติตั้งแต่ต่ำกว่า 36.8องศาเซลเซียส
อาการแรกเริ่ม มือเท้าเย็น ตัวซีด ผิวหนังลาย ดูดนมช้า ดูดน้อยลงหรือไม่ดูด อาเจียน ท้องอืด น้ำหนักไม่ขึ้นหรือน้ำหนักลดลง
Hyperthermia
คือ อุณหภูมิสูงกว่า 37.5องศาเซลเซียส อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือในที่ร้อนเกินไป
อาการแรกเริ่ม หงุดหงิดเมื่อร้อน เคลื่อนไหวลดลง หายใจเร็วแรงหรือหยุดหายใจ ผิวหนังอุ่นกว่าปกติ
การดูแล
วัดอุณหภูมิทารก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
keep warm หรือ ห่อผ้าห่มตัว
จัดให้อยู่ในที่อุณหภูมิเหมาะสม 32-34องศาเซลเซียส
ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายทารก 4ทาง
เช็คอุณหภูมิร่างกายทุก 4ชั่วโมง และปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
ทารกในตู้อบ
ปรับอุณหภูมิด้วยมือ
ปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2องศาเซลเซียส
ติดตามอุณหภูมิทุก15-30นาที
ปรับอุณหภูมิเริ่มที่ 36องศาเซลเซียส
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 -37.2 องศาเซลเซียส 2 ครั้งติดกันให้ปรับตู้อบตามNTEแล้วตามต่อทุก15-30นาทีอีก2ครั้งและต่อไปทุก4ชม.
ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ
ปรับเพิ่มครั้งละ0.1องศาเซลเซียส
ติดตามทุก15-30นาที
ปรับอุณหภูมิเริ่มที่ 36.5องศาเซลเซียส
ถ้าวัดอุณหภูมิได้36.8-37.2องศาเซลเซียสติดกัน2ครั้งให้ปรับตามNTEแล้วติดตามต่อทุก15-30นาทีอีก2ครั้ง
และต่อไปทุก4ชม.
ติดSkin probe บริเวณหน้าท้องเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
ระบบการไหลเวียนโลหิต
Patent Ductus Arteriosus
อาการและอาการแสดง
ท้องอืด
หอบเหนื่อย
น้ำหนักไม่ขึ้น
หายใจเร็ว
รับนมได้น้อย
การรักษา
รักษาทั่วไปให้ยาควบคุมอาการถ้ามีภาวะหัวใจวาย
รักษาจำเพาะ
ใช้ยาช่วยยับยั้งการสร้างprostaglandin
Indomethacin 0.1-0.2มก./กก.ทุก8ชม.
ข้อห้าม
Plt. < 60,000 /mm3
urine < 0.5 cc/Kg/hr. นานกวา่ 8 hr.
BUN > 30 mg/dl , Cr > 1.8 mg/dl
มีภาวะ NEC
Ibuprofen
ข้อห้าม
BUN > 20 mg/dl , Cr > 1.6 mg/dl
การผ่าตัดPDA ligation
Hyperbilirubinemia
แบ่งได้2ชนิด
Physiological jaundice
มีการสร้างบิลลิรูบินมากพบในช่วง2-4วันหลังคลอด และหายไปเองใน1-2สัปดาห์
Pathological jaundice
มีบินลิรูยินในเลือดสูงมากผิดปกติและเหลืองภายใน24ชม.แรกหลังคลอด
สาเหตุ
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มมากกว่าปกติ จากการทำลายเม็ดเลือดแดง
มีการดูดซึมของบิลลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น
การขาดเอนไซม์บางชนิดแต่กำเนิด
อาการ
ระยะแรก
ซึม ดูดนมน้อยลง ตัวอ่อนปวกเปียก ชัก มีไข้
ระยะยาว
พัฒนาการช้า เคลื่อนไหวผิดปกติ การได้ยินผิดปกติ
การรักษา
การส่องไฟ phototherapy
การเปลี่ยนถ่ายเลือด exchange transfusion
ระบบหายใจ
RDS (Respiratory Distress Syndrome)
คือภาวะการหายใจลำบาก
พบบ่อยในทารกคลอดก่อนกำหนดที่GA<34-36 wks น้ำหนักตัว < 1,500 gm.
อายุครรภ์ต่ำกว่า 28wks น้ำหนัก<1,000 gm.
ปัจจัยเสี่ยง
ทารกมีภาวะhypothermia, Perinatal asphyxia
มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
มารดามีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
ครรภ์ก่อนมีภาวะRDS
สาเหตุ
โครงสร้างปอดพัฒนาไม่เต็มที่
เกิดการขาดสารลดแรงตึงผิวที่ผิวของถุงลม
อาการ/อาการแสดง
ระบบทรวงอก
หน้าอกปุ่ม บริเวณIntercostal/SubcostalและSubsternal retraction
ระบบทางเดินอาหาร
ดูดนมไม่ดี อาเจียน ท้องอืด
ระบบไหลเวียนโลหิตและทางเดินหายใจ
หายใจเร็วมากว่า60ครั้ง/นาทีหรือหายใจลำบาก
หายใจแล้วหน้าอกหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน
BPต่ำ ซีด เสียงหายใจผิดปกติ
ระบบประสาท
ซึม กระสับกระส่าย Reflex ลดลง กระหม่อมโปร่งตึง
ระบบผิวหนัง
ตัวลาย ผิวหนังเย็น ตัวเหลือง มีจุดเลือดออก
การรักษา
ให้ออกซิเจนตามความต้องการของทารก เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ออกซิเจนโดยปรับลดความเข้มข้นและอัตราการไหลของออกซิเจน
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ลดความรุนแรงของภาวะหายใจลำบาก
Perinatal asphyxia
คือภาวะขาดออกซิเจนของทารก
ประกอบด้วย
hypercapnia
ventilation
hypoxemia
pulmonary perfusion
สาเหตุ
ปัจจัยด้านมารดา
ตกเลือด อายุมาก เบาหวาน รกเกะต่ำ
ปัจจัยทารก
คลอดก่อนกำหนด เติบโตช้าในครรภ์ ติดเชื้อในครรภ์
ปัจจัยการคลอด
ศีรษะทารกไม่ได้สัดส่วนกับเชิงกรานมารดา คลอดติดไหล่
ผลของการขาดออกซิเจนแรกคลอด
ภาวะชักจากคอร์เท็กซ์ของสมองถูกทำลาย
เนื้อไตตายเฉียบพลัน ปัสสาวะลดลงหรือไม่ปัสสาวะใน48ชม.หลังคลอด
ศูนย์หายใจถูกกดทำให้หายใจช้า หรือหยุดหายใจ
เลือดไปเลี้ยงระบบทางเดินอาหารลดลง ทำให้เกิดภาวะลำไส้เน่า
ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย มีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อหัวใจลดลง
การรักษาแบบประคับประคองและรักษาตามอาการสำคัญ
สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
ให้ความอบอุ่นและควบคุมอุณหภูมิทารกให้ปกติ
ให้ออกซิเจนที่เหมาะสม
งดอาหารทางปากชั่วคราว ให้สารน้ำทางปากและหลอดเลือด
หลังจาก12ชม.ให้ระวังอาการชัก
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ
ระบบทางเดินอาหาร
Necrotizing Enterocolitis (NEC)
คือภาวะลำไส้เน่าอักเสบ
สาเหตุ การใช้ยาของมารดาขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด ภาวะขาดออกซิเจน
ปัจจัยเสี่ยง
น้ำหนักตัวน้อยกว่า2000กรัม
ทารกเกิดภาวะขาดออกซิเจน
ทารกเติบโตช้า ติดเชื้อแบคทีเรียนในกระแสเลือด
ทารกเกิดภาวะเลือดข้น
มารดาใช้สารเสพติดขณะตั้งครรภ์
การใส่สายสวนหลอดเลือดทางสะดือ
อาการ
เซื่องซึม ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ร้องกวน หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้า โซเดียมและออกซิเจนต่ำ
อาการเฉพาะ
ถ่ายเหลว
อาเจียนเป็นสีน้ำดี
ท้องอืด
มีเลือดออกในทางเดินอาหาร มีอาหารค้างในกระเพาะอาหาร
การรักษา
NPO
ให้ยาปฏิชีวนะ ระงับการติดเชื้อตามระบบต่างๆ
ให้สารน้ำสารอาหารทางหลอดเลือดดำ
ให้ยากลุ่มกระตุ้นความดันโลหิตVasopressor
การผ่าตัด
ผ่าตัดเปิดสำรวจช่องท้อง
ใส่ท่อระบายช่องท้อง
ระบบประสาท
เพื่อให้ทารกมีพฤติกรรมทางระบบประสาทที่เหมาะสม
ส่งเสริมพัฒนาการโดยการดูแล
การจับต้องทารกเท่าที่จำเป็น
จัดกิจกรรมให้อยู่ในเวลาเดียวกัน สัมผัสทารกก่อนการจับต้อง
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วย
จัดให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
การจัดท่า
พยายามให้ทารกอยู่ในท่าแขน ขางอหากลางลำตัวลำคอตรงไม่ก้มหรือเงยมากไป
ใช้ผ้าอ้อมหรือผ้าห่มวางรอบๆทารกเสมือนอยู่ในครรภ์มารดา
ส่งเสริมการดูดของทารก
ใช้หัวนมหลอกในกรณีที่ทารกไม่เหมาะที่จะดูดนม
ส่งเสริมให้ดูดนมเองหากทารกมีอาการที่เหมาะสม
ส่งเสริมพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสทารกในขณะรักษา เช่นพูดคุยด้วยเสียงเบา นุ่มนวล มองสบตา