Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยาและระบบต่างๆของมารดาในระยะหลังคลอด - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยาและระบบต่างๆของมารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
มดลูก (Uterus)
มดลูกมีการยืดขยายมาก ขณะตั้งครรภ์จะลดขนาดลงในทันทีที่เด็กและรกคลอดแล้วมดลูกจะมีน้้าหนักประมาณ 1,000 กรัมกว้าง 12 ซม.ยาว 5 ซม. หนา 8 – 10 ซม.
ระดับของมดลูกจะอยู่ที่ระดับสะดือหรือต่ำกว่าเล็กน้อยเนื่องจากการหย่อนของช่องคลอดผนังมดลูกส่วนล่างและกล้ามเนื้อของพื้นเชิงกราน (Pelvic floor) แต่ภายหลัง 24ชั่วโมงไปแล้วระดับของมดลูกจะลอยสูงขึ้นมาอยู่เหนือสะดือเล็กน้อยและอาจเอียงไปทางขวา เนื่องจากกล้ามเนื้อต่างๆเริ่มมีความตึงตัวขึ้น มดลูกจะลดขนาดลงสู่อุ้งเชิงกรานเร็วมากประมาณวันละ ½ -1นิ้วโดยมดลูกจะลดทั้งน้้าหนักและขนาดเพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์
การลดระดับของมดลูก จำนวนของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ขนาดของเซลล์จะลดลงประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของการคืนสู่สภาพปกติของมดลูก กล้ามเนื้อมดลูกจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมภายใน 2–3 สัปดาห์หลังคลอด
อาการปวดมดลูก (Afterpain)
มีสาเหตุจากการหดรัดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อมดลูกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เกิดในหญิงครรภ์หลังส่วนในครรภ์แรกปกติจะไม่มีอาการปวดมดลูกเนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกยังมีความตึงตัวสูง ยกเว้นว่าจะมีการยืดขยายของมดลูกมาก เช่น ครรภ์แฝดหรือครรภ์แฝดน้ำ เด็กตัวโต
อาการปวดมดลูกอาจรุนแรง เมื่อมารดาให้บุตรดูดนมเพราะการดูดนมจะกระตุ้นPosterior pituitary gland หลั่งฮอร์โมน Oxytocin ไปกระตุ้นมดลูกให้หดรัดตัว
ระยะเวลาที่เกิดอาการปวดมดลูกปกติจะไม่เกิน 72 ชั่วโมงถ้าอาการปวดมดลูกมีนานเกิน 72 ชั่วโมงหรืออาการเจ็บปวดรุนแรง อาจเกิดจากมีเศษรกค้าง หรือมีก้อนเลือดค้างอยู่
การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกและบริเวณรกเกาะ
หลังจากรกและเยื่อหุ้มเด็กคลอดแล้วจะเกิดรอยแผลที่บริเวณรกลอกตัวมีขนาดประมาณ 8 X 9 เซนติเมตรการหายของแผลเกิดจากเยื่อบุมดลูก (Endometrial tissue)เจริญขึ้นมาแทนที่ดิซิดิวอะเบซัลลิส (Decidua basalis) ซึ่งยังคงอยู่ในมดลูกหลังจากรกและเยื่อหุ้มเด็กแยกออกไปแล้วในระยะ 2 – 3 วันหลังคลอด
Decidua ที่เหลืออยู่ในโพรงมดลูกจะแบ่งตัวเป็น 2 ชั้นคือชั้นผิวใน Superficial layer จะหลุดออกมาเป็นส่วนของน้ำคาวปลาส่วนชั้นใน Functional layer ซึ่งอยู่ติดกับเนื้อมดลูกมีต่อมเยื่อบุโพรงมดลูก Connective tissue จำนวนเล็กน้อยจะงอกขึ้นมาใหม่
น้้าคาวปลา (Lochia)
Lochia rubra
น้ำคาวปลาที่ออกมาในระยะ 2 – 3 วันแรกหลังคลอดเนื่องจากในระยะนี้แผลภายในโพรงมดลูกยังใหม่อยู่การซ่อมแซมยังเกิดขึ้นน้อยสิ่งที่ขับออกมามีลักษณะสีแดงคล้ำและข้น ประกอบด้วยเลือดเป็นส่วนใหญ่ น้ำคร่ำ เศษเยื่อหุ้มเด็ก เยื่อบุมดลูก ไขและขนของเด็ก ขี้เทาลักษณะเลือดไม่เป็นก้อน
Lochia alba
มีประมาณวันที่ 10 หลังคลอดน้ำคาวปลาจะค่อยๆน้อยลงเป็นสีเหลืองจางๆหรือสีขาว ประกอบด้วยเม็ดเลือดขาว เยื่อบุโพรงมดลูกที่สลายตัวแล้ว มูกจากปากมดลูกหรือน้ำเมือกและจุลินทรีย์เล็กๆ
Lochia serosa
มีประมาณวันที่ 4 – 9 ลักษณะน้ำคาวปลาสีจะจางลงเป็นสีชมพู สีน้ำตาลหรือค่อนข้างเหลือง มีมูกปน ทำให้ลักษณะที่ออกมาเป็นเลือดจางๆยืดได้เนื่องจากบริเวณแผลมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น มีเม็ดเลือดขาวมีน้ำเหลือง (Exudate) ที่ออกมาจากแผลซึ่งกำลังจะหายประกอบด้วยเลือด น้ำเหลืองจากแผล เม็ดเลือดขาว เศษเยื่อบุโพรงมดลูกที่สลายตัวแล้ว มูกจากปากมดลูก
การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
ระยะหลังคลอดบริเวณจากปากช่องคลอดจนกระทั่งถึงมดลูกส่วนล่าง (Lower uterinesegment) ยังคงบวม เป็นเวลาหลายวันส่วนของปากมดลูกที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดจะอ่อนนุ่มมีรอยช้ำ และมีรอยฉีกขาดเล็กๆซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
ประมาณ 18 ชั่วโมงหลังคลอดปากมดลูกจะสั้นลงแข็งขึ้นและกลับคืนสู่รูปเดิม
ประมาณ 2 – 3 วันหลังคลอดปากมดลูกยังคงยืดขยายได้ง่ายอาจสอดนิ้วเข้าไปได้ 2 นิ้ว
ประมาณปลายสัปดาห์ที่ 1 จะกลับคืนเหมือนสภาพเดิมเกือบสมบูรณ์ แต่ปากมดลูกจะไม่คืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนตั้งครรภ์ รูปากมดลูกที่เป็นรูปวงกลมเมื่อก่อนตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นรูปยาวรีซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเคยผ่านการคลอดมาแล้ว
ฝีเย็บ (Perineum)
มารดาหลังคลอดจะมีอาการปวดบริเวณฝีเย็บ ฝีเย็บจะมีลักษณะบวมและอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนังจากการที่หลอดเลือดฝอยฉีกขาด Labia minora และ labia majora เหี่ยวและอ่อนนุ่มมากขึ้น หากมารดาหลังคลอดได้รับการทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บและอบแผลด้วยแสง Infrared นาน 15- 20 นาทีโดยตั้งไฟห่าง 1 – 2 ฟุตก็จะกระตุ้นให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้นลดอาการปวดลงได้
มารดาหลังคลอดที่มีการยืดขยายของกล้ามเนื้อฝีเย็บแต่ช่องทางคลอดแคบเกินไปอาจทำให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพของกล้ามเนื้อบริเวณนี้เกิดภาวะ Rectocele หรือCystocele ขึ้นส่วนมารดาที่ได้รับการตัดฝีเย็บและได้รับการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บจะหายเป็นปกติภายใน 5 – 7 วัน
ผนังหน้าท้อง (Abdominal wall)
ผนังหน้าท้องจะอ่อนนุ่มและปวกเปียกในวันแรกๆหลังคลอดกล้ามเนื้อหน้าท้องจะยังไม่สามารถพยุงอวัยวะภายในช่องท้องได้เต็มที่เนื่องจากผนังหน้าท้องถูกยืดขยายเป็นเวลานาน ในระยะตั้งครรภ์และใยกล้ามเนื้ออิลาสทิค (Elastic fiber) ของผิวหนังอาจมีการฉีกขาดบางครั้ง
ถ้ามีการยืดขยายของกล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไปจากเด็กตัวโต ครรภ์แฝด หรือแฝดน้ำทำให้มีการแยกของกล้ามเนื้อหน้าท้องเร็คทัส (Rectus muscle) ตรงกึ่งกลางที่เรียกว่า Diastasis recti abdominis ซึ่งโดยปกติกล้ามเนื้อส่วนนี้จะถูกยืดขยายมากหลังจากเด็กเกิดแล้ว กล้ามเนื้อจะหดรัดตัวแต่ยังแยกออกจากกันจึงต้องพยายามให้กลับสู่สภาพเดิมโดยการบริหารร่างกาย
การกลับคืนสู่สภาพเดิมของกล้ามเนื้อหน้าท้องต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือนขึ้นกับลักษณะของรูปร่างของแต่ละคนจำนวนครั้งของการตั้งครรภ์และการบริหารร่างกาย สำหรับริ้วรอยบนผนังหน้าท้อง (Striae gravidarum) ในระยะหลังคลอดจะไม่หายไปแต่สีจะจางลงเป็นสีเงิน
การมีประจำเดือน
มารดาที่ไม่ได้เลี้ยงทารกด้วยนมตนเองจะมีการตกไข่ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ 10 – 11หลังคลอดและเริ่มมีประจำเดือนเมื่อสัปดาห์ที่ 7 – 9 หลังคลอด
มารดาที่เลี้ยงทารกด้วยนมตนเองนาน 3 เดือนจะมีการตกไข่ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ 17 หลังคลอดถ้าเลี้ยงด้วยนมตนเองนาน 6 เดือนจะมีการตกไข่เมื่อสัปดาห์ที่ 28 หลังคลอดและจะเริ่มมีประจำเดือนเมื่อสัปดาห์ที่ 30 – 36 หลังคลอด
เต้านม
หัวน้ำนม (colostrum)
จะเริ่มผลิตใน 2 – 3 วันแรกหลังคลอดมีสีเหลืองข้นซึ่งเกิดจากสารเบตาแคโรทีนที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นวิตามินเอได้หัวน้ำนมจะมีโปรตีนวิตามินที่ละลายในไขมันเกลือแร่ซึ่งรวมถึงสังกะสี โซเดียมโพแทสเซียมและคลอไรด์มากกว่านมแม่ในระยะหลัง
น้ำนมระยะปรับเปลี่ยน (transitional milk)
เป็นน้ำนมที่ออกมาในช่วงระหว่างหัวน้ำนมจนเป็นน้ำนมแม่ซึ่ง ระยะปรับเปลี่ยนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 – 10 หลังคลอดไปจนถึง 2สัปดาห์หลังคลอดปริมาณของอิมมูโนกลอบบูลินโปรตีนและวิตามินที่ละลายในไขมันจะลดต่ำลงส่วนปริมาณของน้ำตาลแลคโทสไขมันวิตามินที่ละลายในน้ำและพลังงานรวมจะเพิ่มขึ้น
น้ำนมแม่ (true milk หรือ mature milk)
จะเริ่มประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอดไปแล้วมีส่วนประกอบของน้ำมากถึงร้อยละ87โดยร่างกายจะนำไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญต่างๆซึ่งหลังจากผ่านการย่อยแล้วของเสียที่มาจากนมแม่จะต้องขับถ่ายทางไต (renalsolute load)
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อ
ฮอร์โมนของรก(Placental hormone)
หลังคลอดระดับฮอร์โมนจากรกในพลาสมา Plasma จะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงจะตรวจหาระดับฮอร์โมน Human ChorionicSomatomammotropin = HCS ไม่ได้
ประมาณปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดระดับของฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิคโกนาโดโทรพิน (Human
Chorionic Gonadotropin = HCG) จะลดลงดังนั้นถ้าทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะจะได้ผลลบ
ภายใน 3 ชั่วโมงหลังคลอดระดับเอสโตรเจนในพลาสมาจะลดลงประมาณร้อยละ 10 ของค่าในระยะตั้งครรภ์
ระดับเอสโตรเจนจะลดลงต่ำสุดตรวจไม่พบในปัสสาวะประมาณวันที่ 4หลังคลอด
ประมาณวันที่ 3 หลังคลอดหลังจากสัปดาห์แรกของการคลอดจะไม่สามารถตรวจพบโปรเจสเตอโรนใน
ซีรัมได้และจะเริ่มมีการผลิตโปรเจสเตอโรนอีกครั้งเมื่อมีการตกไข่ครั้งแรกหลังคลอด
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง(Pituitary hormone)
ระยะหลังคลอดมารดาที่ไม่เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตนเองระดับโพรแลคทินจะลดลงจนเท่ากับระดับก่อนตั้งครรภ์ภายใน 2สัปดาห์
การให้บุตรดูดนมจะทำให้ความเข้มข้นของโพรแลคทินเพิ่มขึ้นระดับของโพรแลคทินในซีรัมจะสูงมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับจำนวนครั้งที่ให้บุตรดูดนมในแต่ละวัน
ค่าของโพรแลคทินจะอยู่ในระดับปกติประมาณเดือนที่ 6 ถ้าให้บุตรดูดนมเพียง 1 – 3 ครั้งต่อวันและ ระดับโพรแลคทินจะยังคงสูงกว่า 1 ปีถ้าให้นมบุตรดูดนมสม่ำเสมอมากกว่า 6 ครั้งต่อวัน
ระดับของ Follicular Stimulating Hormon = FSH และ Luteinizing Hormone = LH จะต่ำมากในวันที่ 10 – 12 หลังคลอด
ฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโต(Growthhormone)
อยู่ในระดับต่ำตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ตอนท้ายๆไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังคลอดประกอบกับการลดลงอย่างรวดเร็วของฮอร์โมนฮิวแมนพลาเซ็นทอลแลคโทเจนฮอร์โมนเอสโตรเจนฮอร์โมนคอร์ติชอลเอนไซม์จากรกและน้ำย่อย อินสุลิน (Insulinase)
การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบเลือด
1.ปริมาณเลือด (Blood volume) จะลดลงทันทีจากการสูญเสียเลือดภายหลังคลอดโดยปริมาณเลือดจะลดลงจากระดับ 5 – 6 ลิตรในระยะก่อนคลอดจนถึงระดับ 4 ลิตรเท่าคนปกติใน 4 สัปดาห์
2.การไหลเวียนเลือด
ใน 2–3 วันแรกหลังคลอดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15–30เปอร์เซนต์จากการไหลกลับของเลือด
3.ใน 3 วันแรกหลังคลอดค่าฮีมาโตคริตอาจสูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากมีการลดระดับของปริมาณน้ำเหลือง (Plasma) มากกว่าจำนวนของเม็ดเลือดจำนวนเหล่านี้จะลดลงสู่สภาพปกติเหมือนก่อนคลอดภายใน 4 – 5 สัปดาห์หลังคลอด
4.เม็ดเลือดขาวอาจสูงขึ้นถึง 20,000 – 25,000 เซลล์ต่อมิลลิตร
5.สารที่เป็นองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด
(Clotting Factor) ยังคงมีค่าสูงอยู่และจะลดลงสู่ระดับปกติใน 2 – 3สัปดาห์
ความดันเลือดและชีพจร
ในระยะคลอดอาจมีค่าความดันโลหิตต่ำได้จากการ
เสียเลือดมากกว่าปกติจนทำให้ปริมาณเลือดน้อยเกินไป (Hypovolemia)
จากการมีการขยายตัวของหลอดเลือด
จากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน
การลดลงของความดันในช่องท้องเป็นเหตุให้เลือดไปรวมตัวบริเวณอวัยวะในช่องท้อง (Splanchnicengorgement)
จากการเสียเลือดปกติแต่ต้องใช้เวลานาน 2 – 3 ชั่วโมงเพื่อปรับปริมาณเลือดในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดยังมีผลให้ชีพจร
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติคือประมาณ 50 – 70 ครั้งต่อนาที
การที่อัตราการเต้นของชีพจรลดลงเป็นผลจากภายหลังคลอดรกแล้วเลือดที่เคยไปเลี้ยงรกจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลง ซึ่งเป็นกลไกในการปรับตัวต่อการลดลงของแรงดันในระบบไหลเวียนโลหิตในขณะเดียวกันหญิงระยะหลังคลอดจะถ่ายปัสสาวะมากขึ้น (Postpartum diuresis) ทำให้ปริมาณเลือดและความดันโลหิตต่ำลงเป็นผลให้อัตราการเต้นของชีพจรค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเข้าสู่ระดับปกติภายใน7 – 10 วันหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงงของระบบหายใจ
ขนาดของช่องท้องและช่องทรวงอกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดท้าใหความจุภายในช่องท้องและกะบังลมลดลงปอดขยายได้ดีขึ้นการหายใจสะดวกขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะ
จะบวมและมักมีอาการบวมและช้ำรอบๆรูเปิดของท่อปัสสาวะ
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
ลดลงทำให้มีความจุมากขึ้นแต่ความไวต่อแรงกดจะลดลง
การท้างานของไต(Renal function)
Glucosuria ที่เกิดขึ้นในระยะตั้งครรภ์จะหายไป
Creatinine clearance จะเป็นปกติในปลายสัปดาห์แรกหลังคลอด
Blood urea nitrogen จะเพิ่มขึ้นในระยะหลังคลอดเนื่องจากมีการแตกตัวของใยกล้ามเนื้อมดลูก
อาจพบ Lactosuria ในมารดาที่เลี้ยงบุตรด้วยน้้านมตนเอง
ในระยะตั้งครรภ์อัตราของ Renal plasma flow และ Glumerular filtration จะเพิ่มขึ้นประมาณ 25 – 50 เปอร์เซ็นต์และในสัปดาห์แรกหลังคลอดยังคงสูงอยู่
ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอดมารดาจะเริ่มถ่ายปัสสาวะมาก ปัสสาวะที่ออกจากร่างกายรวมกับน้ำที่สูญเสียทางเหงื่อจะทำให้น้ำหนักของมารดาลดลงในระยะแรกหลังคลอดประมาณ 2 - .25 กิโลกรัมหลังจากนั้นน้ำหนักจะลดลงอีกเนื่องจากมีการขับน้ำและอิเล็คโทรลัยที่สะสม
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหาร
ในระยะ 2 – 3 วันแรกมักมีความอยากอาหารและดื่มน้้ามากเพราะสูญเสียน้้าระหว่างคลอดและหลังคลอดระยะแรก
หลังคลอดมารดามีแนวโน้มที่จะท้องผูก
จากการที่สูญเสียแรงดันภายในช่องท้องทันที
กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัว
มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์
มารดาไม่กล้าเบ่งเพราะ
กลัวแผลแยกหรือกลัวเจ็บแผล
การเปลี่ยนแปลงของระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก
กล้ามเนื้อ
ช่วง 1 – 2 วันแรกหญิงระยะหลังคลอดมีอาการเมื่อยและปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณแขนขา
ไหล่และคอ
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนลดต่ำลงทำให้
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อเริ่มลดลง
ต้องออกแรงเบ่งขณะคลอดและหลังคลอดรก
โครงกระดูก
ในช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมน relaxin ทำให้บริเวณข้อต่อต่างๆของร่างกายมีการยืดขยายมีการเคลื่อนไหวของข้อต่อมากเกินไปและมีการเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายจากมดลูกที่โตขึ้นเป็นผลให้กระดูดสันหลังแอ่นและกระดูกเชิงกรานรับน้ำหนักมากขึ้น
หลังคลอด 2 – 3 วันแรกระดับฮอร์โมนรีแลคซินค่อยๆ ลดลงแต่หญิงระยะหลังคลอดยังคงเจ็บปวดบริเวณตะโพกและข้อต่อซึ่งจะขัดขวางการเริ่มเคลื่อนไหว (Ambulation)และการบริหารร่างกาย
บริเวณข้อต่อจะแข็งแรงมั่นคงจนเข้าสู่สภาพปกติต้องใช้เวลาประมาณ 6 – 8 สัปดาห์หลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน
ภูมิคุ้มกันต่อปฏิกิริยาการไม่เข้ากันของหมู่เลือด (Blood - type incompatibilities)ในช่วงที่เจ็บครรภ์และคลอดเป็นช่วงที่เสี่ยงต่อการส่งผ่านเลือดจากทารกไปสู่มารดาซึ่งจะมีความสำคัญมากในมารดาที่มี Rh- เพราะจะได้รับเซลล์จากทารกในครรภ์ที่มี Rh+ ระบบภูมิคุ้มกันของมารดาจะสร้างแอนติบอดีเพื่อตอบสนองต่อแอนติเจนซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายโดยอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
พบว่าร้อยละ 20 ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีเลือดหมู่ O จะมีทารกที่มีเลือดหมู่ Aหมู่ B หรือหมู่ AB ซึ่งร้อยละ 5 ของทารกเหล่านี้จะมีภาวะเลือดไม่เข้ากันจนทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกในระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลางทารกจะแสดงอาการตัวเหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดและต้องได้รับการส่องไฟรักษา (Phototherapy)
การเปลี่ยนแปลงของระบบผิวหนังและอุณหภูมิ
ระบบผิวหนัง
ฝ้าบริเวณใบหน้า (Chloasma gravidarum) จะหายไปแต่สีที่เข้มของลานนมเส้นกลางหน้าท้อง (Linea nigra) และรอยแตกของผิวหนังบริเวณผนังหน้าท้อง(Striae gravidarum) จะไม่หายไปแต่สีอาจจางลง
อาการผิดปกติของหลอดเลือดเช่นอาการร้อนแดงที่ฝ่ามือ (Palmar erythuma)และก้อนเนื้องอกที่เหงือกจะลดลงเนื่องจากเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดหลังคลอด
ร่างกายจะขับน้้าออกทางผิวหนังจ้านวนมาก (Diaphoresis) มารดาหลังคลอดจึงมีเหงื่อออกมา
อุณหภูมิ
Reactionary Fever
เกิดจากการขาดน้ำเสียพลังงานในการคลอดหรือได้รับการชอกช้ำ (Trauma) ในขณะคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อยโดยประมาณ 37.8o C แต่ไม่ เกิน 38o C แล้วจะลดลงสู่ปกติใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
Milk Fever
เกิดจากนมคัด (Breast engorement) จะพบในวันที่ 3 – 4 หลังคลอดอุณหภูมิจะสูงกว่า38C และจะหายใน 24 ชั่วโมงหรือเมื่อลดการคัดตึงของเต้านม
Febile Fever
เกิดจากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายมารดาเช่นการอักเสบที่เยื่อบุโพรงมดลูกเต้านมอักเสบการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะหรือในระบบอื่นๆอุณหภูมิจะสูงกว่า 38C ติดต่อกัน 2 วันหรือมากกว่า (ไม่นับ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด)
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
Taking – in phase
ระยะเริ่มเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดาเป็นระยะ 1 – 3 วันแรกหลังคลอดร่างกายมี ความอ่อนล้าไม่สุขสบายจากการปวดมดลูกเจ็บปวดแผลฝีเย็บและคัดตึงเต้านมบางรายอาจปวดร้าวกล้ามเนื้อ บริเวณตะโพกและฝีเย็บจนกระทั่งเดินไม่ได้ในช่วงวันแรกช่วยเหลือตนเองได้น้อยจึงต้องพึ่งพาผู้อื่นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
บทบาทของพยาบาล
1 ดูแลช่วยเหลือประคับประคองและตอบสนองความต้องการของมารดาหลังคลอดทางด้านร่างกายในเรื่อง การับประทานอาหารการพักผ่อนการรักษาความสะอาดของร่างกายการขับถ่ายการท้ากิจกรรมต่างๆลดภาวะไม่สุขสบายต่างๆรวมทั้งควรประคับประคองทางด้านจิตใจ
2 ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่อบอุ่นเห็นอกเห็นใจเข้าใจความรู้สึกด้วยความจริงใจเพื่อให้มารดาหลังคลอดมีความรู้สึกว่ามีผู้สนใจเอาใจใส่ตนเองเกิดความอบอุ่นใจ
3 เปิดโอกาสให้มารดาหลังคลอดได้ระบายความรู้สึกและรับฟังด้วยความสนใจจะช่วยให้มารดาหลังคลอดสบายใจขึ้น
4 พยาบาลควรอธิบายให้สามีและญาติเข้าใจถึงความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมารดาหลังคลอดและสนับสนุนให้มารดาหลังคลอดได้พูดคุยกับสามีญาติรวมทั้งมารดาหลังคลอดรายอื่นๆเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการคลอด
5 สังเกตอาการผิดปกติทางด้านจิตใจที่อาจจะเกิดขึ้นให้ความสนใจทั้งค้าพูดและพฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อ
ประเมินสภาพจิตใจและให้การพยาบาลช่วยเหลือแต่เนิ่นๆก่อนที่อาการทางจิตจะรุนแรงมากขึ้น
Taking – hold phase
ระยะเข้าสวมบทบาทการเป็นมารดาระยะนี้จะอยู่ในช่วง 3 – 10 วันหลังคลอด มารดาหลังคลอดที่ได้รับการตอบสนองในช่วง Taking - in phaseอย่างครบถ้วนก็จะเริ่มปรับตัวเข้าสู่ระยะนี้ โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมพึ่งพาเริ่มเข้าสู่พฤติกรรมพึ่งพาเป็นอิสระสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากยิ่งขึ้น เริ่มสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลทารกสนใจบุคคลอื่นๆในครอบครัวเพิ่มขึ้น
บทบาทของพยาบาล
1 พยาบาลต้องมีความอดทนในการสอนสาธิตแนะนำและให้กำลังใจแก่มารดาหลังคลอดในการดูแลตนเอง และทารกให้ถูกต้องรวมทั้งการสอนและสาธิตให้สามีและญาติในการช่วยดูแลทารกเพื่อให้มารดาหลังคลอดมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นนอกจากนี้การแนะน้าถึงแหล่งความรู้ต่างๆเช่นหนังสือตำราและเอกสารต่างๆก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สตรีหลังคลอดและสมาชิกในครอบครัวได้ทบทวนและเพิ่มเติมความรู้ก่อให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติตัวหลังคลอดและการดูแลทารกมากขึ้น
2 สนับสนุนให้สามีพูดคุยให้ก้าลังใจเพื่อช่วยให้มารดาหลังคลอดเกิดความมั่นใจและกระตือรือร้นที่จะปรับบทบาทของตนเองเข้าสู่การเป็น “มารดา” และเป็น “ภรรยา” ที่ดีของทารกและสามีได้ด้วยดี
3 การแนะน้าเรื่องการวางแผนครอบครัวเป็นสิ่งส้าคัญยิ่งที่จะช่วยให้ครอบครัวได้จัดวางแผนด้าเนินชีวิตในครอบครัวเพื่อปูองกันการเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเกิดตามมา
Letting-go phase
บทบาทของพยาบาล
แนะน้าให้มารดาหลังคลอดสามีและสมาชิกภายในครอบครัวสามารถปรับตัวและวางแผนการ
ด้าเนินชีวิตตามพัฒนกิจของครอบครัวได้อย่างเหมาะสม
ช่วยประสานความสัมพันธ์ของสมาชิกให้แน่นแฟูนยิ่ง
ขึ้นเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยสนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวได้พูดคุยท้าความเข้าใจกัน
ระยะที่แสดงบทบาทได้ดีเป็นช่วงต่อเนื่องจาก Taking-hold phase ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ วันที่ 10 หลังคลอดเป็นต้นไปซึ่งเป็นช่วงที่สตรีหลังคลอดและทารกลับมาอยู่ที่บ้านผู้ติดตามดูแลให้คำแนะนำต่อเนื่องจากระยะที่อยู่โรงพยาบาลต้องชี้แนะแนวทางให้มารดาหลังคลอดและสามีได้ร่วมกันวางแผนการดำเนินชีวิตการปรับตัวเข้าสู่บทบาทใหม่และการมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนต่าง ก็ต้องมีพฤติกรรมพึ่งพาอาศัยกัน (Interdependent behavior) ในระยะนี้มารดาหลังคลอดเริ่มมีความ ต้องการที่จะพบหรือพูดคุยกับบุคคลภายนอก
ภาวะที่มารดาเศร้าหลังคลอด(Postpartum blues หรือbaby blues)
พบในช่วง 10 วันแรกหลังคลอดถึงร้อยละ 80 โดยทั่วไปหญิงระยะหลังคลอด ไม่ได้เตรียมตัวรับความรู้สึกเศร้าแต่ความรู้สึกนี้จะค่อยๆเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ปัจจัย
ผิดหวังเกี่ยวกับรูปร่างของตนเองในช่วงหลังคลอดเช่นหน้าท้องห้อยหย่อนยานรู้สึกเบื่อหน่ายคิดว่าตนเองมี
รูปร่างที่ไม่น่าดูไม่เป็นที่ดึงดูดใจจากผู้อื่นและมักคิดว่าไม่สามารถท้ารูปร่างให้เหมือนเดิมได้
มีความเครียดทางร่างกายเช่นอ่อนเพลียเจ็บแผลฝีเย็บปวดจากเต้านมคัดตึงเจ็บริดสีดวงทวาร
มีการลดลงทันทีของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในช่วง 72 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
มีความเครียดด้านจิตใจในช่วงรับบทบาทการเป็นมารดาแต่ขณะเดียวกันก็ต้องคงไว้ซึ่งบทบาทการเป็นภรรยาที่ดี
มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลเช่นมีความขัดแย้งระหว่างตนเองกับสามีกับสมาชิกคนอื่นๆภายในบ้านกับเพื่อนหรือเพื่อนบ้าน
รู้สึกถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจเนื่องจากช่วงหลังคลอดบุคคลแวดล้อมจะแสดงความชื่นชมยินดีกับทารก มากกว่าที่จะแสดงความชื่นชมยินดีหรือสนใจหญิงระยะหลังคลอดท้าให้หญิงระยะหลังคลอดมักมีความรู้สึกเศร้าและเสียใจ
อาการ
อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายมีความรู้สึกเศร้าร้องไห้โดยหาสาเหตุไม่ได้กระวนกระวายนอนไม่หลับไม่อยากรับประทานอาหารสีหน้าเคร่งขรึมแววตา เลื่อนลอยเฉื่อยชา
มักพบในหญิงระยะหลังคลอดวันที่ 3 ร้อยละ 60 พบใน 10 วันแรกหลัง คลอดแต่อาการเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะดีขึ้นเองและหายได้เองตามธรรมชาติมักเกิดภายใน 6 สัปดาห์หลัง คลอดแต่อาจกลับมาเป็นอีกในช่วงปีแรกซึ่งถ้ากลับเป็นอีก
การดูแลด้านจิตสังคมมารดาในระยะหลังคลอด
การพยาบาล
ให้ความสนใจสังเกตสีหน้าท่าทาง
อธิบายสามีและญาติเข้าใจเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านร่างกายให้กำลังใจ
ส่งเสริมความมั่นใจให้มารดารู้สึกภาคภูมิใจในตนเองในการดูแลทารก
ลดความวิตกกังวล แนะนำการปฎิบัติตัวที่ถูกต้อง