Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ และหลอดเลือด👶🏻🫀 - Coggle…
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ
และหลอดเลือด👶🏻🫀
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิด (congenital heart disease)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียว
1.กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อย อาจมีภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
1.Tetralogy of Fallot (TOF)
1.การตีบของลิ้นพัลโมนารี (pulmonic stenosis)
2.ผนังระหว่างเวนตริเคิลมีรูรั่ว (VSD) ขนาดใหญ่
3.ตำแหน่งของลิ้นเอออร์ติคเลื่อนไปทางด้านขวา (overriding
aorta หรือ dextroposition of the aorta)
4.มีการหนาตัวของเวนตริเคิลขวา (right ventricular hypertrophy)
2.Pulmonic atresia (PA) ลิ้นพัลโมนารี
3.Tricuspid atresia (TA) ลิ้นไตรคัสปิดตัน
2.กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดมาก อาการเขียว และมีภาวะหัวใจวาย
Transposition of great arteries
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวมากตั้งแต่แรกเกิด ภายใน 2-3 วันแรกหลังเกิด
หอบเหนื่อย
อาการของหัวใจวาย เพราะ foramen ovale และ
PDA
ส่วนในรายที่มี VSD ร่วมด้วย มีอาการ
เหนื่อย อาการของหัวใจวาย
มีเลือดไปปอดมากซึ่งพบได้บ่อยที่สุด มีความผิดปกติ คือ มีการสลับที่กันของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจ
หลอดเลือดเอออร์ต้าออกจากเวนตริเคิลขวา
หลอดเลือดแดงพัลโมนารีออกจากเวนซ้าย
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การประเมินภาวะจิตสังคม
ประเมินความวิตกกังวล ของผู้ป่วยและบิดามารดาเกี่ยวกับการเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจน ร่วมกับอาการเขียวทั่วตัวของเด็ก
อาการเขียวคล้ำทั่วร่างกาย
(hypoxemia)
นิ้วมือนิ้วเท้าปุ้ม
ตาขาวแดง
ท่านั่งยอง ๆ
ภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
ภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
มีอาการเขียวเป็นพัก ๆ
มีประวัติชอบนั่งยอง ๆ เวลารู้สึกเหนื่อย
ปวดศีรษะ เนื่องจากภาวะ cerebral hypoxemia
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ผู้ป่วยมีภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน เนื่องจาก
สมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน
1.ดูแลให้ผู้ป่วยสงบโดยเร็วที่สุด
2.จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าเข่าชิดอก
4.ติดตามค่าความเข้มข้นของออกซิเจน
3.ดูแลให้ออกซิเจน
5.ดูแลให้ยาที่ทำให้ผู้ป่วยสงบตามแผนการรักษา เช่น chloral hydrate
6.ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนได้ง่าย
สังเกตอาการเริ่มของภาวะสมองขาดออกซิเจน
กระสับกระส่ายมีหายใจเร็วขึ้นและแรงขึ้น
หอบเหนื่อยมากขึ้น
มีอาการเขียว
ควบคุมและจำกัดกิจกรรมต่างๆ
ดูแลผู้ป่วยไม่ให้มีอาการท้องผูก
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ดื่มน้ำอย่างเต็มที่
สังเกตและบันทึกปริมาณน้ำดื่ม
ในรายที่มีไข้ ควรดูแลเช็ดตัวและให้ยาลดไข้
ติดตามผลการเจาะเลือดฮีมาโตคริท
ดูแลให้ยาเสริมธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการอุดตันของหลอดเลือดฝอยในร่างกายได้ เช่นหลอดเลือดฝอย โดยเฉพาะในหลอดเลือดฝอยที่สมอง เนื่องจากมีภาวะเลือดข้น
ช่วยเปลี่ยนท่าและพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
สังเกตและบันทึกจำนวนน้ำดื่มและจำนวนปัสสาวะ
1 more item...
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดฝีในสมองได้ เนื่องจากมีความผิดปกติของหัวใจ
และหลอดเลือด ทำให้เลือดบางส่วนไม่ได้ส่งไปฟอกที่ปอด
สังเกตอาการเปลี่ยน มีไข้ต่ำ ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย
บันทึกสัญญาณชีพ 4 ชั่วโมง
ในรายที่สงสัยว่าเกิดเป็นฝีในสมอง ควรประเมินทางระบบประสาทของผู้ป่วย
อาเจียน
เห็นภาพซ้อน
สังเกตระดับความรู้สึก
ชัก
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1 more item...
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
1.กลุ่มที่มีการไหลลัดของเลือดจากหัวใจซีกซ้ายไปซีกขวา
(left to right shunt)
Ventricular septal defect (VSD)
มีรูรั่วที่ventricleเพราะมีการสรา้งผนังventricleไม่สมบูรณ์จึงทำให้เกิดทางติดต่อ
ระหว่างเวนตริเคิลซ้ายและขวา
อาการและอาการแสดง
มีอาการเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลาดูดนม
มีเหงื่อออกมาก
ตัวเล็กหรือเลี้ยงไม่โต
ติด
เชื้อในระบบหายใจได้บ่อย ๆ
Atrial septal defect (ASD)
มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้นระหว่างเอเตรียม เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเอเตรียม ที่ไม่สมบูรณ์
อาการและอาการแสดง
มักจะไม่มีอาการ
แสดงหรืออาการที่ผิดปกติ
บางรายอาจจะมีการติดเชื้อใน
ระบบหายใจ
หรือมีการเจริญเติบโตช้า
อาการอ่อนเพลีย
เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
Patent ductus arteriosus (PDA)
ซึ่งมีความผิดปกติ คือ หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่ภายหลังด็กเกิด ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและหลอดเลือดเอออร์ต้าส่วนที่จะไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่าง(descending aorta)
สาเหตุ
การเกิดก่อนกำหนด
ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ
การติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
PDA ขนาดเล็กมักจะไม่มีอาการผิดปกติ
PDA ขนาดใหญ่
มักจะมาด้วยอาการของหัวใจซีกซ้ายวาย
โดยมีอาการหายใจ
เร็ว
เหงื่อออกมากเวลาดูดนม
เหนื่อยหอบ
น้ำหนักขึ้นช้า
กลุ่มที่มีการอุดกั้นการไหลของเลือด (obstructive
lesions)
Aortic stenosis (AS)
ที่มีการตีบของลิ้นเออ
อร์ติค หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลซ้าย
ทำให้เวนตริเคิลซ้ายบีบตัวส่งเลือดแดงผ่านลิ้นเอออร์ติคที่
ตีบไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอาการแสดง
อาการอ่อนเพลียง่ายเวลาเล่น
เจ็บหน้าอก
ในพวกที่ลิ้นตีบมาก
Pulmonary stenosis (PS)
มีการตีบของลิ้นพัลโมนารี หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลขวา ทำให้เวนตริเคิลขวาบีบตัวส่งเลือดดำผ่านลิ้นพัลโมนารีที่ตีบไปปอดได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอาการแสดง
moderate PS
severe PS
ภาวะหัวใจวาย
หรืออาการ
เขียวเล็กน้อย
อาการเหนื่อยง่าย
เจ็บแน่นหน้าอก
จะเป็นมากขึ้นเวลาออกกำลังกายบางรายอาจจะมีอาการเป็น
ลมหมดสติ
Coarctation of aorta (CoA)
มีการคอดหรือการตีบแคบที่หลอดเลือดเอออร์ต้าตรงบริเวณหลอดเลือดductus arteriosus มาเชื่อมกับหลอดเลือดเอออร์ต้า ทำให้เลือดไหลจากหลอดเลือดเอออร์ต้าไปเลี้ยงร่างกายส่วนบนและลงสู่ส่วนที่ไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่างได้ไม่สะดวก จึงพบว่า ความดันโลหิตของแขนสูงกว่าขา
อาการและอาการแสดง
หายใจแรงและเร็ว
เหนื่อยหอบ
เหงื่อออกมาก
ดูดนมช้า
1 more item...
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ
ดูดนมแล้วเหนื่อย ต้องหยุดเป็นช่วง ๆ มีหายใจแรง เหงื่ออก
มาก กระสับกระส่าย มีอาการเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า
ติดเชื้อในระบบหายใจได้บ่อย
มีประวัติเป็นลม หรือมีอาการหน้ามืด
2.การตรวจร่างกาย
อาการเขียว หรือสีผิวเขียวคล้ำ
หายใจเร็ว (tachypnea)
อาการหายใจลำบาก (dyspnea)
เหนื่อยง่ายเวลาที่มีกิจกรรม (exercise tolerance)
1 more item...
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
บิดามารดาหรือผู้ป่วยโรคหัวใจที่เป็นเด็กโตมักจะวิตกกังวล
เกี่ยวกับความเจ็บป่วย
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.เนื้อเยื่อของร่างกายมีโอกาสได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
เนื่องจากประสิทธิการทำงานของหัวใจลดลง
1.จำกัดกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย และดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
2.จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง (semi-Fowler’s position)
3.ดูแลให้ออกซิเจนเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจน
4.ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนรสจืด หรือเค็มน้อย
5.แนะนำมารดาในการประกอบและปรุงอาหารให้บุตร ควรหลีกเลี่ยงการเติมน้ำปลา ซีอิ้ว ซ๊อส ผงชูรสและเกลือในอาหาร
6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาจำพวกดิติตาลิสตามแผนการรักษา
7.บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
8.ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และประเมินการทำงานของหัวใจ เช่น สีผิว ลักษณะของการหายใจ
9.ประเมินการสะสมน้ำในร่างกายของผู้ป่วย
ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นลมหมดสติ เนื่องจากสมองได้รับออกซิเจนไม่
เพียงพอ จากการที่มีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
1.สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
2.แนะนำผู้ป่วยให้จำกัดกิจกรรมที่ต้องออกแรง
3.ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเป็นลม ให้การดูแล
จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ และยกปลายเท้าให้สูงกว่า
ปลดเสื้อผ้าให้หลวมเพื่อให้ปอดขยายตัว
สังเกตและบันทึกชีพจร และความดันเลือด
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปอด เนื่องจากมีเลือดไป
ปอดมาก
การรักษาความสะอาดของปากฟัน
ดูแลให้ผู้ป่วยมีสุขวิทยาส่วนบุคคล
ดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาด
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เนื่องจากมีความผิด
ปกติของหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้มีการไหลลัดของเลือด
ดูแลรักษาความสะอาดของปากฟัน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะก่อนการรับ การทำฟัน การขูดหินปูน
การถอนฟัน
สังเกตและติดตามประเมินอาการแสดงของภาวะเยื่อบุหัวใจอักเสบ
เช่น มีไข้ต่ำเป็นเวลาหลายวัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีการเจริญเติบโตที่ไม่สมวัย หรือต่ำกว่า
เกณฑ์ เนื่องจากดูดนม/รับประทานอาหารได้น้อย
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนช่วงสั้น ๆ ก่อนมื้อนม/อาหารเพื่อสะสมพลังให้
เพียงพอที่จะใช้การดูดนม/เคี้ยวกลืนอาหาร
ในเด็กโตควรได้รับอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีจำนวนแคลอรีสูงกว่าปกติ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
ดูแลให้นมแก่ผู้ป่วยตามแผนการรักษา โดยให้มื้อละปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อย
ครั้ง
สังเกตและบันทึกปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน
ในรายที่ผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย หรือดูดนมได้ไม่หมดบ่อยครั้ง ควรรายงานแพทย์ทราบ
ติดตามชั่งน้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพื่อประเมินภาวะโภชนาการ
แนะนำให้มารดากระตุ้นให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหว และช่วยเหลือตน
เองในการรับประทานอาหารเอง
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่ายการเคลื่อนไหวร่างกาย แขน ขา จึงมีน้อย หรือในเด็กเล็กบางรายที่มีอาการหายใจลำบาก
ประเมินพัฒนาการของเด็ก
วางแผนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
ให้ข้อมูลแก่บิดามารดาเกี่ยวกับพัฒนาการของบุตร
บิดามารดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจและ
หลอดเลือดตั้งแต่กำเนิดของบุตร
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติ
ให้ข้อมูลแก่บิดามารดาเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของบุตร
สนับสนุนให้บิดามารดาอุ้มชู และกอดรัดบุตรให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ จะช่วย
ส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดี
โรคหัวใจที่เกิดภายหลัง (acquired heart disease)
การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ (Infective endocarditis)
การอักเสบซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ
เยือบุหัวใจชั้นในสุด
เยื่อบุภายในหัวใจ
ลิ้นหัวใจ
เนื้อเยื่อข้างเคียง
หลอดเลือดแดงของหัวใจ
นอกจากนี้อาจพบในลิ้นหัวใจเทียม ผนัง
หัวใจที่ผิดปกติ
สาเหตุ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
แบคทีเรีย
เชื่อรา
ริคเกทเซีย (rickettsia)
หรือไวรัส
แต่มักมีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ
Streptococcus viridans, Staphylococcus aureus
ระบาดวิทยา
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิดทั้งชนิดที่มีอาการเขียวและไม่เขียว โดยมักพบการ
ติดเชื้อที่หัวใจซีกขวามากกว่าหัวใจซีกซ้าย
กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง เช่น โรคหัวใจรูห์มาติคที่มีพยาธิสภาพ หรือ
การทำลายที่ลิ้นหัวใจ และมีการยื่นย้อยของลิ้นไมตรัล
กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่ได้รับการผ่าตัด
กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การทำฟัน การใส่สายสวนปัสสาวะ การเจาะเลือด การใส่สายในหลอดเลือดดำใหญ่ รวมทั้งการใส่สายตรวจต่าง ๆ เพื่อการรักษา
อาการและอาการแสดง
มีไข้ ลักษณะไข้ต่ำๆ
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย
เสียงฟู่ของหัวใจ(heart murmur)
การตายของสมอง
ม้ามโต กดไม่เจ็บ อาจพบตับโต
ภาวะซีด
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ
ควรติดตามเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อในเลือดเป็นระยะๆ
ตรวจสอบหาแหล่งของการติดเชื้อที่ทำให้เกิด IE
การป้องกัน
เป็นการให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหรือหลังการทำหัตถการที่มีโอกาส
เสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสโลหิตเพิ่มขึ้น
การพยาบาลการประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ ควรซักประวัติเกี่ยวกับแหล่งของการติดเชื้อ อาการและอาการแสดง เช่น มีไข้ต่ำ ๆ เป็นช่วง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ความรู้สึกไม่สบาย
2.การตรวจร่างกาย ตรวจร่างกายพบเสียงฟู่ของหัวใจ
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
4.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ESR สูง เม็ดเลือดขาวสูง ปัสสาวะมี
เลือดปน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.มีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เช่น ที่ลิ้นหัวใจต่าง ๆ
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยตามแผนการรักษา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้นอนพักผ่อน เพื่อลดการทำงานของหัวใจ
ดูแลให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบห้าหมู่โดยเป็นอาหารที่อ่อน ย่อย
ง่าย และให้มีช่วงพักระหว่างรับประทานอาหารด้วย
สังเกตอาการข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ
สังเกตอาการข้างเคียงของโรค
จัดกิจกรรมการเล่นต่าง ๆ
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่า ESR จำนวนเม็ดเลือดขาว
2.อาจเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจซ้ำได้
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลสุขอนามัยรักษาความสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ
แนะนำบิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยให้ดูแลสุขภาพในช่องปาก
สังเกตอาการแสดง ที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อ
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันก่อนรับการหัตถการ
มาตรวจตามนัด
โรคหัวใจรูห์มาติค (Rheumatic Heart Disease)
เกิดตามหลังไข้รูห์มาติค (rheumatic fever) ซึ่งมี
การติดเชื้อที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของอวัยวะต่าง ๆ
ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจ
วาย ตลอดจนลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้
ไข้รูห์มาติค
โรคที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
เป็นผลจากautoimmune reaction มักเกิดตามหลังคออักเสบเนื่องจากเชื้อβ-hemolytic streptococcus group A
อาการและอาการแสดง
1.major criteria
Carditis
polyarthritis
chorea หรือ sydenham’s chorea
subcutaneous nodules
erythema marginatum
2.minor criteria
มีไข้ต่ำๆ
polyarthralgia มีอาการปวดข้อโดยไม่มีอาการอักเสบ
เลือดกำเดาไหล
ปวดท้อง รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย เหงื่อออกมาก เจ็บหน้าอกซีด
และน้ำหนักลด
มีประวัติเคยเป็นไข้รูห์มาติค
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
กระเพาะเชื้อจากบริเวณคอ (thoat swab culture)
antistreptolysin O (ASO) ค่า ASO ในเลือดจะสูงขึ้นเพราะมีการสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อมาก่อน ค่าปกติของ ASO อยู่ระหว่าง 0-120 Todd unit
การวินิจฉัยโรค
Jone’s criteria
2 major criteria
1 major criteria และ 2 minor criteria
การรักษา
1.ให้ยาปฏิชีวนะสำหรับกำจัดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ
2.ให้ยาสำหรับต้านการอักเสบของหัวใจและข้อ ได้แก่ salicylate และ steroid
ผู้ป่วยที่มี arthritis carditis ที่ไม่มีหัวใจโต ให้ยา salicylates
ผู้ป่วยที่มี carditis ที่มีหัวใจโตหรือมีอาการหัวใจวาย ควรให้ยาเพรดนิโซโลน
2 มิลลิกรัม
3.ให้นอนพัก โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มี carditis และอาการหัวใจวาย ให้พักจนกว่าจะ
ควบคุมภาวะหัวใจวายได้ ต่อมาค่อย ๆ เพิ่มการเคลื่อนไหวมากขึ้นในเวลา 3 เดือน
4.ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวาย ให้การรักษาโดยให้ยา digitalis
การพยาบาล
1.การซักประวัติ ติดเชื้อในระบบหายใจ
2.การตรวจร่างกาย มีไข้ carditis, polyarthritis, chorea, erythema
marginatum, subcutaneous nodule
3.การประเมินภาวะจิตสังคม ความกังวลเกี่ยวกับอาการปวดข้อ หรือ
อาการหัวใจเต้นเร็ว
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
throat swab culture ให้ผลบวก
antistreptolysin O (ASO) unit
ค่า ESR สูง
ภาพถ่ายรังสีทรวงอก พบหัวใจโตกว่าปกติและมีลักษณะการคั่งของเลือดในปอด
ภาพถ่ายรังสีของข้อ จะพบมีน้ำในข้อ
การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง มีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.ผู้ป่วยมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ เนื่องจากมีการติดเชื้อβ-hemolytic Streptococcus group A
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อลดการทำงานของหัวใจ
ดูแลให้ยาแอสไพริน หรือ เพื่อลดการอักเสบของหัวใจ และลดไข้
ดูแลให้ยาเพรดนิโซโลน มีภาวะหัวใจวาย ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ
ทำ tepid sponge
ดูแลให้อาหารอ่อน
สังเกตและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และชีพจรขณะนอนหลับ (sleeping pulse)
ติดตามฟังเสียงฟู่ของหัวใจ (cardiac murmur)
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
มีการอักเสบของข้อ เนื่องจากมีการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ยาแอสไพริน ตามแผนการรักษาเพื่อลดการอักเสบของข้อ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักข้อที่มีการอักเสบ
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
ควรระวังอุบัติเหตุ
สังเกตและบันทึกอาการอักเสบของข้อ
อาจเกิดการกลับซ้ำของ rheumatic fever โดยมีการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
β-hemolytic Streptococcus group A
แนะนำบิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยให้เข้าใจเหตุผลของการป้องกันโรคนี้ว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องรับยาปฏิชีวนะจนถึงวัยผู้ใหญ่
รักษาความสะอาดปากฟัน
สุขวิทยาส่วนบุคคล (general hygiene)
แนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ
ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น ที่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ
พบแพทย์ตามนัด
สังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ เหนื่อยหอบ ปวดข้อ อาการเจ็บคอ
แนะนำบิดามารดา แจ้งทันตแพทย์ หรือแพทย์ผ่าตัดเพื่อให้ได้ยาปฏิชีวนะป้องกันการเกิด IE
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจวาย
เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปตามระบบไหลเวียนเลือดเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
สาเหตุ
1.ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น
กลุ่มที่มีเลือดไหลลัดจากหัวใจซีกขวา
กลุ่มที่มีการรั่วของลิ้นหัวใจ
กลุ่มที่มีเลือดไปปอดมากขึ้น
2.ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจากมีความดันในเวนตริเคิลสูงกว่าปกติเกิดจากการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิล
3.ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจลดลง
4.จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ส่งผลให้ปริมาณเลือดไหลออกจากหัวใจลดลง
อาการและอาการแสดง
1.อาการของหัวใจซีกซ้ายวาย หายใจเร็ว ปีกจมูกบาน หายใจลำบาก หน้าอกบุ๋ม และมีการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ ฟองหรือมีเลือดปน และฟังได้เสียง crepitation เนื่องจากมีpulmonary congestion
2.อาการของหัวใจซีกขวาวาย หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง หน้าบวม ตาบวม ตับโตบางรายอาจมีม้ามโต คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง แน่นอึดอัดท้อง แขนขาเย็น บวม
การรักษา
1.เพิ่มแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้หัวใจเต้นช้าลงอัตราการเต้นของหัวใจที่ลดลง
2.เพิ่มการขับปัสสาวะออกจากร่างกายมากขึ้น (diuresis)
การพยาบาล
1.การซักประวัติ
มีประวัติติดเชื้อบ่อย เช่น ปอดอักเสบ
เด็กมักเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลาดูดนม ดูดนมได้ช้า
ออกแรงแล้วมีอาการเหนื่อย
เด็กมักโตช้า ตัวเล็ก เด็กมีน้ำหนักน้อย
เหงื่อออกมาก
กระสับกระส่าย
ปัสสาวะน้อย
หายใจแรง
หัวใจเต้นเร็ว
ชีพจร เบา เร็ว
ซีด หรือมีอาการเขียว
มือเท้าเย็น เนื่องจาก มีการหดตัวของหลอดเลือด
ความดันโลหิตสูง
ฟังได้ยินเสียงฟู่
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.ปริมาณเลือดไปเลี้ยงร่างกายต่อนาทีลดลง เป็นผลจากความผิดปกติของหัวใจหรือหลอดเลือด เช่น VSD,ASD,PDA
กิจกรรมการพยาบาล
จำกัดกิจกรรมต่าง ๆ
จัดให้ผู้ป่วยนอนยกศีรษะสูง
ดูแลให้ผู้ป่วยด้รับยาจำพวกดิจิตาลิสตามแผนการรักษา
ดูแลออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลให้อาหารจืดหรือเค็มน้อย
ประเมินลักษณะของการหายใจ สีผิว
สังเกตและบรรทุกสัญญาณชีพอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ติดตามและบันทึกปริมาณน้ำดื่มและปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมง
2.ผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกิน เนื่องจากมีการคั่งหรือการสะสมของน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักเกินไป
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขับปัสสาวะ
ดูแลให้ได้รับอาหารที่มีแคลอรีเพียงพอ
ติดตามและบันทึกปริมาณน้ำดื่มและปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมง
ชั่งน้ำหนักทุกวันเพื่อทราบการเปลี่ยนแปลง
ประเมินอาการบวมว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง
3.ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากมีอัตราการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าปกติ เป็นผลจากการทำหน้าที่ของหัวใจลดลง และการเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจ
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีแคลอรี 100-120 แคลอรี/กิโลกรัม/วัน
แนะนำบิดามารดาให้ทราบเทคนิคของการให้นมหรืออาหารแก่เด็ก
สังเกตและบันทึกปริมาณนมหรืออาหารที่ผู้ป่วยได้รับ
ชั่งน้ำหนักเด็กทุกวัน
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
4.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินพัฒนาการของเด็ก
จัดให้เด็กมีโอกาสเล่นในช่วงสั้นๆ
จัดหาของเล่นต่างๆ
จัดให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์/พูดคุยกับเด็กอื่นๆ
5.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะเป็นพิษจากดิจิตาลิส
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาดิจิตาลิส จะต้องฟังอัตราของหัวใจหรือจับชีพจรให้ครบเต็มนาที
สังเกตและบันทึกอัตราชีพจรและฟังเสียงหัวใจอย่างสม่ำเสมอ
สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะเป็นพิษจากดิจิตาลิส คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร วิงเวียนศีรษะ หัวใจเต้นช้า หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ
สังเกตอาการของโพแทสเซียมต่ำ
6.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ เนื่องจากมีการคั่งของเลือดในปอด เนื้อที่ของปอดในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของปอดลดลง และผ่านต่อการติดเชื้อ และการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลความสะอาดปากฟันผู้ป่วย
ดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก
ดูแลให้ผู้ป่วยมีสุขวิทยาส่วนบุคคล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีคุณค่าและแคลอรีอย่างเพียงพอ
ดูแลไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือบุคคลอื่นที่มีการติดเชื้อ
สังเกตและบันทึกสัญญาณชีพอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง
กรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ควรดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
7.บิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล
กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับบิดามารดา
สนับสนุนให้บิดามารดาอยู่ดูแลบุตร
เปิดโอกาสให้บิดามารดาและผู้ป่วยได้ซักถาม
กระตุ้นให้บิดามารดาแสดงความรัก ความใกล้ชิด
ส่งเสริมให้บิดามารดามีส่วนร่วมในการดูแลบุตร
แนะนำให้บิดามารดาเล่นกับเด็กในช่วงจัดการเล่น
วางแผนจำหน่ายผู้ป่วย
กลุ่มอาการคาวาซากิ
(Kawasaki Disease)
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ริกเก็จเชีย และอื่นๆที่กระตุ้นให้เด็กบางคนตอบสนองทางอิมมูนผิดปกติทำให้เกิดอาการขึ้น
พยาธิสรีรวิทยา
มีการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี่และ
หลอดเลือดแดงขนาดกลางอื่นๆ
และมี Platelet thrombi
อุดหลอดเลือดแดง
อาการและอาการแสดง
ไข้
ไข้สูงเป็นพักๆ โดยช่วงที่ไข้ลดมักจะไม่ลดลงจนเป็นปกติ
ตาแดง
เป็นทั้ง2ข้าง มักเห็นภายใน 2-4 วันแรกนับจากเริ่มมีไข้
ปากแดง
ลิ้นจะแดงและมี prominent papillae ที่เรียกว่า “Strawberry tongue”
การเปลี่ยนแปลงที่มือแดง เท้า ผื่น
ต่อมน้ำเหลืองที่โต
มักพบที่ anterior cervical triangle
มักเป็นข้างเดียว
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
มีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น
มีเม็ดเลือดขาวที่อายุน้อยมากขึ้น
ด้วย
เกล็ดเลือดสูงในสัปดาห์ที่ 2-3 เลือดจาง ESR และ
C-reactive protein สูงขึ้น
มีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ
เม็ดเลือดขาวสูงในน้ำไขสันหลัง ระดับ transaminase และบิลิรูบินในซีรั่มสูงขึ้นเล็กน้อย
การพยาบาล
1.ประเมินการทำงานของหัวใจและปอดและหลอดเลือดเกี่ยวกับการมีอาการของหัวใจอักเสบ สังเกตจังหวะการเต้นของหัวใจ การเจ็บหน้าอกEKG เปลี่ยนแปลงไป (ST segment ต่ำลง) หายใจขัด หายใจลำบาก
2.ประเมินการไหลเวียนเลือดของแขนขา เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเฉียบพลัน เมื่อ Thrombi อันเป็นเหตุให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก ทำให้เกิดการติดเชื้อ และ necrosis ของนิ้วมือนิ้วเท้าได้
3.วัดชีพจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะให้ gamma globulinควรสังเกตดูปฏิกิริยาของการแพ้ ถ้าแพ้ให้หยุดทันที
4.ดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยา เช่น แอสไพรินจะมีเลือดออกและกัดกระเพาะอาหาร
5.ตวงและบันทึกน้ำดื่ม ปัสสาวะ ในรอบ 24 ชั่วโมง ระวังการขาดน้ำดูอาการของหัวใจวาย ปัสสาวะลดลง
6.อาหารไม่เพียงพอทั้งทางปากและหลอดเลือดดำ ป้องกันการขาดน้ำระยะเฉียบพลัน ดูแลความอยากอาหาร
7.ชั่งน้ำหนักทุกวัน ดูอาการบวมของภาวะหัวใจวาย
8.ระวังการติดเชื้อของผิวหนัง ผิวหนังจะเป็นผื่นหรือบวม ควรรักษาความสะอาด ไม่อับชื้น
9.ลดความไม่สุขสบาย มือและเท้าบวมจะเจ็บปวดเนื่องจากแรงกดบนเนื้อเยื่อโดยสารคัดหลั่งของการอักเสบ
10.จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบสงบ
11.ลดความกลัวและวิตกกังวล เพราะมีผลต่อหัวใจได้ พยาบาลให้ข้อมูลกับเด็กว่าอาการจะสามารถดีขึ้นได้
12.การดูแลสุขภาพที่บ้าน ต้องดูแลเรื่องหัวใจและหลอดเลือดต่อไป อธิบายเรื่องยาที่ได้รับไปรับประทานต่อที่บ้านและดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยา