Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กโรคหัวใจ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กโรคหัวใจ
กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง (acquired heart disease)
โรคหัวใจที่เกิดภายหลัง (acquired heart disease โรคหัวใจที่มี
การดำเนินโรค หรือความผิดปกติของหัวใจซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเกิดโดยโรคหัวใจที่เกิดภายหลังจะไม่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีน
บนโครโมโซมของเด็กตั้งแต่แรกเกิด
การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ (Infective endocarditis)
การอักเสบซึ่งเกิดจากการติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจชั้นในสุด หรือ
เยื่อบุผิวภายในหัวใจ หรือลิ้นหัวใจ หรือเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือหลอดเลือดแดงของหัวใจ นอกจากนี้อาจพบในลิ้นหัวใจเทียม ผนัง
หัวใจที่ผิดปกติ
สาเหตุ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา ริคเกทเซีย (rickettsia)
หรือไวรัส แต่มักมีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ Streptococcus viridans, Staphylococcus aureus
ระบาดวิทยา
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิดทั้งชนิดที่มีอาการเขียวและไม่เขียว โดยมักพบการ
ติดเชื้อที่หัวใจซีกขวามากกว่าหัวใจซีกซ้าย
กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง เช่น โรคหัวใจรูห์มาติคที่มีพยาธิสภาพ หรือ
การทำลายที่ลิ้นหัวใจ และมีการยื่นย้อยของลิ้นไมตรัล
กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่ได้รับการผ่าตัด
อาการและอาการแสดง
มีไข้ ลักษณะไข้ต่ำ ๆ
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย
เสียงฟู่ของหัวใจ (heart murmur)
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ
ควรติดตามเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อในเลือดเป็นระยะ ๆ
ตรวจสอบหาแหล่งของการติดเชื้อที่ทำให้เกิด IE เช่น ฟัน ทางเดิน
ปัสสาวะ
การป้องกัน
เป็นการให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหรือหลังการทำหัตถการที่มีโอกาส
เสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสโลหิตเพิ่มขึ้น เช่น การทำฟัน การะเจาะเลือด การให้สารน้ำทางหลอดดำ การใส่สายสวนปัสสาวะ การตัดต่อม
ทอนซิล
โรคหัวใจรูห์มาติค (Rheumatic Heart Disease)
โรคหัวใจรูห์มาติค เกิดตามหลังไข้รูห์มาติค (rheumatic fever) ซึ่งมี
การติดเชื้อที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของอวัยวะต่าง ๆได้ โดยเฉพาะทำให้เกิดการอักเสบของหัวใจ ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจ
วาย ตลอดจนลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้
ไข้รูห์มาติค (Rheumatic Fever)
ไข้รูห์มาติค หมายถึง โรคที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น
หัวใจ เนื้อเยื่อของข้อ สมอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และผิวหนัง
อาการและอาการแสดง
major criteria
Carditis
polyarthritis
chorea หรือ sydenham’s chorea
subcutaneous nodules
minor criteria
มีไข้ต่ำ ๆ
polyarthralgia มีอาการปวดข้อโดยไม่มีอาการอักเสบ
เลือดกำเดาไหล
ปวดท้อง รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย เหงื่อออกมาก เจ็บหน้าอกซีด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
กระเพาะเชื้อจากบริเวณคอ (thoat swab culture)
antistreptolysin O (ASO) ค่า ASO ในเลือดจะสูงขึ้นเพราะมี
การสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อมาก่อน ค่าปกติของ ASO อยู่ระหว่าง 0-120 Todd unit
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะสำหรับกำจัดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ
ให้ยาสำหรับต้านการอักเสบของหัวใจและข้อ ได้แก่ salicylate และ steroid
ให้นอนพัก โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มี carditis และอาการหัวใจวาย ให้พักจนกว่าจะ
ควบคุมภาวะหัวใจวายได้ ต่อมาค่อย ๆ เพิ่มการเคลื่อนไหวมากขึ้นในเวลา 3 เดือน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A ซ้ำ
และมีการติดเชื้อเยื่อบุหัวใจ จากการเป็นโรคหัวใจ รูห์มาติคมาก่อน
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อเนื้อเยื่อของร่างกายขาด
ออกซิเจน เนื่องจากมีภาวะหัวใจวาย เพราะมีการอักเสบของหัวใจและพยาธิสภาพของลิ้นหัวใจ
ผู้ป่วยมีความเครียดต่อการถูกจำกัดให้พักอยู่
บนเตียงและอยู่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจวาย
ภาวะหัวใจวาย หรือภาวะหัวใจล้มเหลว กลุ่มอาการหรือ
ความผิดปกติที่เกิดในระบบไหลเวียนเลือด เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปตามระบบไหลเวียนเลือดเพื่อนำ
ออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
สาเหตุ
ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจาก
มีปริมาณเลือดในหัวใจเพิ่มขึ้นมากเกิดจากมีการรั่วไหลของเลือดทำให้มีปริมาณเลือดในเวนตริเคิลมากขึ้น
ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจาก
มีความดันในเวนตริเคิลสูงกว่าปกติเกิดจากการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิล
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการ
ทำงานของหัวใจลดลง
จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ส่งผลให้ปริมาณเลือดไหล
ออกจากหัวใจลดลง
อาการและอาการแสดง
อาการของหัวใจซีกซ้ายวาย หายใจเร็ว ปีกจมูกบาน หายใจ
ลำบาก หน้าอกบุ๋ม และมีการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ ฟองหรือมีเลือดปน
อาการของหัวใจซีกขวาวาย หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง หน้า
บวม ตาบวม ตับโต บางรายอาจมีม้ามโต คลื่นไส้ อาเจียน
การรักษา
Ianoxin
เพิ่มแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้หัวใจเต้นช้าลง
อัตราการเต้นของหัวใจที่ลดลง ส่งผลให้มี cardiac output เพิ่มขึ้น มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น และส่งผลต่อเนื่อง คือ ลดการคั่งของ
เลือดในหลอดเลือดฝอยที่ปอด
เพิ่มการขับปัสสาวะออกจากร่างกายมากขึ้น (diuresis) ทำให้ลดแรง
ต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (afterload) หัวใจจึงสามารถบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า
ประเมินพัฒนาการของเด็ก
จัดให้เด็กมีโอกาสเล่นในช่วงสั้น ๆ
จัดหาของเล่นต่าง ๆ
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะเป็นพิษจากดิจิตาลิส
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาดิจิตาลิส จะต้องฟังอัตราของหัวใจหรือจับชีพจรให้
ครบเต็มนาที
สังเกตและบันทึกอัตราชีพจรและฟังเสียงหัวใจอย่างสม่ำเสมอ
กลุ่มอาการคาวาซากิ
(Kawasaki Disease
สาเหตุ
จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ริกเก็จเชีย และอื่นๆ
ที่กระตุ้นให้เด็กบางคนตอบสนองทางอิมมูนผิดปกติทำให้เกิดอาการขึ้น
พยาธิสรีรวิทยา
มีการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี่และ
หลอดเลือดแดงขนาดกลางอื่นๆ และมี Platelet thrombiอุดหลอดเลือดแดง
อาการและอาการแสดง
ไข้
ส่วนใหญ่จะเป็นไข้สูงเป็นพักๆ โดยช่วงที่ไข้ลดมัก
จะไม่ลดลงจนเป็นปกติ ตามเกณฑ์การวินิจฉัยโดยทั่วไป
การเปลี่ยนแปลงที่มือและเท้า
เป็นลักษณะที่ไม่ค่อยเห็น
ในโรคอื่นๆ มือ เท้า จะบวม แดง บางรายเจ็บชัดเจนตั้งแต่ข่วงแรกๆ ของโรค ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีไข้
จะเห็นผิวหนังลอก โดยเริ่มลอกบริเวณรอบๆเล็บมือ เล็บเท้าอาจลามมาจนลอกทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์
หลังจากเริ่มมีไข้อาจเห็นรอยขีดเล็กๆตามแนวขวางของเล็บที่เรียกว่า Beau Line
ตาแดง
จะเป็นทั้ง 2 ข้าง มักเห็นภายใน 2 - 4 วันแรก
นับจากเริ่มมีไข้ การแดงจะเป็นบริเวณตาขาวมาก
ริมฝีปากแดงและแห้ง
เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกๆของ
โรค มีริมฝีปากแตก อาจมีเลือดออกด้วย เยื่อบุในปากแดง
การพยาบาล
1.ประเมินการทำงานของหัวใจและปอดและหลอดเลือดเกี่ยวกับการ
มีอาการของหัวใจอักเสบ สังเกตจังหวะการเต้นของหัวใจ การเจ็บหน้าอก
2.ประเมินการไหลเวียนเลือดของแขนขา เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในระยะเฉียบพลัน เมื่อ Thrombi อันเป็นเหตุให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก ทำให้เกิดการติดเชื้อ และ necrosis ของนิ้วมือนิ้วเท้าได้
วัดชีพจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะให้ gamma globulin ควรสังเกตดู
ปฏิกิริยาของการแพ้ ถ้าแพ้ให้หยุดทันที การมีไข้สูงและไม่ลดลงด้วยยาให้การดูแลตามอาการ กระตุ้นให้ดื่มน้ำเพิ่ม ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ไม่ต้องห่มผ้า
และเช็ดตัวสลดไข้ให้ในระยะเฉียบพลัน ควรวัดปรอททุก 4 ชั่วโมงดูจังหวะการเต้นของชีพจรอาจผิดปกติ
ดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยา เช่น แอสไพรินจะมีเลือดออกและกัด
กระเพาะอาหาร
ตวงและบันทึกน้ำดื่ม ปัสสาวะ ในรอบ 24 ชั่วโมง ระวังการขาดน้ำ
ดูอาการของหัวใจวาย ปัสสาวะลดลง
อาหารไม่เพียงพอทั้งทางปากและหลอดเลือดดำ ป้องกันการขาดน้ำ
ระยะเฉียบพลัน ดูแลความอยากอาหาร จัดอาหารให้น่ารับประทาน และมีความสะดวกสบายในการรับประทานอาหาร ถ้ามีหัวใจวาย มีบวม
อาจให้อาหารลดเค็ม
ชั่งน้ำหนักทุกวัน ดูอาการบวมของภาวะหัวใจวาย
ระวังการติดเชื้อของผิวหนัง ผิวหนังจะเป็นผื่นหรือบวม ควรรักษาความ
สะอาด ไม่อับชื้น
ลดความไม่สุขสบาย มือและเท้าบวมจะเจ็บปวดเนื่องจากแรงกดบนเนื้อเยื่อ
โดยสารคัดหลั่งของการอักเสบ
จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบสงบ ให้เด็กบางรายที่กระสับกระส่ายได้พักผ่อน
เพียงพอ ให้บิดามารดาช่วยประคบประคอง
ลดความกลัวและวิตกกังวล เพราะมีผลต่อหัวใจได้ พยาบาลให้ข้อมูลกับ
เด็กว่าอาการจะสามารถดีขึ้นได้
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิด (congenital heart disease)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
กลุ่มที่มีการไหลลัดของเลือดจากหัวใจซีกซ้ายไปซีกขวา
(left to right shunt)
Atrial septal defect (ASD)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้น
ระหว่างเอเตรียม เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเอเตรียม ที่ไม่สมบูรณ์
อาการและอาการแสดง
เด็กที่มี ASD ทั้งในเด็กเล็กและเด็กโต มักจะไม่มีอาการ
แสดงหรืออาการที่ผิดปกติ บางรายอาจจะมีการติดเชื้อในระบบหายใจ หรือมีการเจริญเติบโตช้า อาการอ่อนเพลีย
เหนื่อยง่ายเวลาออกแรงหรือออกกำลังกาย
Patent ductus arteriosus (PDA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีเลือดไปปอดมาก ซึ่งมีความผิดปกติ คือ หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่ภายหลังเด็กเกิด ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
และหลอดเลือดเอออร์ต้าส่วนที่จะไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่าง(descending aorta) โดยทั่วไปหลอดเลือด ductus arteriosus จะ
ฝ่อแข็งกลายเป็นพังผืด (ligament) ทำให้เกิดการปิดของหลอดเลือด ductus arteriosus ภายหลังเด็กเกิดได้ 1-4 สัปดาห์
อาการและอาการแสดง
PDA ขนาดเล็กมักจะไม่มีอาการผิดปกติ PDA ขนาดใหญ่
มักจะมาด้วยอาการของหัวใจซีกซ้ายวาย โดยมีอาการหายใจเร็ว เหงื่อออกมากเวลาดูดนม เหนื่อยหอบ น้ำหนักขึ้นช้า
Ventricular septal defect (VSD)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้น
ระหว่าง เวนตริเคิล เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเวนตริเคิล(ventricular septum) ที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดทางติดต่อ
ระหว่างเวนตริเคิลซ้ายและขวา
อาการและอาการแสดง
มีอาการเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลาดูดนม มีเหงื่อออกมาก
ตัวเล็กหรือเลี้ยงไม่โต พัฒนาการอาจจะปกติหรือล่าช้า ติด เชื้อในระบบหายใจได้บ่อย ๆ
กลุ่มที่มีการอุดกั้นการไหลของเลือด
(obstructive lesions)
Aortic stenosis (AS)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้นเออ
อร์ติค หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลซ้าย
อาการและอาการแสดง
ในพวกที่ลิ้นตีบมากอาจจะมีอาการอ่อนเพลียง่ายเวลาเล่น
เจ็บหน้าอก
Pulmonary stenosis (PS)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้น
พัลโมนารี หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลขวา ทำให้เวนตริเคิลขวาบีบตัวส่งเลือดดำผ่านลิ้นพัลโมนารี
ที่ตีบไปปอดได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอาการแสดง
moderate PS และ severe PS ภาวะหัวใจวาย
Coarctation of aorta (CoA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการคอดหรือการ
ตีบแคบที่หลอดเลือดเอออร์ต้าตรงบริเวณหลอดเลือดductus arteriosus มาเชื่อมกับหลอดเลือดเอออร์ต้า
อาการและอาการแสดง
หายใจแรงและเร็ว เหนื่อยหอบ เหงื่อออกมาก ดูดนมช้า
เลี้ยงไม่โต จะตรวจพบชีพจรที่ขาทั้ง 2 ข้างเบากว่า
การพยาบาล
เนื้อเยื่อของร่างกายมีโอกาสได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
เนื่องจากประสิทธิการทำงานของหัวใจลดลง
การพยาบาล
จำกัดกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย และดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง (semi-Fowler’s position)
ดูแลให้ออกซิเจนเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจน
ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนรสจืด หรือเค็มน้อย
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาจำพวกดิติตาลิสตามแผนการรักษา
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นลมหมดสติ เนื่องจากสมองได้รับออกซิเจนไม่
เพียงพอ จากการที่มีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
การพยาบาล
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
แนะนำผู้ป่วยให้จำกัดกิจกรรมที่ต้องออกแรง
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเป็นลม ให้การดูแล
จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ และยกปลายเท้าให้สูงกว่า
ปลดเสื้อผ้าให้หลวมเพื่อให้ปอดขยายตัว
สังเกตและบันทึกชีพจร และความดันเลือด
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปอด เนื่องจากมีเลือดไป
ปอดมาก
การพยาบาล
การรักษาความสะอาดของปากฟัน
ดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาด
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เนื่องจากมีความผิด
ปกติของหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้มีการไหลลัดของเลือด
การพยาบาล
ดูแลรักษาความสะอาดของปากฟัน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะก่อนการรับ การทำฟัน การขูดหินปูนการถอนฟัน
ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีการเจริญเติบโตที่ไม่สมวัย หรือต่ำกว่า
เกณฑ์ เนื่องจากดูดนม/รับประทานอาหารได้น้อย
การพยาบาล
ในเด็กโตควรได้รับอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีจำนวนแคลอรีสูงกว่าปกติ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย
การเคลื่อนไหวร่างกาย แขน ขา จึงมีน้อย หรือในเด็กเล็กบางรายที่มีอาการ
การพยาบาล
ประเมินพัฒนาการของเด็ก
วางแผนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
บิดามารดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจและ
หลอดเลือดตั้งแต่กำเนิดของบุตร
การพยาบาล
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติ
ให้ข้อมูลแก่บิดามารดาเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของบุตร
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียว
กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อย อาจมีภาวะสมองขาด
ออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
Tetralogy of Fallot (TOF หรือ TF)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อยมีความผิดปกติ 4อย่าง
การตีบของลิ้นพัลโมนารี (pulmonic stenosis)
ผนังระหว่างเวนตริเคิลมีรูรั่ว (VSD) ขนาดใหญ่
ตำแหน่งของลิ้นเอออร์ติคเลื่อนไปทางด้านขวา (overriding aorta หรือ dextroposition of the aorta)
มีการหนาตัวของเวนตริเคิลขวา (right ventricular hypertrophy)
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวทั่วร่างกาย
ภาวะหัวใจวาย
Pulmonic atresia (PA) ลิ้นพัลโมนารี
Tricuspid atresia (TA) ลิ้นไตรคัสปิดตัน
กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดมาก อาการเขียว และมีภาวะ
หัวใจวาย
Transposition of the Great Arteries (TGA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือดไปปอดมากซึ่งพบได้
บ่อยที่สุด มีความผิดปกติ คือ
มีการสลับที่กันของหลอดเลือด
แดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจ
ได้แก่
หลอดเลือดเอออร์ต้าและ
หลอดเลือดแดงพัลโมนารีโดยหลอดเลือดเอออร์ตัวออกจากเวนตริเคิลขวา และหลอดเลือดแดงพัลโมนารีออกจากเวน
ตริเคิลซ้าย
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวมากตั้งแต่แรกเกิด ภายใน 2-3 วันแรกหลังเกิด
หอบเหนื่อย
อาการของหัวใจวาย เพราะ foramen ovale และ
PDA ซึ่งเป็นทางติดต่อของการไหลเวียนเลือดระหว่าง 2 วงจร ได้ปิดตัวลง
การพยาบาล
ผู้ป่วยมีภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน เนื่องจาก
สมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน
ดูแลให้ผู้ป่วยสงบโดยเร็วที่สุด
จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าเข่าชิดอก
ดูแลให้ออกซิเจน
ติดตามค่าความเข้มข้นของออกซิเจน
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนได้ง่าย
ควบคุมและจำกัดกิจกรรมต่าง ๆ
ดูแลผู้ป่วยไม่ให้มีอาการท้องผูก
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ดื่มน้ำอย่างเต็มที่
สังเกตและบันทึกปริมาณน้ำดื่ม
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการอุดตันของหลอดเลือดฝอยในร่างกายได้ เช่น
หลอดเลือดฝอย โดยเฉพาะในหลอดเลือดฝอยที่สมอง เนื่องจากมีภาวะเลือดข้น
ช่วยเปลี่ยนท่าและพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง