Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสรีรวิทยาของมารดาในระยะหลังคลอด, นางสาวสศิมา…
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสรีรวิทยาของมารดาในระยะหลังคลอด
ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
มดลูก
(Uterus)
การย่อยสลายตัวเอง
(Autolysis or self digestion)
Estrogen และ Progesterone ลดลง มีผลทำให้ Collagenase ในตัวมดลูก เพิ่มการทำงานมากข้ึน เพิ่มการหลั่งน้ำย่อย Proteolyticenzyme ซึ่งทำให้เกิดการแตกตัวของใยกล้ามเนื้อและมีการเคลื่อนย้ายของ Macrophage เข้าไปในเยื่อบุของกล้ามเนื้อมดลูกเพื่อท้ลายสิ่งแปลกปลอมโปรตีนในผนังมดลูกจะแตกและถูกดูดซึมเข้าไปในกระสลือดแล้วขับออกทางไตจึงทำให้มีไนโตรเจนในปัสสาวะเพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายวันภายหลังคลอด
การขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงกล้ามเน้ือมดลูก
( Ischemia or localized anemia )
กล้ามเนื้อมดลูกถูกบีบจำนวนเลือดมาเลี้ยงมดลูกลดลงทำให้เกิดการเหี่ยวฝอของเยื่อบุภายในโพรงมดลูกและเกิดการยุบสลายถูกขับออกมาทางน้ำคาวปลาการกลับคืนสู่สภาพเดิมมดลูกจะมีลดระดับลง
ภายหลังคลอดทันทีจะอยู่ระหว่างสะดือกับหัวเหน่า
มีนำ้หนักประมาณ1,000 กรัม
1 ชั่วโมงต่อมามดลูกจะลอยตัวสูงขึ้นมาอยู่ระดับสะดือเนื่องจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกส่วนบนและส่วนล่างไม่เท่ากัน
2 วันหลังคลอดมดลูกจะหดรัดตัวและลดขนาดลงวันละ 12 - 1 นิ้วหรือประมาณ 1 fingerbreadth (FB)
7 วันหลังคลอดระดับมดลูกจะอยู่กึ่งกลางระหว่างหัวเหน่ากับสะดือ
หรือประมาณ 3 นิ้วฟุตเหนือหัวเหน่าหนักประมาณ 500 กรัม
2 สัปดาห์หลังคลอดระดับมดลูกจะอยู่ที่ระดับหัวเหน่า
หรือคลำไม่พบทางหน้าท้องมีน้ำหนักประมาณ 300
มดลูกไม่เข้าอู่ (Subinvolution of uterus)
มีการตั้งครรภ์แฝดหรือตั้งครรภ์แฝดน้ำซึ่ง
ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกมีการยืดขยายมาก
มีภาวะอ่อนเพลียจากระยะคลอด
ยาวนานหรือจากการคลอดยาก
เคยตั้งครรภ์มากกว่า 6 ครั้งขึ้นไป
การมีเศษรกค้างอยู่ในโพรงมดลูกซึ่ง
จะขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก
อาการปวดมดลูก (Afterpain)
สาเหตุจากการหดรัดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อมดลูก
มีการยืดขยายของมดลูกมาก เช่น ครรภ์แฝด เด็กตัวโต
มารดาให้บุตรดูดนม การดูดนมจะกระตุ้น Posteriorpituitarygland
หลั่ง Oxytocin ไปกระตุ้นมดลูกให้หดรัดตัว ระยะเวลาปวดมดลูก
ปกติจะไม่เกิน 72 ชั่วโมง
น้ำคาวปลา (Lochia)
Lochia rubra
2 - 3 วันแรกหลังคลอดสิ่งที่ขับออกมามีลักษณะสีแดงคล้ำและข้นประกอบด้วยเลือดเป็นส่วนใหญ่น้ำคร่ำเศษเยื่อหุ้มเด็ก
เยื่อบุมดลูกไขและขนของเด็กขี้เทาลักษณะเลือดไม่เป็นก้อน
Lochia serosa
4 - 9 ลักษณะน้ำคาวปลาสีจะจางลงเป็นสีชมพู
สีน้ำตาลหรือค่อนข้างเหลืองมีมูกปนทำให้
ลักษณะที่ออกมาเป็นเลือดจางๆ
Lochia alba
วันที่ 10 หลังคลอดน้ำคาวปลาจะค่อยๆน้อยลงเป็น
สีเหลืองจางๆหรือสีขาวประกอบด้วยเม็ดเลือดขาว
เยื่อบุโพรงมดลูกที่สลายตัวแล้วมูกจากปากมดลูก
หรือน้ำเมือกและจุลินทรีย์เล็กๆ
การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
ระยะหลังคลอดบริเวณจากปากช่องคลอดจนกระทั่งถึงมดลูกส่วนล่าง (Lower uterinesegment) ยังคงบวม
18 ชั่วโมงหลังคลอดปากมดลูกจะสั้นลงแข็งขึ้นและ
กลับคืนสู่รูปเดิมประมาณ 2 - 3 วันหลังคลอดปาก
มดลูกยังคงยึดขยายได้ง่ายอาจสอดนิ้วเข้าไปได้ 2 นิ้ว
ช่องคลอด
หลังคลอดขอบเยื่อพรหมจารีย์ (Hymenal ring)
จะขาดกระรุ่งกระริ่งเรียกว่าคารันคูเลไมร์ติฟอร์มส์
(Carunculae mytiforms)
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกซึ่งถูกยืดขยายจะเล็กลงและหย่อน
การขมิบช่องคลอด (Kegel exercise) มีความสำคัญที่
จะช่วยให้กล้ามเนื้อพื้นเชิงกรานมีความตึงตัวดีขึ้น
ประมาณ 4 - 6 สัปดาห์ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
จะค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิม
ฝีเย็บ (Perineum)
ในระยะคลอดศีรษะทารกจะกดดันและยืดฝีเย็บดังนั้นมารดาหลังคลอดจะมีอาการปวดบริเวณฝีเย็บฝีเย็บจะมี ลักษณะบวมและอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนังจากการท่ีหลอดเลือดฝอยฉีกขาด
Labia minora และ labia majera เหี่ยวและอ่อนนุ่มมากขึ้นหากมารดาหลังคลอดได้รับการทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บและอบแผลด้วยแสง Infrared นาน 15- 20 นาทีโดยตั้งไฟห่าง 1 – 2 ฟุต
มารดาหลังคลอดท่ีมีการยืดขยายของกล้ามเนื้อฝีเย็บแต่ช่องทางคลอดแคบเกินไปอาจทำให้เกิด การหย่อนสมรรถภาพของกล้ามเนื้อบริเวณน้ีเกิดภาวะ Rectocele หรือ Cystocele ขึ้น
มารดาที่ได้รับการ ตัดฝีเย็บและได้รับการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บจะหายเป็นปกติภายใน 5 – 7 วัน
การมีประจำเดือน
แม่ให้นมทารกการกระตุ้นไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ผ่านทางเส้นประสาทและสมองไปกดไม่ให้มีการหลั่งฮอร์โมนฟอสลิเติลสตรีมูเลติ่ง (Follicle Stimulating Hormone) และลูทีนไนซิ่ง
(Luteinizing) จึงท้ให้ไม่มีการตกไข่และไม่มีมีประจำเดือน
มารดาที่ไม่ได้เลี้ยงทารกตัวยนมตนเองจะมีการตกไข่ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ 10 - 11หลังคลอดและเริ่มมีประจำเดือนเมื่อสัปดาห์ที่ 7 - 9 หลังคลอด
มารดาที่เลี้ยงทารกด้วยนมตนเองนาน 3 เตือนจะมีการตกไข่ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ 17 หลังคลอดถ้าเลี้ยงด้วยนมตนเองนาน 6 เดือนจะมีการตกไข่เมื่อสัปดาห์ที่ 28 หลังคลอดและจะเริ่มมีประจ้าเดือนเมื่อสัปดาห์ที่ 30 - 36 หลังคลอด
เต้านม
หัวน้ำนม (colostrum) จะเร่ิมผลิตใน 2 – 3 วันแรกหลังคลอดมีสีเหลืองข้นซึ่งเกิดจากสารเบตาแคโรทีนที่ สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นวิตามินเอได้หัวน้ำนมจะมีโปรตีนวิตามินท่ีละลายในไขมันเกลือแร่ซึ่งรวมถึงสังกะสี โซเดียมโพแทสเซียมและคลอไรด์มากกว่านมแม่ในระยะหลังน้ำนมส่วนใหญ่เป็นสารที่มีภูมิคุ้มกันโรคคืออิมมูโนก ลอบบูลินเอ(immunoglobulin A หรือ lgA) มีหน้าท่ีคุ้มกันเชื้อโรค
น้ำนมระยะปรับเปลี่ยน (transitional milk) เป็นน้ำนมที่ออกมาในช่วงระหว่างหัวน้ำนมจนเป็นน้ำนมแม่ซึ่ง ระยะปรับเปลี่ยนจะเริ่มต้ังแต่วันที่ 7 – 10 หลังคลอดไปจนถึง 2สัปดาห์หลังคลอดปริมาณของอิมมูโนกลอบบู ลินโปรตีนและวิตามินท่ีละลายในไขมันจะลดต่้าลงส่วนปริมาณของน้ำตาลแลคโทสไขมันวิตามินที่ละลายในน้ำ และพลังงานรวมจะเพิ่มข้ึน
น้ำนมแม่ (true milk หรือ mature milk) จะเริ่มประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอดไปแล้วมีส่วนประกอบของ น้ำมากถึงร้อยละ87โดยร่างกายจะน้าไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญต่างๆซึ่งหลังจากผ่านการย่อยแล้วของเสีย ที่มาจากนมแม่จะต้องขับถ่ายทางไต (renalsolute load)และของเสียต้องขับถ่ายทางไตจะมีปริมาณต้่ากว่า ของเสียที่มาจากนมวัวเกือบ 3 เท่าดังนั้นเด็กท่ีดูดนมแม่อย่างเดียวได้พอเพียงไม่จ้าเป็นต้องกินน้ำเพิ่มอีกแม้จะ อยู่ในที่มีอากาศร้อน
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ
ระบบต่อมไร้ท่อ
ฮอร์โมนของรก (Placental hormone)
ระดับฮอร์โมนจากรกในพลาสมา (Plasma) จะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน24 ชั่วโมงจะตรวจหาระดับ ฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิคโซมาโทแมมโมโทรฟิน (Human ChorionicSomatomammotropin = HCS) ไม่ได้
ประมาณปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดระดับของฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิคโกนาโดโทรพิน (Human Chorionic Gonadotropin = HCG) จะลดลงดังน้ันถ้าทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะจะได้ผลลบ
วันท่ี 3 หลังคลอดหลังจากสัปดาห์แรกของการคลอดจะไม่สามารถตรวจพบโปรเจสเตอโรนใน ซีรัมได้และจะเริ่มมีการผลิตโปรเจสเตอโรนอีกครั้งเมื่อมีการตกไข่คร้ังแรกหลังคลอด
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (Pituitary hormone)
มารดาที่ไม่เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตนเอง ระดับโพรแลคทิน
จะลดลงจนเท่ากับระดับก่อนตั้งครรภ์ ภายใน 2สัปดาห์
ระดับของฟอลลิคิว ลาสทิมิวเลทิงฮอร์โมน (Follicular Stimulating Hormon = FSH)และลิวทิไนซิงฮอร์โมน (Luteinizing Hormone = LH) จะต้่ามากในวันท่ี 10 – 12 หลังคลอด
มารดาที่ให้นมบุตร Prolactin หลั่งมากขึ้น
ทำให้นมคัดและน้ำนมไหล
ฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโต (Growth hormone)
อยู่ในระดับต่ำตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ตอนท้ายๆไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังคลอด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ปริมาณเลือดจะลดลงทันทีแล้วค่อยๆลดลงเรื่อยประมาณ 3 -4 สัปดาห์หลังคลอดปริมาณเลือดจึงจะลดลงสู่ระดับปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์
การไหลเวียนของเลือดระหว่างมดลูกกับรกสิ้นสุดลงลดขนาดของแวสคิวอะเนด (Vascularbed) ของมารดา 10 - 15 เปอร์เซนต์
หน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนของรกสิ้นสุดเป็นการตัดตัวกระตุ้นที่ทำให้หลอดเลือดขยาย
มีการเคลื่อนย้ายของนำ้นอกหลอดเลือดที่สะสมระหว่างตั้งครรภ์
ระบบเลือด
ปริมาณเลือดจะลดลงจากระดับ 5 - 6 ลิตรในระยะก่อนคลอดจนถึงระดับ 4 ลิตรเท่าคนปกติใน 4 สัปดาห์
การไหลเวียนเลือดใน 2-3 วันแรกหลังคลอดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15-30 เปอร์เชนต์จากการไหลกลับของเลือดหลังรกคลอดค่าฮีโมโกบิน(Hemoglobin) ฮีมาโตคริต(Hematocrit) และจำนวนเม็ดเลือดแดง (Red blood cell count) จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
3 วันแรกหลังคลอดค่าฮีมาโตคริตอาจสูงขึ้นเล็กน้อย เม็ดเลือดขาวอาจสูงขึ้นถึง 20,000 - 25,000 เชลล์ต่อมิลลิลิตร
ความดันเลือดและชีพจร
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติคือประมาณ 50 - 70 ครั้งต่อนาทีการที่อัตราการเต้นของชีพจรลดลงเป็นผลจากภายหลังคลอดรกแล้วเลือดที่เคยไปเลี้ยงรกจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลง
ระบบหายใจ
ขนาดของช่องท้องและช่องทรวงอกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดท้าให้ความจุภายในช่องท้องและกะบังลมลดลงปอดขยายได้ดีขึ้นการหายใจสะดวกขึ้น
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะจะบวมและมักมีอาการบวมและช้ำรอบๆรูเปิดของท่อปัสสาวะ
ถ้ามารดาได้รับยาระงับความรู้สึกในระยะคลอดอาการจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพราะประสาทถูกรบกวนมารดาบางคนอาจถ่ายได้แต่ไม่หมดมีปัสสาวะค้างอยู่หลังถ่ายปัสสาวะทุกครั้งจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบของทางเดินปัสสาวะสูง
การทำงานของไต(Renal function)
เมื่อระดับฮอร์โมนลดลงไตก็จะท้างานลดลงด้วยกลูโคสยูเรีย(Glucosuria)ที่เกิดขึ้นในระยะตั้งครรภ์จะหายไปคริเอทินินเคลียแรนช์ (Creatinine clearance) จะเป็นปกติในปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดยูเรียไนโตรเจน ในเลือด (Blood urea nitrogen) จะเพิ่มขึ้นในระยะหลังคลอด
อัตราของรีนัลพลาสมาโฟล (Renal plasma flow)และกลอมเมอรูลาฟิลเทรชัน (Glumerular filtration) จะเพิ่มขึ้นประมาณ 25 - 50 เปอร์เซ็นต์และในสัปดาห์แรกหลังคลอดยังคงสูงอยู่ภาย ใน 12 ชั่วโมงหลังคลอดมารดาจะเริ่มถ่ายปัสสาวะมากปัสสาวะที่ออกจากร่างกายรวมกับน้ำ าที่สูญเสียทางเหงื่อ
ระบบทางเดินอาหาร
2 - 3 วันแรกมักมีความอยากอาหารและดื่มน้ำ
มากเพราะสูญเสียน้ำ ระหว่างคลอดและหลังคลอด
ระยะแรกหลังคลอดมารดามีแนวโน้มที่จะท้องผูกจากการที่สูญเสียแรงดันภายในช่องท้องทันทีกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวประกอบกับมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ช้า
น้ำหนักของมารตาจะลดลงประมาณ 5 - 6 กิ โลกรัมและช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดน้ หนักตัวจะลดลงอีกประมาณ 2 - 4 กิโลกรัม
ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก
กล้ามเนื้อ
1 – 2 วันแรกหญิงระยะหลังคลอดมีอาการเมื่อยและปวดกล้ามเน้ือโดยเฉพาะบริเวณแขนขา ไหล่และคอ
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนลดต่ำลงท้าให้ ความตึงตัวของกล้ามเน้ือเร่ิมลดลง
กล้ามเน้ือหน้าท้องจะนุ่มหยุ่นไม่แข็งแรงและจะหนาขึ้นบริเวณกลาง ท้องบางรายอาจมีกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก (diastasis recti abdominis) คือบริเวณรอยแยกจะไม่มีกล้ามเนื้อ พยุงมีแต่ผิวหนังไขมันชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) พังผืด (attenuated fascia) และเยื่อบุช่องท้อง (peritoneum
โครงกระดูก
ช่วงต้ังครรภ์ฮอร์โมนรีแลคซิน (relaxin) ทำให้บริเวณข้อต่อต่างๆของร่างกายมีการยืดขยายมี การเคลื่อนไหวของข้อต่อมากเกินไป
การเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายจากมดลูกท่ีโตขึ้นเป็นผล
ให้กระดูกสันหลังแอ่นและกระดูกเชิงกรานรับน้ำหนักมากขึ้น
หลังคลอด 2–3วันแรกระดับฮอร์โมนรีแลคซินค่อยๆ ลดลงแต่หญิงระยะหลังคลอดยังคงเจ็บปวดบริเวณตะโพกและข้อต่อซึ่งจะขัดขวางการเร่ิมเคลื่อนไหว (Ambulation)และการบริหารร่างกายอาการปวดดังกล่าวจะเป็นชั่วคราวเท่าน้ันแต่ปัญหาเหล่านี้จะบรรเทาลง ในช่วงหลังคลอด
ระบบภูมิคุ้มกัน
ภูมิคุ้มกันต่อปฏิกิริยาการไม่เข้ากันของหมู่เลือด (Blood - type incompatibilities)ในช่วงที่เจ็บ ครรภ์และคลอดเป็นช่วงที่เสี่ยงต่อการส่งผ่านเลือดจากทารกไปสู่มารดาซึ่งจะมีความส้าคัญมากในมารดาที่มี Rh- เพราะจะได้รับเซลล์จากทารกในครรภ์ที่มี Rh+ ระบบภูมิคุ้มกันของมารดาจะสร้างแอนติบอดีเพื่อตอบสนองต่อแอนติเจนซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
ร้อยละ 20 ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีเลือดหมู่ O จะมีทารกท่ีมีเลือดหมู่ Aหมู่ B หรือหมู่ AB ซึ่งร้อยละ 5 ของทารกเหล่าน้ีจะมีภาวะเลือดไม่เข้ากันจนท้าให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกในระดับ เล็กน้อยจนถึงปานกลางทารกจะแสดงอาการตัวเหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ระบบผิวหนังและอุณหภูมิ
ระบบผิวหนัง
เมื่อการต้ังครรภ์สิ้นสุดลงฝูาบริเวณใบหน้า (Chloasma gravidarum) จะหายไปแต่สีท่ีเข้มของลานนมเส้น กลางหน้าท้อง (Linea nigra) และรอยแตกของผิวหนังบริเวณผนังหน้าท้อง (Striae gravidarum) จะไม่หายไป แต่สีอาจจางลง
อาการผิดปกติของหลอดเลือดเช่นอาการร้อนแดงที่ฝุามือ (Palmar erythuma)และก้อนเนื้อ งอกที่เหงือกจะลดลงเนื่องจากเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดหลังคลอดร่างกายจะขับน้ำออก ทางผิวหนังจ้านวนมาก (Diaphoresis) มารดาหลังคลอดจึงมีเหงื่ออออกมา
ระบบอุณหภูมิ
Reactionary Feverซึ่งเกิดจากการขาดน้ำเสียพลังงานในการคลอดหรือได้รับการชอกช้ำ (Trauma) ในขณะคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อยโดยประมาณ 37.8 องศา (100o F) แต่ไม่ เกิน 38 องศา แล้วจะลดลงสู่ปกติใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
Milk Feverเกิดจากนมคัด (Breast engorement) จะพบในวันท่ี 3 – 4 หลังคลอดอุณหภูมิจะสูงกว่า 38 องศา และจะหายใน 24 ชั่วโมงหรือเมื่อลดการคัดตึงของเต้านม
Febile Feverเกิดจากมีการติดเชื้อเกิดข้ึนในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายมารดาเช่นการอักเสบที่เยื่อบุ โพรงมดลูกเต้านมอักเสบการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะหรือในระบบอื่นๆอุณหภูมิจะสูงกว่า 38 องศา ติดต่อกัน 2 วันหรือมากกว่า (ไม่นับ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด )
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคม
การแสดงบทบาทมารดาซึ่งแบ่งเป็น 3 ระยะ
Taking - in phase
1 - 3 วันแรกหลังคลอดร่างกายมีความอ่อนล้าไม่สุขสบาย
จากการปวดมดลูกเจ็บปวดแผลผีเย็บและคัดตึงเต้านมช่วงนี้
จึงสนใจแต่ตนเอง ระยะที่ต้องพึ่งพา (Dependent Phase)
บทบาทของพยาบาล
ดูแลช่วยเหลือ ประดับประคองความต้องการ
ให้การพยาบาลในท่าทีที่อบอุ่น
เปิดโอกาสให้สตรีหลังคลอดได้ระบายความรู้สึก
เปิดโอกาสให้สามีและญาติให้เข้าใจความรู้สึก
Taking - hold phase
3 - 10 วันหลังคลอด จะเป็นตัวของตัวเอง
กระตือรือที่จะเรียนรู้ในการดูแลบุตร
ระยะที่ต้องการพึ่งพาและไม่พึ่งพา
(Dependent-Independent Phase)
บทบาทของพยาบาล
มีความอดทนในการสอนสาธิตแนะนำ ให้กำลังใจ
สนับสนุนสามีพูดคุยให้กำลังใจ
แนะนำเรื่องการวางแผนครอบครัว
Letting-go phase
10 หลังคลอดเป็นต้นไปซึ่งเป็นช่วงที่สตรีหลังคลอดและทารกกลับมาอยู่ที่บ้านผู้ติดตามดูแลให้ค้าแนะนำต่อเนื่องจากระยะที่อยู่โรงพยาบาลต้องชี้แนะแนวทางให้มารดาหลังคลอดและสามีได้ร่วมกันวางแผนการดำเนินชีวิตการปรับตัวเข้าสู่บทบาทใหม่
ระยะพึ่งพาอาศัยกัน (Interdependent behavior)
บทบาทของพยาบาล
แนะนำให้มารตาหลังคลอด สามีสมาชิกในครอบครัว
ปรับตัวและวางแผนการดำเนินชีวิต
ช่วยประสานความสัมพันธ์ของ
สมาชิกให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
ภาวะที่มารดาเศร้าหลังคลอด
(Postpartum blues หรือ baby blues)
ปัจจัยที่ทำให้เกิด
มีการลดลงทันทีของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจส
เตอโรนในช่วง 72 ชั่วโมงแรกหลังคลอดสาว
ผิดหวังเกี่ยวกับรูปร่างของตนเองในช่วงหลังคลอด
เช่น หน้าท้องห้อยหย่อนยาน
มีความเครียดทางร่างกายเช่นอ่อนเพลียเจ็บแผลฝีเย็บ
ปวดจากเต้านมคัดตึงเจ็บริดสีดวงทวาร
มีความเครียดด้านจิตใจในช่วงรับบทบาทการเป็นมารดา
มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลเช่นมีความขัดแย้งระหว่าง
ตนเองกับสามีกับสมาชิกคนอื่นๆภายในบ้าน
อาการและอาการแสดง
จะร้องให้นานถึง 2ชม.
วิตกกังวล อ่อนเพลีย
มีอาการสูงสุด 3 วัน อาจหายใน 10 วัน
โรคจิตหลังคลอด (postpartum psychosis)
มีความผิดปกติ ของอารมณ์มากที่สุด อาการเริ่มต้นใน 48-72 ชั่วโมง ภายหลังคลอด และมีการพัฒนาอาการภายใน2 สัปดาห์ ซึ่งมักจะแสดงอารมณ์เศร้าหรือมีอารมณ์สุข แต่อาการจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว มีอาการหลงผิดและเห็นภาพหลอนร่วมด้วย
ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับตัว
สู่บทบาทการเป็นมารดา
อายุ : บ่งบอกถึงวุฒิภาวะของบุคคล
ประสบการณ์ในการเลี้ยงดูเด็ก
สัมพันธภาพระหว่างคู่สมรส
ภาวะสุขภาพของบุตร
ด้านครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อม
การดูแลด้านจิตสังคมมารดา
ในระยะหลังคลอด
ให้ความสนใจ สังเกตสีหน้าท่าทาง
อธิบายสามีและญาติเข้าใจเพื่อให้ความ
ช่วยเหลือด้านร่างกายให้กำลังใจ
ส่งเสริมความมั่นใจ ให้มารดารู้สึกภาคภูมิ
ใจในตนเอง ในการดูแลทารก
ลดความวิตกกังวล แนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
นางสาวสศิมา สวดมาลัย เลขที่ 77 ห้อง B รหัสนักศึกษา 61123301166
เพ็ชรัตน์ เตชาทวีวรรณ. การพยาบาลมารดาระยะหลังคลอด. (ออนไลน์). สืบค้นจาก:
http://www.elnurse.ssru.ac.th/petcharat_te/pluginfile.php/58/block_htm/content/PP%2827122556%29.pdf
. (สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2564).