Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Case ที่ 1 กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Acute Myocardial lnfarction) -…
Case ที่ 1
กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
(Acute Myocardial lnfarction)
ข้อมูลสนับสนุน
ผลตรวจพิเคษ EKG ผิดปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Cardiac enzymes
CPK-MB = 133 u/ml (สูง)
Troponin T 2.0 ng/L (สูง)
ตรวจร่างกาย
Vital signs
PR = 102 ครั้ง/นาที (เร็ว)
R = 24 ครั้ง/นาที (เร็ว)
BP = 96/62 mmHg (ต่ำ)
SaO2 = 94% room air
BMI = 32.03 จัดอยู่ในระดับอ้วนมาก อันตรายระดับ 3
มีประวัติเป็นโรคไขมันในเลือดสูง มา 2 ปี และสูบบุหรี่
อาการ
มีอาการเจ็บหน้าอกชนิด angina pectoris มีอาการเจ็บหน้าอก ร้าวไปแขนซ้าย กรามซ้าย
เหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืดคล้ายเป็นลม
ทฤษฎีโรค
ปัจจัย
ผู้ป่วย
ผู้ป่วยรายนี้มีปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดฉียบพลันคือ
1.ผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรค ไขมันในเลือดสูง 2 ปี ซึ่งส่งผลำให้การไหลเวียนของ Coronary artery ลดลง
2.ผู้ป่วยมีประวัติสูบบุหรี่ก้นกรอง วันละ 2-3 มวน คาร์บอนมอนอกไซด์ในควันบุหรี่จะแย่งจับออกซิเจน ทำให้ร่างกายรับออกซิเจนได้น้อยลง เป็นเหตุให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นแต่เลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่i
3.ผู้ป่วยมีค่าBMI=32.3 อยู่ในภาวะอ้วนมาก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันโดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นร่วม
4.ผู้ป่วยออกกำลังกายทำให้มีความต้องการออกซิเจนเพิ่มมากจุ้นหัวใจบีบคัวมากขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ แต่เลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบแคบปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของกล้ามเนื้อหัวใจ
ทฤษฎี
จำแนกออกเป็น 4 ปัจจัย
1ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายต้องการoxygen เพิ่มมากขึ้น
1.1 การออกกำลังกาย
1.2 การสูบบุหรี่
2.ปัจจัยที่ทำให้การไหลเวียนของ Coronary artery ลดลง
2.1อุณหภูมิต่ำ
2.2 กระบวนการย่อยและดูดซึมหลังรัประทานอาหาร
2.3 ความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด
2.4 ความอ้วนและน้ำหนักเกินมา
3.ความเครียด ส่งผลให้ร่างกายมีการหลั่ง catecholamines
4.ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเพิ่มความดันในช่องท้อง เช่นการเบ่งถ่ายอุจจาระ การยกของหนักในท่ายืน
อาการ
ผู้ป่วย
ผู้ป่วยรายนี้ขณะออกกำลังกายมีอาการเจ็บหน้าอก ร้าวไปแขนซ้าย กรามซ้าย นั่งพักอาการไม่ดีขึ้น แน่นหน้าอกคล้ายมีของหนักมาทับ เหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืดคล้ายเป็นลม
ทฤษฎี
มีอาการเจ็บหน้าอกชนิด angina pectoris เป็นอาการเต็บหน้าอกที่จำเพาะต่อโรค โดนมีอาการเต็บแน่นๆ หนักๆ เหมือนมีของมาทับบริเวณอกซ้าย อาจมีอาการอึดอัด รู้สึกหายใจไม่ออก พบอาการเจ็บร้าว (refer pain)ไปยังแขนซ้าย เจ็บร้าวบริเวณกาม
การวินิจฉัย
ทฤษฎี
1.ซักประวัติเกี่ยวกับอาการเจ็บหน้าอก
2.ประเมินสัญญาณชีพ คือ BP ต่ำ การเค้นของหัวใจและการหายใจผิดปกติ
3.ผลตรวจ EKG ผิดปกติ
4.ประเมินภาวะหัวใจล้มเหลว ฟังเสียงปอดพบเสียงcrepitation ที่ปอดทั้งสองข้าง
ผู้ป่วย
จากการซักประวัติผู้ป่วยรายนี้มีอาการเจ็บหน้าอก ร้าวไปแขนซ้าย กรามซ้ายขณะ pain score 8 คะแนน
Vital signs
PR = 102 ครั้ง/นาที (เร็ว)
R = 24 ครั้ง/นาที (เร็ว)
BP = 96/62 mmHg (ต่ำ)
SaO2 = 94% room air
ค่า EKG ผิดปกติ
การรักษา
ทฤษฎี
1.ระยะฉุกเฉิน วินิจฉัยให้เร็วที่สุดและรีบประเมินอัตราเสี่ยงผู้ป่วย ทำให้อาการเจ็บหน้าอกหายโดยการให้ยา MO
2.ดูแลในระยะแรก พิจารณาให้ reperfusion therapy เพื่อลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ ป้องกัน infarc extension และ expansion การให้opกลุ่มละลายลิ่มเลือดอย่างเร็ว การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
3.การดูแลภายหลังระยะแรก การให้ยารับประทานเช่น ASA ACE เพื่อบดอัตราการคายลดอาการเจ็บหน้าอก แบะเพิ่มการบีบตัวของหัวใจ
4.การดูแลระยะก่อนออกโรงพยาบาล ปรเมินอาการเสี่ยงและการกลับมาเป็นซ้ำ
ผู้ป่วย
สำหรับผู้ป่วยรายนี้ได้รับการรักษาโดยการให้ยา MO 10 mgเพื่อลดอาการปวดหน้าอก Isordril 5 mg ซึ่งเป็นยาขยายหลอดเลือดทำให้หัวใจบีบเลือดผ่านหลอดเลือดง่ายขึ้น ASA เพื่อบรรเทาอาการปวด clopidogrel 75 mgซึ่งเป็นยาต้านเกล็ดเลือดลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ
พยาธิสภาพ
หลอดเลือดแดงโคโรนารี่ตีบแข็งส่งผลให้หลอดเลือดฉีกขาดง่าย มีการอุดตัดขัดขวางการไหลเวียนเลือด ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง ขาดเลือดนาน 20นาที กล้ามเนื้อหัวใจจะตายและส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ต่อมาร่างกายจะมีภาวะกรดจากการไหลเวียนของเลือดลดลง ทำให้การนำฟฟ้าผิดปกติ หัวใจเต้นผิดปกติและหัวใจสูบฉีดเลือดลดลง
ผู้ป่วยรายนี้มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเนื่องจากมีประสัติเป็นโรคไขมันในเลือดสูงและสูบบุหรี่ ส่งผลให้หลอดเลือดแดงโคโรนารี่ตีบแข็ง การไหลเวียนเลือดลดลง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงร่วมกับการออกกำลังกายที่เพิ่มการทำงานของหัวใจแต่เลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอทำให้ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
การรักษา
4.การดูแลในระยะก่อนออกจากโรงพยาบาล
การประเมินอาการทางคลิก
กลุ่มที่เสี่ยงสูง
Congestive heart failure
Malignant arrhythmia
ผู้ที่ยังมีอาการเจ็บหน้าอก
Hypotension
การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ :
แนะนำให้หยุดสูบบุหรี่
ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่นๆเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารเค็ม
ประเมินอัตราเสี่ยงและป้องกันภาวะกลับมาเป็นซ้ำ
การเกิดหัวใจล้มเหลวและลดการตาย
2.ดูแลในระยะแรก พิจารณาให้ reperfusion therapy เพื่อลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ ป้องกัน infarc extension และ expansion การให้ยากลุ่มละลายลิ่มเลือดอย่างเร็ว การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาละลายลิ่มเลือด(Thombolytic agents)
ยาต้านเลือดแข็งตัว(Anticiagulant agents) '
Clopidogrel 75 mg
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาโคลพิโดเกรลที่พบได้บ่อยมากสุด ได้แก่ อาการฟกช้ำและมีเลือดออกที่ไม่รุนแรง หากพบอาการข้างเคียงดังกล่าวผู้ใช้ยาควรปรึกษาแพทย์
เหตุผลที่ผู้ป่วยได้รับยา
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับยา clopidogrel เนื่องจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงจากพยาธิสภาพของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธ์จับกับตัวรับพีทูวายทเวลฟ์ของเกล็ดเลือดเกิดเป็นสะพานไดซัล ไฟด์ (Disulfide bridge) ยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือด ทางระบบเอดีพี(Adenosine diphosphate: ADP) อย่างถาวร
ยาต้านเกล็ดเลือด(Antiplatelet agents)
Aspirin (ASA)
กลไกการออกฤทธิ์
-แอสไพรินออกฤทธ์ิขัดขวางการทำงานของ cyclooxygenase (COX) เอนไซม์ ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนarachidonicacidไปเป็นprostaglandinGB2B(PGGB2B)อันเป็นขั้นตอนแรกของการสังเคราะห์prostaglandins(เช่นชนิดEและF)
ผลข้างเคียง
-ผื่นคัน ลมพิษ บวมที่ตาใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้นหรือช่องคอ หายใจลำบากหรือ หายใจมีเสียงหวีด เสียงแหบ ตัวเย็น มีเสียงในหู หรือไม่ได้ยินเสียง อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นสีแดงสด หรือสีดาคล้ำ
ข้อบ่งใช้
บรรเทาอาการปวด
เหตุผลที่ผู้ป่วยได้รับยา ASA
เพื่อบรรเทาอาการปวดหน้าอกจากพยาธิสภาพของโรคกล้ามกัวใจตายเฉียบพลัน
Dipyridamole
การทำ precutaneous Intervention : PCI เป็นการขยายหลอดลมในภาวะฉุกเฉิน
ในกรณีนี้ผู้ป่วยได้รับเป็นยา Isordril 5 mg
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว
เหตุผลที่ผู้ป่วยได้รับยา Isordril
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ดังนั้นจึงได้รับยานี้เพื่อป้องกันการเกิดอาการปวดเค้นหัวใจและเพื่อบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
กลไกการออกฤทธิ์
ยากลุ่มน้ีมีผลทาให้กล้ามเน้ือเรียบคลายตัว โดยกลไกที่เกี่ยวข้องกับการปลด ปลอ่ย nitricoxide(NO)พบว่าNOหรือNOที่เปลี่ยนแปลงไปเป็น nitrosothiols มีฤทธ์ิกระตุ้น การทำงานของ guanylyl cyclase ที่อยู่ใน cytoplasm ส่ง ผลให้มีการเพิ่มปริมาณของ intracellularcGMP โดย cGMP มีบทบาทสำคัญที่ทำให้กล้ามเน้ือเรียบคลายตัว
1.ระยะฉุกเฉิน วินิจฉัยให้เร็วที่สุดและรีบประเมินอัตราเสี่ยงผู้ป่วย
ทำให้อาการเจ็บหน้าอกหายโดยการให้ยา MO
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์โดยจับกับ mu (μ) receptors เป็นหลัก ที่บริเวณสมองและไขสันหลัง มีผล บรรเทาอาการปวด และ ทาให้เกิดอารมณ์เคลิ้มสุขได้
ข้อควรระวัง/ข้อห้ามใช้
• ห้ามใช้ในผู้ป่วยหอบหืดรุนแรงและเฉียบพลัน (acute severe asthma) ความดันใน สมองสูง ผู้ป่วยช็อค ผู้ป่วยไตวาย
• ระมัดระวังการใช้ในหญิงให้นมบุตร เนื่องจากยานี้ผ่านและขับออกทางน้านมได้ หากจาเป็นต้องใช้ในหญิงให้นมบุตร ควรเฝ้าระวังการกดการหายใจในทารกด้วย
• ให้ระมัดระวังการใช้กับผู้ใหญ่ที่ปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 600 ซีซี หรือผู้ที่ไต บกพร่องหรือเสีย เพราะยาอาจสะสมได
• ระมัดระวังพิเศษในผู้ป่วยสูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยโรคหัวใจ ไต ตับ
ผลข้างเคียง
Overdose จะง่วงซึม หายใจช้า และม่านตาหดเล็กเท่ารูเข็ม
-คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องผูก ปัสสาวะคั่ง ง่วงซึม วิงเวียน ตาพร่า หัวใจเต้น ช้า ความดันโลหิตต่า เหงื่อออก คัน
เหตุผลที่ผู้ป่วยได้รับยา MO
ผู้ป่วยรายนี้มีอาการเจ็บหน้าอก ประเมิน pain score ได้ 8คะแนน แพทย์จึงให้ยา MO เพื่อบรรเทาอาการปวด
ถ้าหลังจากอมยาไนโตรกลีเซอรีนแล้วยังคงมีอาการเจ็บหน้าอกต้องได้รับ morphine sulfate ขนาด 3mg ผสมสสลล10cc
3.การดูแลภายหลังระยะแรก การให้ยารับประทานเช่น ASA ACE เพื่อลดอัตราการตาย ลดอาการเจ็บหน้าอก และเพิ่มการบีบตัวของหัวใจ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายซ้ำเนื่องจากพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ
เสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายซ้ำเนื่องจากพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ
เสี่ยงต่อการเกิด cardiac arrest
แบบแผนการนอนหลับผิดปกติ เนื่องจากเจ็บหน้าอกและไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดลอมในโรงพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากการกำซาบเนื้อเยื่อไม่มีประสิทธิภาพจากการทำงานของหัวใจลดลง
ความทนต่อกิจกรรมลดลง เนื่องจากเหนื่อยล้า จากปริมาตรเลือดที่ หัวใจ ส่งออกต่อนาทีลดลง
มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ผู้ป่วยขาดความรู้ในการดูแลตนเอง