Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีภาวะเบี่ยงเบนทางสุขภาพ - Coggle Diagram
การพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีภาวะเบี่ยงเบนทางสุขภาพ
ไข้จากการตอบสนองของร่างกาย (Reactionary fever)
ภายใน24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด อุณหภูมิกายอาจสูงขึ้น แต่ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส เนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลาย (Tissue injury) รวมทั้งมีการสูญเสียน้ำ และ เลือดหลังคลอด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ในระยะหลังคลอด
หากเกิน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ยังมีไข้ มีอุณหภูมิมากกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจเกิดจากภาวะติดเชื้อ
หาก 2 - 3 วันแรกหลังคลอด มีไข้ต่ำๆ ร่วมกับมีการคัดตึงเต้านม เรียกว่า Milk fever ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงปกติในระยะหลังคลอด
การพยาบาลอาการไข้จากการตอบสนองของร่างกาย
(Reactionary fever)
ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง และสังเกตและติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกาย
กระตุ้นให้มารดาหลังคลอดดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 8 - 10 แก้วต่อวัน เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำจากการคลอด
3.ให้มารดาหลังคลอดพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น
ปรับกิจกรรมการพยาบาลให้เป็นระบบ รบกวนมารดาหลังคลอดให้น้อยที่สุด
อาการปวดมดลูก (Aferpain)
ภายหลังการคลอดมดลูกจะคงหดรัดตัวอย่างต่อเนื่อง รุนแรง เรียกอาการนี้ว่า อาการปวดมดลูก (Afterpain) จะพบ 2 - 3 วัน หลังคลอด เป็นภาวะปกติ ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้ดี
ปัจจัยที่ก่อให้เกิด
มารดาครรภ์หลังซึ่มมีความตึงตัวของกล้ามเนื้อมดลูกหย่อนกว่าปกติ
มารดาครรภ์หลังที่มีประวัติการคลอดช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะการหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี
มารดาครรภ์แฝดและในรายที่มีน้ำคร่ำมาก หรือทารกตัวโต ทำให้มดลูกถูกดันยืด
มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ขณะลูกดูดนมจะมีการหลั่งออกซิโทซิน ทำให้มดลูกหดตัวถี่ขึ้น
การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการปวดมดลูก
อธิบายกลไกความปวด เป็นอาการที่พบได้ใน 1 - 2 วันแรกหลังคลอด โดยเฉพาะมารดาที่เคยผ่านการคลอดมาก่อนจะปวดมากกว่าครรภ์แรก
ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง โดยกระตุ้นให้ปัสสาวะทุก 3 - 4 ชั่วโมง
แนะนำให้นอนคว่ำ ใช้หมอนรองใต้ท้องน้อยทำให้มดลูกถูกกด เป็นการกระตุ้นมดลูกให้หดตัวและน้ำคาวปลาไหลสะดวก
ไม่ควรประคบด้วยความร้อนบริเวณหน้าท้องในวันแรก จะทำให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้
ให้รับประทานยาแก้ปวดก่อนให้นมบุตรอย่างน้อย 30 นาที หามีอาการปวด
รายงานแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษา คือหากปวดนานกว่า 72 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง
ท้องผูก ( Constipation )
อาการท้องผูก พบได้บ่อย 2 - 3 วันแรกหลังคลอด
สาเหตุเกิดจากอิทธิพลของ Progesterone ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง
การขับถ่ายอุจจาระจะทำได้ปกติใช้เวลาประมาณ 8 - 14 วันหลังคลอด
การพยาบาลเพื่อป้องกันและแก้ไขอาการท้องผูก
กระตุ้นให้มีการ Early ambulation และบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
แนะนำให้รับประทานผักและผลไม้ เพิ่มกากใย
แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 - 10 แก้วต่อวัน หรือ มากกว่า 2500 ซีซี ต่อวัน
แนะนำวิธีการบรรเทาอาการไม่สุขสบายจากการปวดแผลฝีเย็บ เพื่อให้มารดากล้าเบ่งอุจจาระได้มากขึ้น
กรณีท้องผูก 3 - 4 วันขึ้นไป รายงานแพทย์พิจราณาให้ยาระบายอ่อนๆ
เจ็บแผลฝีเย็บ
เกิดจากการตัดฝีเย็บหรือการฉีกขาดของฝีเย็บส่งผลให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บซึ่งความเจ็บปวดแผลฝีเย็บในมารดาแต่ละคนมีระยะเวลาและระดับความเจ็บปวดที่แตกต่างกันออกไป
การประเมินแผลฝีเย็บ
ใช้ Nummeric pain rating scale และตารางเรียกว่า RRDA
Redness
Edema / swelling
Ecchymosis / bruising
Drainage / Discharge
Approximation
การพยาบาล
การวางถุงน้ำแข็ง
ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด หากมีอาการปวดฝีเย็บหรือแผลฝีเย็บบวม
การนั่งแช่ก้น (Sitz bath)
การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่น (Hot sitz bath)
การนั่งแช่ก้นในน้ำเย็น (Cool sitz bath)
การใช้ยาแก้ปวด
การอบแผลฝีเย็บด้วย Infra red light
ช่วยลดอาการบวมของแผลฝีเย็บ
การลดแรงกดที่แผลฝีเย็บ
ท่านอนตะแคงจะช่วยป้องกันแรงกดที่แผลฝีเย็บ
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
การทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมีความแข็งแรง
การใช้สมุนไพร
ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)
เป็นผลต่อเนื่องจากอาการท้องผูก (Constipation) เมื่อท้องผูกบ่อยอาจเกิดริดสีดวงทวารได้ เนื่องจากเส้นเลือดดำขยายตัวและมีแรงดันในเส้นเลือดดำสูงเกิดการดูดซึมกลับของน้ำมากขึ้น
การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการปวดริดสีดวงทวารอักเสบ
กระตุ้นให้มีการ Early ambulation และบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
แนะนำให้รับประทานผักและผลไม้ เพิ่มกากใย
แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 - 10 แก้วต่อวัน หรือ มากกว่า 2500 ซีซี ต่อวัน
ดูแลทำ Hot sitz bath เพื่อทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ลดการอักเสบ
กรณีท้องผูก 3 - 4 วันขึ้นไป รายงานแพทย์พิจราณาให้ยาระบายอ่อนๆ
แนะนำให้นอนในท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ (sim's position) ลดการกดทับริดสีดวงทวารและส่งเสริมให้สุขสบายมากขึ้น
ปัสสาวะลำบาก (Dysuria)
ความหมาย
การที่หญิงหลังคลอดปัสสาวะไม่ออก หรือ ออกเพียงเล็กน้อย ภายหลังการคลอดทางช่องคลอด หรือภายหลังถอดสายสวนปัสสาวะ ภายใน 6 ชั่วโมง
ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
การคลอดยากและยาวนาน
การใช้หัตถการช่วยคลอด
การใช้ยาระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง
ศีรษะทารกกดท่อทางเดินปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้ท่อปัสสาวะบวม บาดเจ็บ ส่งผลให้ปัสสาวะไม่ออก หรือออกน้อย
การส่งเสริมและการช่วยเหลือการขับถ่ายปัสสาวะของมารดาหลังคลอด
ในระยะ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ควรกระตุ้นมารดาให้ปัสสาวะทุก 4 - 6 ชั่วโมง เพื่อที่จะไม่ขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก ภายใน 6 ชั่วโมงควรปัสสาวะเนื่องจากมีปัสสาวะมากพอสมควร
ภายใน 6 - 8 ชั่วโมงหลังคลอดปัสสาวะออกน้อย
สวนปัสสาวะทิ้งและติดตามการขับปัสสาวะ
สวนปัสสาวะแล้วพบปัสสาวะค้างมากกว่า 150 มิลลิลิตร อาจสวนคาไว้ 12 - 24 ชั่วโมง
ครบ 24 ชั่วโมงหลังใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้
ทดลองเอาสายสวนออก ให้มารดาดื่มน้ำให้เพียงพอ และสังเกตการถ่ายปัสสาวะ ภายใน 6 ชั่วโมงหลังถอดสายสวน ร้อยละ 90 ของมารดาหลังคลอด ปัสสาวะได้เองปกติ
กรณีไม่สามารถถ่ายปัสสาวะเองได้
แพทย์อาจพิจารณาใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ 48 ชั่วโมง หากยังไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะเองได้หลังถอดสวนปัสสาวะ อาจส่งปรึกษาศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ