Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพของมารดาทารกในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด…
ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพของมารดาทารกในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะหลังคลอดปกติ
1.ปัจจัยส่วนบุคคลของมารดา
อายุ
อายุของสตรีตั้งครรภ์จะเป็นตัวกำหนดขอบเขตของพฤติกรรมการปฏิบัติตน เพื่อคงไว้ซึ่งภาวะ
สุขภาพ
ในวัยผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมการปฏิบัติตนเพื่อคงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพที่ดีกว่าสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นวัยรุ่น
เนื่องจากมีวุฒิภาวะมากกว่า
การตั้งครรภ์ที่เกิดกับสตรีตั้งครรภ์ที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะ หรือมีอายุน้อย (น้อยกว่า 16 ปี) ย่อมเกิดปัญหา
ได้มากมาย
ด้านการเจริญเติบโตของร่างกายยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ อาจทำให้การคลอดเป็นไปอย่าง
ลำบาก
ด้านจิตสังคมโอกาสที่จะให้ความสนใจต่อการปฏิบัติตนด้านสุขภาพก็มีน้อย
ขาดความพร้อม
ในการเตรียมบทบาทในการเป็นมารดา
น้ำหนักตัว และส่วนสูง
สตรีตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวน้อย อาจส่งผลให้ทารกในครรภ์มีน้ำหนักน้อย และเกิดภาวะ
เจริญเติบโตช้าในครรภ
สตรีตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักมากเกินไป (มากกว่า 80 กิโลกรัม) มีโอกาสเสี่ยงต่อ
การคลอดยาก หรือการคลอดติดขัด จากการที่ทารกมีน้ำหนักมากกว่าปกติได้
สตรีตั้งครรภ์ที่มีส่วนสูงต่ำกว่า 145 เซนติเมตร มีโอกาสเสี่ยงต่อการคลอดติดขัด เนื่องจากขนาดของทารกไม่สัมพันธ์กับเชิงกรานมารดา
ระดับการศึกษา
บุคคลที่มีการศึกษาสูง
ช่วยทำให้บุคคลมีความเข้าใจในเรื่องสุขภาพอนามัยดีขึ้น สามารถป้องกันไม่ให้ตนเองเจ็บป่วยได้ดีกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ำ ระดับการศึกษาจึงเป็นอีกปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะสุขภาพ เพราะการศึกษาทำให้บุคคลมีความเจริญงอกงามทางสติปัญญา มีความรอบรู้ มีเหตุผลและใฝ่รู้ขึ้น สามารถตัดสินใจหรือเลือกที่จะปฏิบัติตนเพ่อคงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพได้ดี
รายได้ หรือฐานะทางเศรษฐกิจ
สตรีตั้งครรภ์ที่มีรายได้สูงจะเอื้ออำนวยให้มีพฤติกรรมการปฏิบัติตน เพื่อคงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพที่
ดีได้ โดยได้รับอาหารที่เพียงพอ ตลอดจนเข้าถึงบริการได้อย่างเหมาะสม
สถานภาพสมรส
มีความสำคัญในแง่ของการได้รับการสนับสนุนให้มีพฤติกรรมปฏิบัติ
การได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากคู่สมรสจะเป็นตัวที่สามารถทำนายภาวะสุขภาพได้เป็นอย่างดีและยังพบว่าสตรีตั้งครรภ์มีความคาดหวังที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากสามีพอๆ กับที่ต้องการจากผู้อื่น
จำนวนครั้งของการคลอด
การคลอดครั้งแรกจะมีอัตราเสี่ยงอันตราย ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าการคลอดครั้งที่ 2-3 แต่ถ้ามีการคลอดมากกว่า 4 ครั้ง ก็จะทำให้อัตราเสี่ยงสูงขึ้นอีก
ระยะห่างของการตั้งครรภ์
ระยะห่างระหว่างการตั้งครรภ์น้อยกว่า 2 ปี จะมีอัตราเสี่ยงสูงเป็น 3 เท่า ของการตั้งครรภ์ห่างกัน 3 ปี เนื่องจากการตั้งครรภ์และคลอดที่ถี่เกินไป จะทำให้สุขภาพของมารดาหลังคลอดรวมถึงสตรี
ตั้งครรภ์เสื่อมโทรมลง
ภาวะสุขภาพสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย ฮีโมโกลบินผิดปกติ ภาวะบกพร่องเอนไซม์ G-6-PD เป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ทารกแรกเกิดมีความพิการแต่กำเนิด
ความเชื่อ ค่านิยม และพฤติกรรมของมารดา
ปัจจัยด้านความเชื่อ ค่านิยม
ความเชื่อในระยะตั้งครรภ์
การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน จะทำให้ทารกมีผิวพรรณดี ไม่มีไขมันติดตามลำตัวออกมาเวลาคลอดยัง
ไม่มีผลงานวิจัยยืนยันในเรื่องนี้
ห้ามนอนหงาย เพราะรกจะติดหลังทำให้คลอดไม่ได้
ห้ามไปงานศพ ความเชื่อเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในทุกท้องถิ่นแต่พิจารณาตามหลักจิตวิทยาที่สตรีตั้งครรภ์อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าโศกจะทำให้จิตใจหดหู่
ห้ามรับประทานกล้วยน้ำว้า มีความเชื่อว่าจะทำให้คลอดยาก
ความเชื่อในระยะคลอด
การตัดสายสะดือ คนโบราณใช้ผิวไม้รวก (ไม้ไผ่) ตัดสายสะดือ โดยวางสายสะดือบนไพล ก้อนถ่าน หรืออื่นๆ แล้วใช้ผิวไม้รวกตัด
ความเชื่อในระยะหลังคลอด
การอยู่ไฟหลังคลอด จากความเชื่อว่าความร้อนจากการอยู่ไฟจะให้ความอบอุ่นทางด้านจิตใจตลอดจนบรรเทาความเจ็บปวดลงได้
กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
น้ำนมไหลดีมากขึ้น
สุขภาพแข็งแรงเร็วขึ้น
-ขับน้ำคาวปลาให้ไหลได้ดีขึ้น
ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
ความเชื่อในการดูแลทารกแรกเกิด
เมื่อทากรกคลอดแล้วหมอตำแยจะจับทารกคว่ำหน้า ใช้มือควักมูกออกจากปาก เพื่อป้องกันทารกสำลักน้ำคร่ำ ถ้าทารกไม้ร้องจะตีก้นเป็นการกระตุ้น และอาบน้ำล้างคราบเลือดต่างๆ
พฤติกรรมของสตรีตั้งครรภ์
การดื่มสุรา
น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ
ปากแหว่ง เพดานโหว่ ดวงตาและกรามมีขนาดเล็กกว่าปกติ
สมองเล็กกว่าปกติ
หัวใจผิดปกติโดยกำเนิด
การเจริญเติบโตของแขนและขาผิดปกติ
ความสามารถในการดูดด้อยกว่าปก
ทารกร้องกวนและโยเยง่าย
รูปร่างทารกแคระแกรน
ทารกนอนหลับยาก
สติปัญญาทารกต่ำกว่าปกต
การสูบบุหรี่
การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช้า
อัตราการแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด และทารกตายระหว่างคลอดสูงขึ้น
ทารกที่คลอดออกมามีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ
ทารกที่คลอดออกมามีภาวการณ์หายใจผิดปกติสูงกว่าธรรมดา เนื่องจากปอดของเด็ก
การใช้สารเสพติด
ในปัจจุบันพบว่ามีการใช้สารเสพติดมากขึ้นในสตรีที่มีอายุน้อยมีปัญหาครอบครัว ยากจน และไม่มีความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดที่ถูกต้อง ทำให้มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้ในขณะที่ใช้สารเสพติด นำไปสู่การตรวจพบการใช้สารเสพติดสูงขึ้นในขณะตั้งครรภ์รวมถึงในช่วงที่คลอดบุตร
การใช้ยา
1.ระยะปฏิสนธิผลต่อทารกในครรภ์ที่พบบ่อย ได้แก่ แท้ง
2.ระยะฝังตัว (1-2 สัปดาห์แรก) ผลต่อทารกในครรภ์ที่พบบ่อย ได้แก่เซลล์ลดลงทำให้แท้ง
3.ระยะสร้างอวัยวะต่างๆ ผลต่อทารกในครรภ์ที่พบบ่อย ได้แก่พิการแต่กำเนิด พบโรคมะเร็งในภายหลังทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า
4.เดือนที่ 3 ถึงเดือนที่ 9 ผลต่อทารกในครรภ์ที่พบบ่อย ได้แก่ ทารกน้ำหนักตัวน้อย การเจริญของศีรษะผิดปกติระบบประสาทผิดปกติอวัยวะเพศภายนอกผิดปกติ
ยาที่อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ
ฮอร์โมนเพศหญิง เอสโตรเจน (Estrogen)
สารปรอท (Organic mercury)
ยารักษาโรคลมชัก – ไดเฟนิลไฮแดนโทอิน (Diphenylhydantoin) มีชื่อทางการค้าเช่น Dilantin
ยาที่อาจมีพิษหรือผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ ซึ่งไม่ควรใช้กับสตรีตั้งครรภ
แอสไพริน (Aspirin)อาจทำให้คลอดเกินกำหนด คลอดยาก ถ้าในระยะใกล้คลอด อาจทำให้ทารกที่เกิดมามีเลือดออกง่าย
ยาต้านอักเสบ ที่ไม่ใช่สเตอรอยด์(Non-steroid anti-inflammatory drugs)เช่น อินโตเมทาซิน/เฟนิลบิวตาโซน ทำให้ทารกเลือดออกง่าย
เตตราซัยคลิน (Tetracycline)ผลต่อสตรีตั้งครรภ์ อาจมีพิษต่อตับอย่างรุนแรง
ยาประเภทซัลฟา (Sulfa)ถ้าใช้ในสตรีตั้งครรภ์ระยะใกล้คลอดอาจทำให้ทารกเกิดอาการดีซ่าน และสมองพิการได้ (Kernicterus)
คลอแรมเฟนิคอล (Choramphenicol)ทำให้ทารกเกิดมีอาการตัวเขียว เนื้อตัวอ่อน
สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) คาน่ามัยซิน (Kanamycin) เจนตาไมซิน(Gentamycin)ถ้าใช้นานๆ อาจทำให้ทารกหูพิการได
ฟีโนบาร์บิโทน (Phenobarbital)ถ้าใช้ในระยะใกล้คลอด อาจกดศูนย์ควบคุมการหายใจของทารก (ทำให้เกิดมาหยุดหายใจ) หรือมีเลือดออกได้
ไดเฟนิลไฮแดนโทอิน(Diphenylhydantoin) เช่น ไดแลนทินอาจทำให้ทารกเลือดออกง่าย
เมโทรบาเมต (Metrobamate)ทำให้ทารกเจริญเติบโตช้า
ยารักษาคอพอก เช่น โพรพิลไทโอยูราซิล (Prorylthiouracil) เมไทมาโซล(Methimazole)ทำให้ทารกเกิดโรคต่อไทรอยด์ทำงานน้อย ตัวเตี้ย แคระ และปัญญาอ่อน
ยารักษาเบาหวานชนิดรับประทาน เช่น คลอร์โพรพาไมด์ (Chlorpropamide)ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในเด็กแรกเกิดได้
คลอโรควีน (Chloroquine)ทำให้มีพิษต่อหูของเด็ก
รีเซอร์ฟีน (Reserpine)ถ้าใช้ในระยะใกล้คลอด อาจทำให้ทารกเกิดมีอาการคัดจมูก ตัวเย็น หัวใจเต้นช้า ตัวอ่อนปวกเปียก
โพรพราโนลอล (Propranolol)อาจทำให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ทารกแรกเกิด
มีชีพจรเต้นช้า หรือเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ไนโตรฟูแรนโทอิน (Nitrofurantoin)อาจทำให้สตรีตั้งครรภ์เป็นตับอักเสบ โลหิตจาง
สิ่งแวดล้อม
มลพิษ
สตรีตั้งครรภ์ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ เช่น Sulferdioxide Carbon monoxide ยาฆ่าแมลง สารเคมีที่เหลือจากโรงงานอุตสาหกรรม สารปรอท จะมีฤทธิ์ทำลายพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์โดยจะผ่านไปยังรก
การระบาดของโรคโควิด-19
ปัจจุบันไม่พบหลักฐานที่มีรายงานทางการแพทย์ว่า สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19จะมีอาการและอาการแสดงแตกต่างจากคนทั่วไป หรือมีความเสี่ยงสูงที่โรคจะรุนแรง ไม่พบหลักฐานว่าจะเกิดการติดเชื้อผ่านทางรกไปยังทารกในครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
เนื่องจาก ตรวจไม่พบเชื้อโรคจากน้ำคร่ำ เลือดจากสายสะดือทารก สารคัดหลั่งในช่องคลอด สารคัดหลั่งที่ป้ายจากลาคอทารกแรกเกิด
ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดง
อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบร่วมกับ การมีประวัติในช่วงเวลา 14 วันก่อนวันเริ่มป่วย
ก. กรณีที่ไม่มีอาการ ให้ซักประวัติความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค และประเมินว่าเป็น ผู้สัมผัสทีมีความเสี่ยงระดับใด
ผู้สัมผัสที่อาจเป็นแหล่งโรค ได้แก่ ผู้สัมผัสผู้ป่วยในช่วง 14 วันก่อนเริ่มป่วย
ผู้สัมผัสที่อาจรับเชื้อจากผู้ป่วย ได้แก่ ผู้สัมผัสผู้ป่วยนับแต่วันเริ่มป่วย
ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง หมายถึง ผู้สัมผัสที่มีโอกาสสูงในการรับหรือแพร่เชื้อกับผู้ป่วย
ผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือมีการพูดคุยกับผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร นานกว่า 5 นาที หรือถูกไอจามรดจากผู้ป่วยโดยไม่มีการป้องกัน เช่น ไม่สวมหน้ากากอนามัย
ผู้ที่อยู่ในบริเวณที่ปิด ไม่มีการถ่ายเทอากาศ เช่น ในรถปรับอากาศ ห้องปรับอากาศ ร่วมกับผู้ป่วยและอยู่ห่างจากผู้ป่วยไม่เกิน 1 เมตร นานกว่า 15 นาที โดยไม่มีการป้องกัน
ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ หมายถึง ผู้สัมผัสที่มีโอกาสต่ำในการรับหรือแพร่เชื้อกับผู้ป่วย
ข. กรณีที่มีอาการ ให้ประเมินว่ามีอาการเข้าได้กับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) หรือไม่
ถ้ามีให้สวมหน้ากากอนามัย ส่งแยกกักตัวและเก็บตัวอย่างส่งตรวจทันที
การวินิจฉัยโรค
อาการของโรค คือ ไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง ๆ หายใจติดขัด น้อยรายจะมีคัดจมูกมีน้ามูก เจ็บคอ ไอเป็นเลือด หรือท้องเสีย การตรวจเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวต่ำ
การตรวจเอกซเรย์ปอดหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องอกพบมีปอดอักเสบ การยืนยันการติดเชื้อใช้การตรวจหา viral nucleic acid ด้วยวิธี real-time polymerase chain reaction (RT-PCR) จากสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้าลาย จมูกและลาคอ เสมหะ
กรณีที่ผลตรวจไม่พบเชื้อ ให้ตรวจซ้ำอีก 1 ครั้ง ถ้าตรวจ 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแล้วยังไม่พบเชื้อ ถือว่า ไม่เป็นโรค
ให้ส่งสิ่งคัดหลั่งตรวจหาเชื้อไวรัสตัวอื่น ๆ เช่น influenza virus A and B, adenovirus,
respiratory syncytial virus, rhinovirus, human metapneumovirus, SARS-CoV, bacterial
pneumonia, chlamydia และ mycoplasma pneumonia ส่งการเพาะเชื้อแบคทีเรียจากเลือดด้วย
การดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19
สตรีตั้งครรภ์ที่ตรวจยืนยันโรคแล้ว ให้ประเมินว่า เป็นกลุ่มที่อาการน้อย คือ สัญญาณชีพปกติ หรือรุนแรง เช่น มีอัตราการหายใจ 30 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป ระดับออกซิเจนในเลือดต่ากว่าร้อยละ 93ความดันออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2)/ความเข้มข้นของออกซิเจน (FiO2) ต่ากว่า 300 หรืออยู่ในภาวะช็อค
บุคลากรที่จะดูแลผู้ป่วยจะต้องใส่ชุดและอุปกรณ์ป้องกันเต็มที่ (PersonalProtection Equipment, PPE) ประกอบด้วย เสื้อกาวน์ หน้ากาก N95 แว่นตาและถุงมือ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ควรตรวจ CBC, arterial blood gas การทางานของตับ ไตและ cardiac enzymes
การรักษาประกอบด้วย การให้สารน้ำแก้ไขภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่ ให้ออกซิเจน
การให้ยาต้านไวรัสใช้ในรายที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
การดูแลที่คลินิกฝากครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ควรเลื่อนนัดเพื่อมาฝากครรภ์ ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง หรือตรวจคัดกรองเบาหวานไปจนกว่าจะพ้นช่วงกาหนดเวลากักตัว
โดยให้อยู่แต่ภายในที่พักอาศัย เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน หรือจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อ
กรณีผู้ป่วยครรภ์เสี่ยงสูงที่จาเป็นต้องนัดติดตาม ให้พิจารณาระหว่างความเสี่ยงและประโยชน์ที่จะได้รับถ้าจำเป็นจะต้องมาตรวจให้ใช้การป้องกันการแพร่เชื้อตามมาตรฐานของโรงพยาบาล
คำแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยที่อาการน้อย
อยู่ในที่พักอาศัยอย่างน้อย 14 วัน
ไม่รับประทานอาหารและใช้ภาชนะร่วมกับผู้อื่น
ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว หมอน ผ้าห่ม แก้วน้า
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้าและสบู่ นาน 20 วินาที หรือแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 ลูบจนมือแห้ง
เมื่อต้องอยู่กับผู้อื่นต้องสวมหน้ากากอนามัยและอยู่ห่างจากคนอื่น ประมาณ 1-2 เมตร
หลีกเลี่ยงการพูดคุย ใกล้ชิดกับคนอื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง
การทิ้งหน้ากากอนามัย ให้ทิ้งใส่ถุงพลาสติก ปิดถุงให้สนิท ก่อนทิ้งลงถังขยะที่ปิดมิดชิด
เมื่อไอ จามให้ใช้ทิชชูปิดปาก ปิดจมูกถึงคางทุกครั้ง ทิ้งทิชชูใส่ถุงพลาสติก ปิดถุงให้สนิทก่อนทิ้งลงถังขยะ
ทำความสะอาดบริเวณที่พัก ด้วยน้ำยาฟอกขาวร้อยละ 5
ทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู หรืออื่น ๆ ด้วยผงซักฟอกและน้ำธรรมดา
สภาพครอบครัว
สภาพครอบครัวที่แตกแยก หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ จะส่งผลให้สตรีตั้งครรภ์เกิดความเครียด ทำให้ความสามารถในการดูแลตนเองลดลง และส่งผลต่อการพัฒนาด้านอารมณ์ของทารกในระยะยาว
ระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข
โอกาสของสตรีตั้งครรภ์ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้เคียงมีเครื่องมือทันสมัย จะมีผลต่อการดูแลสุขภาพด้านอนามัยแม่และเด็ก
การเมืองการปกครอง
นโยบาย งบประมาร ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีเป้าหมายการลดอัตราการตายของมารดา ทารก เป็นการส่งเสริมการดูแลมารตาและทารกให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์
1.รังสี
การได้รับรังสีอาจเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้เช่น ในรายที่ขณะตั้งครรภ์มีความจำเป็นต้องฉายรังสี X- ray ในการตรวจสภาพปอดหรือฉายรังสีX-rayจะมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ เช่น เกิดมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
การใช้ยา
1.ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการไหลเวียนของมารดา ซึงมีผลโดยตรงต่อเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกและทารก
2.มีผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อมดลูกและการทำงานของมดลูก
3.มีผลต่อพัฒนาการของทารก จึงทำให้เกิดความพิการได้
สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
สิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดสารพิษ เช่น Sulferdioxide Carbonmonoxide พิษจากยากำจัดวัชพืชศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง รวมทั้งสารเคมีต่าง ๆ ที่เหลือจากโรงงานอุตสาหกรรม สารปรอท สารเหล่านี้เมื่อผ่านเข้าไปในหญิงมีครรภ์จะผ่านไปยังรก
สภาพครอบครัว
การที่หญิงตั้งครรภ์ได้อยู่ในสภาพครอบครัวที่มีสัมพันธภาพอบอุ่นจะมีสุขภาพจิตที่แข็งแรงและสมบูรณ์ ก็จะส่งผลต่อมารดาและพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของทารกให้ดีขึ้นได้
หญิงตั้งครรภ์ได้อยู่ในสภาพครอบครัวที่มีสัมพันธภาพที่ไม่ดีครอบครัวขาดความอบอุ่นไม่มีการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ก็จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของหญิงตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ได้
สภาพสังคม
หญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในสภาพสังคมที่ดีและเด็กที่เจริญเติบโตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีก็จะส่งผลให้มารดาและทารกมีสุขภาพจิตที่ดียิ่งขึ้นแต่ในทางตรงกันข้ามเด็กที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีมักจะทำให้เด็กเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุของปัญหาสังคมสืบเนื่องสืบต่อกันไป
62126301074
นางสาวศิริลักษ์ แสงจันทร์
เลขที่71_ ชั้นปีที่ 2