Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหา ระบบหัวใจและหลอดเลือด, นางสาวภัชราภรณ์…
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหา
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
1. กลุ่มที่มีการไหลลัดของเลือดจาก
หัวใจซีกซ้ายไปซีกขวา (left to right shunt)
Ventricular Septal Defect
(VSD)
อาการและอาการแสดง
มีอาการเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลาดูดนม
มีเหงื่อออกมาก
ตัวเล็กหรือเลี้ยงไม่โต
พัฒนาการอาจจะปกติหรือล่าช้า
ติดเชื้อในระบบหายใจได้บ่อยๆ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้นระหว่าง เวนตริเคิล เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้น
เวนตริเคิล(ventricular septum) ที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดทางติดต่อระหว่างเวนตริเคิลซ้ายและขวา
Atrial Septal Decfect
(ASD)
อาการและอาการแสดง
เด็กที่มี ASD ทั้งในเด็กเล็กและเด็กโต มักจะไม่มีอาการแสดงหรืออาการที่ผิดปกติ
บางรายอาจจะมีการติดเชื้อในระบบหายใจ
มีการเจริญเติบโตช้า
อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเวลาออกแรงหรือออกกำลังกาย
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้นระหว่างเอเตรียม
เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเอเตรียม ที่ไม่สมบูรณ์
Patent Ductus Arteriosus (PDA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีเลือดไปปอดมาก ซึ่งมีความผิดปกติ คือ หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่ภายหลังเด็กเกิด ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างหลอดเลือดแดงพัลโมนารี และหลอดเลือดเอออร์ต้าส่วนที่จะไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่าง (descending aorta) โดยทั่วไปหลอดเลือด ductus arteriosus จะฝ่อแข็งกลายเป็นพังผืด (ligament) ทำให้เกิดการปิดของหลอดเลือด ductus arteriosus ภายหลังเด็กเกิดได้ 1-4 สัปดาห์
สาเหตุ
การเกิดก่อนกำหนด ทำให้หลอดเลือด ductus arteriosus ในทารกที่เกิด มีการหดตัวตอบสนองต่อความเข้มข้นของออกซิเจนที่เหลืออยู่ในกระแสเลือดได้ไม่ดี หรือปอดของทารกที่เกิดก่อนกำหนดยังเจริญไม่เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถขจัด prostaglandin ในกระแสเลือดออกได้หมด ทำให้เกิดการเปิดของหลอดเลือด ductus arteriosus หลังคลอดได้
ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ ส่งผลให้หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่หลังคลอด
การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เชื้อไวรัสจะไปขัดขวางการสร้าง arterial elastic tissue
ซึ่งจะเจริญต่อไปเป็นหลอดเลือด ductus arteriosus จึงมีโอกาสที่จะเกิดการเปิดของหลอดเลือด ductus artriosus ได้มากขึ้น
อาการและอาการแสดง
PDA ขนาดเล็กมักจะไม่มีอาการผิดปกติ
PDA ขนาดใหญ่ มักจะมาด้วยอาการของหัวใจซีกซ้ายวาย
มีอาการหายใจเร็ว เหงื่อออกมากเวลาดูดนม เหนื่อยหอบ น้ำหนักขึ้นช้า
2.กลุ่มที่มีการอุดกั้นการไหลของเลือด (obstructive lesions)
Aortic stenosis (AS)
อาการและอาการแสดง
ในพวกที่ลิ้นตีบมากอาจจะมีอาการอ่อนเพลียง่ายเวลาเล่น เจ็บหน้าอก
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้นเอออร์ติค หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลซ้าย
ทำให้เวนตริเคิลซ้ายบีบตัวส่งเลือดแดงผ่านลิ้นเอออร์ติคที่ตีบไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
Pulmonary Stenosis
(PS)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้นพัลโมนารี หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลขวา
ทำให้เวนตริเคิลขวาบีบตัวส่งเลือดดำผ่านลิ้นพัลโมนารีที่ตีบไปปอดได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอาการแสดง
moderate PS และ severe PS ภาวะหัวใจวาย หรืออาการเขียวเล็กน้อย
มีอาการเหนื่อยง่าย หรือเจ็บแน่นหน้าอก
จะเป็นมากขึ้นเวลาออกกำลังกาย
บางรายอาจจะมีอาการเป็นลมหมดสติ
Coarctation of the Aorta
(CoA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการคอดหรือการตีบแคบที่หลอดเลือดเอออร์ต้าตรงบริเวณหลอดเลือด ductus arteriosus
มาเชื่อมกับหลอดเลือดเอออร์ต้า ทำให้เลือดไหลจากหลอดเลือดเอออร์ต้าไปเลี้ยงร่างกายส่วนบน และลงสู่ส่วนที่ไปเลี้ยงร่างกาย
ส่วนล่างได้ไม่สะดวก จึงพบว่า ความดันโลหิตของแขนสูงกว่าขา
อาการและอาการแสดง
หายใจแรงและเร็ว เหนื่อยหอบ เหงื่อออกมาก
ดูดนมช้า เลี้ยงไม่โต
ตรวจพบชีพจรที่ขาทั้ง 2 ข้างเบากว่า
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ
ดูดนมแล้วเหนื่อย ต้องหยุดเป็นช่วง ๆ มีหายใจแรง เหงื่ออกมาก กระสับกระส่าย มีอาการเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า
ตัวซีด ตัวเล็ก น้ำหนักน้อย น้ำหนักขึ้นช้าหรือโตช้า พัฒนาการอาจล่าช้า
เด็กโตมักมีประวัติอ่อนเพลีย เคยมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
ติดเชื้อในระบบหายใจได้บ่อย
มีประวัติเป็นลม หรือมีอาการหน้ามืด
2.การตรวจร่างกาย
อาการเขียว หรือสีผิวเขียวคล้ำ
หายใจเร็ว(tachypnea)
อาการหายใจลำบาก(dyspnea)
หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
เหนื่อยง่ายเวลาที่มีกิจกรรม (exercise tolerance)
เหงื่อออกมากผิดปกติ (excessive perspiration)
อาการบวม (edema)
อาการเจ็บหน้าอก (chest pain)
ผู้ป่วยมีอาการเป็นลมหมดสติ
อาการเจ็บบริเวณขา
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
บิดามารดาหรือผู้ป่วยโรคหัวใจที่เป็นเด็กโตมักจะวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.เนื้อเยื่อของร่างกายมีโอกาสได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
เนื่องจากประสิทธิการทำงานของหัวใจลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
จำกัดกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย และดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง (semi-Fowler’s position)
ดูแลให้ออกซิเจนเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจน
ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนรสจืด หรือเค็มน้อย
แนะนำมารดาในการประกอบและปรุงอาหารให้บุตร ควรหลีกเลี่ยงการเติมน้ำปลา ซีอิ้ว ซ๊อส ผงชูรสและเกลือในอาหาร
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาจำพวกดิติตาลิสตามแผนการรักษา
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และประเมินการทำงานของหัวใจ
เช่น สีผิว ลักษณะของการหายใจ
ประเมินการสะสมน้ำในร่างกายของผู้ป่วย
2.ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นลมหมดสติ เนื่องจากสมองได้รับ
ออกซิเจนไม่เพียงพอ จากการที่มีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
กิจกรรมการพยาบาล
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
แนะนำผู้ป่วยให้จำกัดกิจกรรมที่ต้องออกแรง
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเป็นลม ให้การดูแล
จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ และยกปลายเท้าให้สูงกว่า
ปลดเสื้อผ้าให้หลวมเพื่อให้ปอดขยายตัว
สังเกตและบันทึกชีพจร และความดันเลือด
3.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปอด เนื่องจากมีเลือดไปปอดมาก
กิจกรรมการพยาบาล
การรักษาความสะอาดของปากฟัน
ดูแลให้ผู้ป่วยมีสุขวิทยาส่วนบุคคล
ดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาด
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
4.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เนื่องจากมีความผิดปกติ
ของหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้มีการไหลลัดของเลือด
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลรักษาความสะอาดของปากฟัน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะก่อนการรับ การทำฟัน การขูดหินปูน การถอนฟัน
สังเกตและติดตามประเมินอาการแสดงของภาวะเยื่อบุหัวใจอักเสบ
เช่น มีไข้ต่ำเป็นเวลาหลายวัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
5.ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีการเจริญเติบโตที่ไม่สมวัย
หรือต่ำกว่าเกณฑ์ เนื่องจากดูดนม/รับประทานอาหารได้น้อย
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนช่วงสั้น ๆ ก่อนมื้อนม/อาหารเพื่อสะสมพลังให้เพียงพอที่จะใช้การดูดนม/เคี้ยวกลืนอาหาร
ในเด็กโตควรได้รับอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีจำนวนแคลอรีสูงกว่าปกติ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
ดูแลให้นมแก่ผู้ป่วยตามแผนการรักษา โดยให้มื้อละปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง
สังเกตและบันทึกปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน
ในรายที่ผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย
หรือดูดนมได้ไม่หมดบ่อยครั้ง ควรรายงานแพทย์ทราบ
ติดตามชั่งน้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพื่อประเมินภาวะโภชนาการ
แนะนำให้มารดากระตุ้นให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหว และช่วยเหลือตนเองในการรับประทานอาหารเอง
6.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย การเคลื่อน
ไหวร่างกาย แขน ขา จึงมีน้อย หรือในเด็กเล็กบางรายที่มีอาการหายใจลำบาก
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินพัฒนาการของเด็ก
วางแผนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
ให้ข้อมูลแก่บิดามารดาเกี่ยวกับพัฒนาการของบุตร
7.บิดามารดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติ
ของหัวใจและหลอดเลือดตั้งแต่กำเนิดของบุตร
กิจกรรมการพยาบาล
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติ
ให้ข้อมูลแก่บิดามารดาเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของบุตร
สนับสนุนให้บิดามารดาอุ้มชู และกอดรัดบุตรให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ จะช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดี
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียว
1.กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อย
อาจมีภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
Tetralogy of Fallot
(TOF หรือ TF)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือด
ไปปอดน้อยมีความผิดปกติ 4 อย่าง
3.ตำแหน่งของลิ้นเอออร์ติคเลื่อนไปทางด้านขวา (overriding aorta หรือ dextroposition of the aorta)
4.มีการหนาตัวของเวนตริเคิลขวา (right ventricular hypertrophy)
2.ผนังระหว่างเวนตริเคิลมีรูรั่ว (VSD) ขนาดใหญ่
การตีบของลิ้นพัลโมนารี (pulmonic stenosis)
Pulmonic atresia
(PA) ลิ้นพัลโมนารี
Tricuspid atresia
(TA) ลิ้นไตรคัสปิดตัน
2.กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดมาก
อาการเขียว และมีภาวะหัวใจวาย
Transposition of the
Great Arteries (TGA)
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวมากตั้งแต่แรกเกิด ภายใน 2-3 วันแรกหลังเกิด
หอบเหนื่อย อาการของหัวใจวาย เพราะ foramen ovale และ PDA
ซึ่งเป็นทางติดต่อของการไหลเวียนเลือดระหว่าง 2 วงจร ได้ปิดตัวลง
ในรายที่มี VSD ร่วมด้วย มีอาการเหนื่อย อาการของหัวใจวาย
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือดไปปอดมากซึ่งพบได้บ่อยที่สุด มีความผิดปกติ คือ มีการสลับที่กัน
ของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจ ได้แก่ หลอดเลือดเอออร์ต้าและหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
โดยหลอดเลือดเอออร์ตัวออกจากเวนตริเคิลขวา และหลอดเลือดแดงพัลโมนารีออกจากเวนตริเคิลซ้าย
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ
มีอาการเขียวเป็นพัก ๆ และหายใจหอบลึก หอบเหนื่อยจนเป็นลมหมดสติ
มีประวัติชอบนั่งยอง ๆ เวลารู้สึกเหนื่อย
มีอาการปวดศีรษะ เนื่องจากภาวะ cerebral hypoxemia
2.การตรวจร่างกาย
อาการเขียวคล้ำทั่วร่างกาย
ภาวะเลือดข้น มีความเข้มข้นของออกซิเจนลดลง (hypoxemia)
นิ้วมือนิ้วเท้าปุ้ม
ตาขาวแดง
ท่านั่งยอง ๆ
ภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
ฝีในสมอง
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
ประเมินความวิตกกังวล ของผู้ป่วยและบิดามารดาเกี่ยวกับการเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจน ร่วมกับอาการเขียวทั่วตัวของเด็ก
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
8.ผู้ป่วยมีภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
เนื่องจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ออกซิเจน
จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าเข่าชิดอก
ดูแลให้ผู้ป่วยสงบโดยเร็วที่สุด
ติดตามค่าความเข้มข้นของออกซิเจน
ดูแลให้ยาที่ทำให้ผู้ป่วยสงบตามแผนการรักษา เช่น chloral hydrate
ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
9.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ
สมองขาดออกซิเจนได้ง่าย
กิจกรรมการพยาบาล
ควบคุมและจำกัดกิจกรรมต่าง ๆ
สังเกตอาการเริ่มของภาวะสมองขาดออกซิเจน ได้แก่ กระสับกระส่าย
มีหายใจเร็วขึ้นและแรงขึ้น จนหอบเหนื่อยมากขึ้น และมีอาการเขียว
ดูแลผู้ป่วยไม่ให้มีอาการท้องผูก
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ดื่มน้ำอย่างเต็มที่
สังเกตและบันทึกปริมาณน้ำดื่ม
ในรายที่มีไข้ ควรดูแลเช็ดตัวและให้ยาลดไข้
ติดตามผลการเจาะเลือดฮีมาโตคริท
ดูแลให้ยาเสริมธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
10.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการอุดตันของหลอดเลือดฝอยในร่างกายได้ เช่น หลอดเลือดฝอย โดยเฉพาะในหลอดเลือดฝอย
ที่สมองเนื่องจากมีภาวะเลือดข้น
กิจกรรมการพยาบาล
ช่วยเปลี่ยนท่าและพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
สังเกตและบันทึกจำนวนน้ำดื่มและจำนวนปัสสาวะ
ติดตามฟังเสียงปอดเป็นระยะ ๆ
สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ผิวหนังบริเวณแขน
ขาเย็น สีผิวคล้ำขึ้น มีอาการปวดหรือชา
11.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดฝีในสมองได้ เนื่องจากมีความผิดปกติของหัวใจ
และหลอดเลือด ทำให้เลือดบางส่วนไม่ได้ส่งไปฟอกที่ปอด
กิจกรรมการพยาบาล
สังเกตอาการเปลี่ยน มีไข้ต่ำ ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย
ดูแลให้ยารักษาประคับประคอง เช่น ให้ยาลดไข้ และยากันชัก
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ในรายที่เป็นฝีในสมองดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ให้ข้อมูลและเตรียมผู้ป่วยสำหรับการเข้ารับการผ่าตัดเอาหนองจากฝีในสมองออก
ให้คำแนะนำผู้ป่วยและบิดามารดาเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อที่ผิวหนัง
บันทึกสัญญาณชีพ 4 ชั่วโมง
ในรายที่สงสัยว่าเกิดเป็นฝีในสมอง ควรประเมินทางระบบประสาทของผู้ป่วย เช่น อาเจียน เห็นภาพซ้อน สังเกตระดับความรู้สึก ชัก
การพยาบาลผู้ป่วยเด็ก
โรคหัวใจที่เกิดภายหลัง
Infective endocarditis
(IE)
การอักเสบซึ่งเกิดจากการติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจชั้นในสุด หรือเยื่อบุผิวภายในหัวใจ หรือลิ้นหัวใจ
หรือเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือหลอดเลือดแดงของหัวใจ นอกจากนี้อาจพบในลิ้นหัวใจเทียม ผนังหัวใจที่ผิดปกติ
สาเหตุ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา ริคเกทเซีย (rickettsia) หรือไวรัส แต่มักมีสาเหตุ
มาจากแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ Streptococcus viridans, Staphylococcus aureus
ระบาดวิทยา
1.กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิดทั้งชนิดที่มีอาการเขียวและไม่เขียว
โดยมักพบการติดเชื้อที่หัวใจซีกขวามากกว่าหัวใจซีกซ้าย
2.กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง เช่น โรคหัวใจรูห์มาติคที่มีพยาธิสภาพ หรือการทำลายที่ลิ้นหัวใจ และมีการยื่นย้อยของลิ้นไมตรัล
3.กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่ได้รับการผ่าตัด
4.กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การทำฟัน การใส่สายสวนปัสสาวะ การเจาะเลือด
การใส่สายในหลอดเลือดดำใหญ่ รวมทั้งการใส่สายตรวจต่าง ๆ เพื่อการรักษา
อาการและอาการแสดง
เสียงฟู่ของหัวใจ (heart murmur)
ม้ามโต กดไม่เจ็บ อาจพบตับโต
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย
มีไข้ ลักษณะไข้ต่ำ ๆ
การตายของสมอง
ภาวะซีด
การรักษา
ควรติดตามเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อในเลือดเป็นระยะ ๆ
ตรวจสอบหาแหล่งของการติดเชื้อที่ทำให้เกิด IE เช่น ฟัน ทางเดินปัสสาวะ
ให้ยาปฏิชีวนะในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ
การป้องกัน
เป็นการให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหรือหลังการทำหัตถการที่มีโอกาสเสี่ยงต่อ
การติดเชื้อในกระแสโลหิตเพิ่มขึ้น เช่น การทำฟัน การะเจาะเลือด
การให้สารน้ำทางหลอดดำ การใส่สายสวนปัสสาวะ การตัดต่อมทอนซิล
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ ควรซักประวัติเกี่ยวกับแหล่งของการติดเชื้อ อาการและอาการแสดง
เช่น มีไข้ต่ำ ๆ เป็นช่วง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ความรู้สึกไม่สบาย
2.การตรวจร่างกาย ตรวจร่างกายพบเสียงฟู่ของหัวใจ
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
4.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ESR สูง เม็ดเลือดขาวสูง ปัสสาวะมีเลือดปน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.มีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ
เช่น ที่ลิ้นหัวใจต่าง ๆ
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยตามแผนการรักษา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้นอนพักผ่อน เพื่อลดการทำงานของหัวใจ
ดูแลให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบห้าหมู่โดยเป็น
อาหารที่อ่อน ย่อยง่าย และให้มีช่วงพักระหว่างรับประทานอาหารด้วย
สังเกตอาการข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ
สังเกตอาการข้างเคียงของโรค
จัดกิจกรรมการเล่นต่าง ๆ
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่า ESR จำนวนเม็ดเลือดขาว
2.อาจเกิดการติดเชื้อที่
เยื่อบุหัวใจซ้ำได้
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลสุขอนามัยรักษาความสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ
แนะนำบิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยให้ดูแลสุขภาพในช่องปาก
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันก่อนรับการหัตถการ
สังเกตอาการแสดง ที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อ
มาตรวจตามนัด
Rheumatic heart disease
(RHD)
การรักษา
1.ให้ยาปฏิชีวนะสำหรับกำจัดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ
2.ให้ยาสำหรับต้านการอักเสบของหัวใจและข้อ ได้แก่ salicylate และ steroid
3.ให้นอนพัก โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มี carditis และอาการหัวใจวาย ให้พักจนกว่าจะควบคุม
ภาวะหัวใจวายได้ ต่อมาค่อย ๆ เพิ่มการเคลื่อนไหวมากขึ้นในเวลา 3 เดือน
4.ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวาย ให้การรักษาโดยให้ยา digitalis เช่น digoxin ยาขับปัสสาวะ ยาลด
afterload ได้แก่ ยาขยายหลอดเลือดแดง รวมทั้งยา กลุ่ม angiotensin converting enzme inhibitor
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.กระเพาะเชื้อจากบริเวณคอ (thoat swab culture)
2.antistreptolysin O (ASO) ค่า ASO ในเลือดจะสูงขึ้นเพราะมีการสร้าง
แอนติบอดีต่อเชื้อมาก่อน ค่าปกติของ ASO อยู่ระหว่าง 0-120 Todd unit
การวินิจฉัยโรค
Jone’s criteria ได้แก่ 1. 2 major criteria 2. 1 major criteria และ 2 minor criteria
อาการและอาการแสดง
1.major criteria
Carditis, polyarthritis, chorea หรือ sydenham’s chorea, subcutaneous nodules, erythema marginatum
2.minor criteria
มีไข้ต่ำ ๆ, polyarthralgia มีอาการปวดข้อโดยไม่มีอาการอักเสบ, เลือดกำเดาไหล, ปวดท้อง รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย เหงื่อออกมาก เจ็บหน้าอกซีด และน้ำหนักลด, มีประวัติเคยเป็นไข้รูห์มาติค
โรคหัวใจรูห์มาติค เกิดตามหลังไข้รูห์มาติค (rheumatic fever) ซึ่งมีการติดเชื้อ
ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆได้ โดยเฉพาะทำให้
เกิดการอักเสบของหัวใจ ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวาย ตลอดจนลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้
ไข้รูห์มาติค(Rheumatic Fever) หมายถึง โรคที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น หัวใจ เนื้อเยื่อของข้อ
สมอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และผิวหนัง เป็นผลจาก autoimmune reaction มักเกิดตามหลังคออักเสบเนื่อง
จากเชื้อ β-hemolytic streptococcus group A โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายและลิ้นหัวใจมักถูกทำลาย
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจวาย
สาเหตุ
1.ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจากมีปริมาณเลือดในหัวใจ
เพิ่มขึ้นมากเกิดจากมีการรั่วไหลของเลือด ทำให้มีปริมาณเลือดในเวนตริเคิลมากขึ้น
กลุ่มที่มีการรั่วของลิ้นหัวใจ
กลุ่มที่มีเลือดไปปอดมากขึ้น
กลุ่มที่มีเลือดไหลลัดจากหัวใจซีกขวา
2.ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจากมีความดันในเวนตริเคิล
สูงกว่าปกติเกิดจากการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิล
3.ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจลดลง
4.จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ส่งผลให้ปริมาณเลือดไหลออกจากหัวใจลดลง
อาการและอาการแสดง
1.อาการของหัวใจซีกซ้ายวาย หายใจเร็ว ปีกจมูกบาน หายใจลำบาก หน้าอกบุ๋ม และมีการหดตัวของกล้ามเนื้อ
ที่ช่วยในการหายใจ ฟองหรือมีเลือดปน และฟังได้เสียง crepitation เนื่องจากมี pulmonary congestion
2.อาการของหัวใจซีกขวาวาย หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง หน้าบวม ตาบวม ตับโต บางรายอาจมี
ม้ามโต คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง แน่นอึดอัดท้อง แขนขาเย็น บวม
การรักษา
1.เพิ่มแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้หัวใจเต้นช้าลง อัตราการเต้นของหัวใจที่ลดลง ส่งผลให้มี cardiac output
เพิ่มขึ้น มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น และส่งผลต่อเนื่อง คือ ลดการคั่งของเลือดในหลอดเลือดฝอยที่ปอด
2.เพิ่มการขับปัสสาวะออกจากร่างกายมากขึ้น (diuresis) ทำให้ลดแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (afterload)
หัวใจจึงสามารถบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น
Kawasaki disease
(KD)
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
มีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น มีเม็ดเลือดขาวที่อายุน้อยมากขึ้นด้วย
เกล็ดเลือดสูงในสัปดาห์ที่ 2-3 เลือดจาง ESR และ C-reactive protein สูงขึ้น
มีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ เม็ดเลือดขาวสูงในน้ำไขสันหลัง
ระดับ transaminase และบิลิรูบินในซีรั่มสูงขึ้นเล็กน้อย
พยาธิสรีรวิทยา
มีการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี่และหลอดเลือดแดงขนาดกลางอื่นๆ และมี Platelet thrombi อุดหลอดเลือดแดง
อาการและอาการแสดง
ไข้ ตาแดง ปากแดง
การเปลี่ยนแปลงที่มือแดง เท้า ผื่น และต่อมน้ำเหลืองที่โต
ไข้
ส่วนใหญ่จะเป็นไข้สูงเป็นพักๆ โดยช่วงที่ไข้ลดมักจะไม่ลดลงจนเป็นปกติ ตามเกณฑ์การวินิจฉัย
โดยทั่วไปใช้เวลามีไข้ 5 วัน แต่ในรายที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดแดง Coronary ถ้าไม่ได้รับ
การรักษาที่เหมาะสม ไข้จะอยู่นานหลายสัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงที่มือและเท้า
เป็นลักษณะที่ไม่ค่อยเห็นในโรคอื่นๆ มือ เท้า จะบวม แดง
บางรายเจ็บชัดเจนตั้งแต่ข่วงแรกๆ ของโรค ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีไข้จะเห็นผิวหนังลอก
โดยเริ่มลอกบริเวณรอบๆเล็บมือ เล็บเท้า อาจลามมาจนลอกทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์
หลังจากเริ่มมีไข้อาจเห็นรอยขีดเล็กๆตามแนวขวางของเล็บ ที่เรียกว่า Beau Line
ตาแดง
จะเป็นทั้ง 2 ข้าง มักเห็นภายใน 2 - 4 วันแรกนับจากเริ่มมีไข้ การแดงจะเป็น
บริเวณตาขาวมาก รอบๆม่านตาจะไม่ค่อยแดง ไม่ค่อยมีขี้ตา และไม่ค่อยเจ็บ
ริมฝีปากแดงและแห้ง
เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกๆของโรค มีริมฝีปากแตก อาจมีเลือดออกด้วย
เยื่อบุในปากแดง แต่ไม่มีแผล ลิ้นจะแดงและมี prominent papillae ที่เรียกว่า “Strawberry tongue”
ต่อมน้ำเหลืองโต
มักพบที่ anterior cervical triangle มักเป็นข้างเดียว ขนาดตามเกณฑ์การวินิจฉัย
ต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1.5 ซม. ลักษณะค่อนข้างแข็ง สังเกตบริเวณที่ต่อมน้ำเหลืองโตจะพบว่า
ผิวหนังมักไม่แดงกว่าบริเวณรอบๆและกดไม่ค่อยเจ็บ
สาเหตุ
จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ริกเก็จเชีย และอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เด็กบางคนตอบสนองทางอิมมูนผิดปกติ ทำให้เกิดอาการขึ้น
การพยาบาล
13.การดูแลสุขภาพที่บ้าน
12.ลดความกลัวและวิตกกังวล
11.จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบสงบ
10.ลดความไม่สุขสบาย
1.ประเมินการทำงานของหัวใจและปอดและหลอดเลือด
2.ประเมินการไหลเวียนเลือดของแขนขา
3.วัดชีพจร
4.ดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยา
5.ตวงและบันทึกน้ำดื่ม ปัสสาวะ ในรอบ 24 ชั่วโมง
6.อาหารไม่เพียงพอทั้งทางปากและหลอดเลือดดำ
ชั่งน้ำหนักทุกวัน
8.ทำความสะอาดปาก ฟัน
9.ระวังการติดเชื้อของผิวหนัง
นางสาวภัชราภรณ์ หนูรอด เลขที่ 65 (62111301067) ชั้นปีที่ 2 รุ่นที่ 37