Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคออติสติก (Autism Spectrum Disorder: ASD) - Coggle Diagram
โรคออติสติก
(Autism Spectrum Disorder: ASD)
เป็นความผิดปกติของพัฒนาการเด็กซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว โดยเด็กไม่สามารถพัฒนาทักษะทางสังคมและการสื่อความหมายได้เหมาะสมตามวัย มีลักษณะพฤติกรรมกิจกรรม และความสนใจ เป็นแบบแผนซ้ำๆ จำกัดเฉพาะบางเรื่อง และไม่ยืดหยุ่น ปัญหาดังกล่าวเป็นตั้งแต่เล็ก ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการดำรงชีวิต
1) ความบกพร่องอย่างรุนแรงในด้านทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันกับบุคคลอื่นในสังคม
2) ความบกพร่องด้านภาษา และการติดต่อสื่อสาร
3) มักทำกิจกรรมซ้ำๆ เฉพาะที่ตนเองสนใจ
สาเหตุ
1 ปัจจัยทางพันธุกรรม
มีความสัมพันธ์กับยีนหลายตำแหน่ง ร้อยละ 1 ของเด็กโรคออทิสติกเป็น Fragile x syndrome และร้อยละ 2 เป็น Tuberous sclerosis (Autosomal dominant)
2 ปัจจัยทางชีวภาพ
ร้อยละ 4-32 ของเด็กจะมีภาวะ Grand mal seizure และตรวจพบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองร้อยละ 10-80
3 ปัจจัยทางกายวิภาค
จาก MRI พบว่า ส่วนของสมองที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่ Occipital, Parietal และ Temporal lobe
4 ปัจจัยทางชีวเคมี
พบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยมีระดับความเข้มข้นของ Serotonin ในเลือดสูง และความเข้มข้นของHomovanillic acid ใน CSF สูง แต่ลักษณะดังกล่าวไม่จำเพาะกับโรคนี้
5.ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychological factors)
การเลี้ยงดู ซึ่งในปัจจุบันเชื่อว่าเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เด็กออทิสติกมีอาการมากขึ้นหรือช่วยให้อาการของเด็กออทิสติกดีขึ้นได้
อาการและอาการแสดง
1) ความบกพร่องในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Impairment in social interaction)
ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว เช่น เรียกแล้วไม่หัน
การเพ่งและการมองจะแปลกกว่าเด็กอื่น สบตาน้อย
ไม่ค่อยเข้าใจกับกฎเกณฑ์ของสังคม
ชอบเล่นคนเดียว ไม่เล่นกับเด็กอื่น เข้ากับเพื่อนได้ยาก
การมีปฏิสัมพันธ์ทางเดียว เช่น พูดในสิ่งที่สนใจคนเดียวไม่สนใจเรื่องที่คนอื่นพูด
มีบุคลิกที่ไม่เป็นธรรมชาติ เช่น แสดงอาการแปลก งุ่มง่าม หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล
2) การสื่อสารกับผู้อื่นทั้งการพูดและภาษาท่าทาง (Verbal and Non-verbal communication)
ไม่พูดหรือเริ่มพูดช้า แต่มีรูปแบบของการท่องจำซ้ำ ๆ และไม่สื่อความหมาย
ไม่เข้าใจความหมายของการพูด เช่น ไม่เข้าใจว่าเป็นประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบ แต่ตอบโดยพูดตาม (Echolalia)- เลี่ยงการสบตา พูดในสิ่งที่ตัวเองสนใจ
เรียกแล้วไม่หัน (เหมือนหูตึง)
ไม่มีความเข้าใจในการแสดงออกของสีหน้า
มีปัญหาในการสื่อสารทางภาษากาย เช่น ผงกหัว ส่ายหน้า
บางครั้งเมื่อแสดงความต้องการไม่ได้ก็จะจับมือผู้อื่นไปทำในสิ่งที่ต้องการ
3) พฤติกรรมและความสนใจแบบจำเพาะซ้ำๆเดิมเพียงไม่กี่ชนิด (Restricted,repetitive and stereotypic behaviors and interests)
อาจเป็นพฤติกรรมทางกายและการเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความสนใจในกิจกรรมหรือสิ่งของไม่กี่ชนิด เช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ ในเด็กโตจะมีความสนใจในบางเรื่องมากผิดปกติ มีความหมกมุ่นกับ เรื่องนั้นอย่างมาก จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนั้นและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้
อาการบ่งชี้ที่ควรสังเกต เพื่อรีบส่งตัวเด็กมารับการตรวจรักษาโรคออทิสติก 1.สื่อสารโดยใช้นิ้วชี้สิ่งของที่สนใจแทนการพูดบอกสิ่งที่ต้องการ
มักจ้องมองเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เล่นสมมุติไม่เป็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กไม่มีจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
ไม่ตอบสนอง หรือสนใจเมื่อถูกเรียกชื่อ
ไม่อวดสิ่งของกับผู้อื่น
ไม่มีความสนใจร่วมกับคนอื่น
การวินิจฉัยโรค
มีความบกพร่องอย่างต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสาร และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในบริบทต่าง ๆ โดยมีอาการแสดงทั้งในปัจจุบัน และจากประวัติ
บกพร่องในการมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์ซึ่งกันและกันในสังคม เช่น มีความผิดปกติด้านการปฏิบัติต่อผู้อื่นในสังคม และไม่สามารถสนทนาโต้ตอบกับบุคคลอื่นได้ตามปกติ โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนสิ่งที่สนใจ อารมณ์ และไม่สามารถ เริ่มต้นการมีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
บกพร่องด้านการแสดงพฤติกรรมในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นในสังคม
เช่น ไม่สามารถบูรณการเข้าด้วยกันทั้งการติดต่อสื่อสารแบบใช้และไม่ใช้คำพูด โดยไม่มีการสบตาและแสดงภาษาท่าทาง
3.บกพร่องในการพัฒนา การเข้าใจ และคงไว้ซึ่งสัมพันธภาพเช่น มีพฤติกรรมการปรับตัวให้เหมาะสมกับบริบททางสังคมได้ยาก
รูปแบบของพฤติกรรมที่ทำซ้ำ ๆ ความสนใจ และกิจกรรมต่าง ๆ มีรูปแบบจำกัด โดยแสดงออกอย่างน้อย 2 ลักษณะ
1.แสดงการเคลื่อนไหว การใช้วัตถุ และการพูดซ้ำ ๆ ในรูปแบบเดิม ๆ เช่น การเรียงของเล่นต่อ ๆ กัน การหมุนสิ่งของ
2.ยืนกรานทำสิ่งเดิม ๆ ยึดติด และขาดความยืดหยุ่นในการทำกิจวัตรประจำวันหรือรูปแบบการใช้คำพูดและไม่ใช้คำพูดเช่น จะแสดงอาการทนไม่ได้อย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแม้จะเพียงเล็กน้อย
3.มีความสนใจที่จำกัดอยู่ไม่กี่เรื่อง และไม่เปลี่ยนแปลงในเรื่องที่สนใจ เช่น รู้สึกผูกพันอย่างมากและหมกมุ่นในสิ่งของที่คนทั่วไปไม่สนใจ
4.มีปฏิกิริยาตอบสนองความรู้สึกทั้งมาก และน้อยเกินไป หรือสนใจรับรู้ลักษณะต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมอย่างผิดปกติ เช่น ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างความเจ็บปวดและอุณหภูมิ
ความผิดปกติเหล่านี้ ไม่ใช่ผลจากการมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา หรือการมีพัฒนาการล่าช้า แต่ภาวะบกพร่องทางสติปัญญามักพบร่วมกับโรคออทิสติก ซึ่งมีการติดต่อสื่อสารทางสังคมต่ำกว่าระดับพัฒนาการของเด็กปกติทั่วไป
การรักษา
จุดมุ่งหมาย
การลดอาการที่แสดงออกทางพฤติกรรม เช่น พฤติกรรมการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ และการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการโดยเฉพาะการพัฒนาทักษะด้านภาษา ซึ่งรวมทั้งการศึกษาพิเศษและการฝึกพูด (Speech therapy)
การใช้เทคนิค Floor time ซึ่งเป็นเทคนิคที่จะช่วยพัฒนาอารมณ์และสังคมให้เหมาะสมโดยเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล และการพัฒนาที่เริ่มจากการสร้างสัมพันธภาพ
การรักษาด้วยยา
ยาต้านโรคจิต Risperidone, Chlorpromazine, Theoridazine และ Haloperidol ในการรักษาพฤติกรรมก้าวร้าวทำร้ายตนเอง ซน อยู่ไม่นิ่ง ที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และผู้อื่น ซึ่งยากลุ่มนี้จะช่วยลดพฤติกรรมทำซ้ำๆ กระวนกระวาย โดยใช้ร่วมกับยากันชัก
ยาต้านเศร้าในกรณีที่มีอารมณ์ซึมเศร้าร่วมด้วยเช่น Fluoxetine, Fluvoxamine, Sertraline และ Clomipramine
ยาคลายกังวล ช่วยลดความวิตกกังวลและมีส่วนช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
ยาในกลุ่มอื่นๆ เช่น ยากันชัก และวิตามินบี 6
กระบวนการพยาบาล
1.เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง ของระบบประสาท/ มีประวัติเคยมีพฤติกรรมทำร้ายตนเอง เมื่อมีความวิตกกังวลเพิ่มขึ้น/ มี อาการทางประสาท เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม
วัตถุประสงค์:
ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (เช่น เริ่มต้นมีปฏิสัมพันธ์กับพยาบาล)
ในการตอบสนองต่อความวิตกกังวล
ผู้ป่วยไม่ทำร้ายตนเอง
กิจกรรมการพยาบาล
เช้าไปขัดขวาง โดยปกป้องผู้ป่วยเมื่อแสดงพฤติกรรมการทำร้ายตนเอง เช่น การฟาดที่ศีรษะตนเอง หรือแสดงอาการทางประสาท
ให้ผู้ป่วยสวมหมวกกันน็อค เพื่อป้องกันผู้ป่วยฟาดที่ศีรษะตนเอง ใส่ถุงมือเพื่อป้องกันการดึงผมและใช้เบาะหรือนวม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของแขนขา ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการ ทางประสาท
ลดความวิตกกังวลที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมทำร้ายตนเอง
คงผู้ดูแลผู้ป่วยคนเดิมไว้ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ
อยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วย ในช่วงเวลาที่ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเพิ่มขึ้น เพื่อลดพฤติกรรม การทำร้ายตนเอง และให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ผู้ป่วย
การประเมินผล
ความวิตกกังวลของผู้ป่วยยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิดการทำร้ายตนเอง
2.เมื่อรู้สึกวิตกกังวล ผู้ป่วยจะเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับพยาบาล
1) การดูแลความปลอดภัย
2) การกระตุ้นพัฒนาการ
3) การให้คำปรึกษาครอบครัว
4) การเล่นเพื่อการบำบัด
5) พฤติกรรมบำบัด
6) ครอบครัวบำบัด
7) การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
8) โภชนาบำบัด
9) การสอนทางสุขภาพ
2.บกพร่องด้านการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เนื่องจากมโนภาพแห่งตนถูกเบี่ยงเบน (ไม่บรรลุวุฒิภาวะ)/ มีความผิดปกติของระบบประสาท
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยแสดงความไว้วางใจต่อผู้ดูแลเพียง 1 คน (โดยการจ้องหน้า และสบตา)
ผู้ป่วยเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (ด้านร่างกาย การใช้คำพูด และไม่ใช้คำพูด) กับผู้ดูแล
กิจกรรมการพยาบาล
การสร้างสัมพันธภาพแบบหนึ่งต่อหนึ่งกับผู้ป่วย
ให้ผู้ป่วยอยู่กับสิ่งของที่คุ้นเคย เช่น ของเล่น หรือผ้าห่มที่ชอบที่สุด เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยในช่วงเวลาที่ผู้ป่วยมีความเครียด
แสดงท่าทีที่อบอุ่น ยอมรับ และพร้อมที่จะให้บริการ เพื่อเติมเต็มความต้องการพื้นฐานของผู้ป่วย ส่งเสริมและคงไว้ซึ่งสัมพันธภาพของการไว้วางใจ
ไม่ควรเร่งรัดในการสร้างสัมพันธภาพ เริ่มต้นโดยการเสริมแรงทางบวกโดยการสบตา การสัมผัสอย่างค่อยเป็นค่อยไป การยิ้มให้และการกอด