Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ และหลอดเลือด, นางสาวณัฐณิชา…
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจ
และหลอดเลือด
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิด
(congenital heart disease)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
กลุ่มที่มีการไหลลัดของเลือดจากหัวใจซีกซ้ายไปซีกขวา
(left to right shunt)
Ventricular septal defect (VSD)
คือ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้นระหว่าง เวนตริเคิล เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเวนตริเคิล(ventricular septum) ที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดทางติดต่อระหว่างเวนตริเคิลซ้ายและขวา
อาการและอาการแสดง
เหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลาดูดนม
เหงื่อออกมาก
ตัวเล็กหรือเลี้ยงไม่โต พัฒนาการอาจจะปกติหรือล่าช้า
ติดเชื้อในระบบหายใจได้บ่อย
Atrial septal defect (ASD)
คือ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้นระหว่างเอเตรียม เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเอเตรียมที่ไม่สมบูรณ์
อาการและอาการแสดง
เกิดได้ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต มักไม่มีอาการแสดงหรืออาการผิดปกติ
บางรายอาจจะมีการติดเชื้อใน
ระบบหายใจ หรือมีการเจริญเติบโตช้า
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
Patent ductus arteriosus (PDA)
คือ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีเลือดไปปอดมาก
ซึ่งมีความผิดปกติ คือ
หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่ภายหลังเด็กเกิด ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและหลอดเลือดเอออร์ต้าส่วนที่จะไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่าง(descending aorta) โดยทั่วไปหลอดเลือด ductus arteriosus จะฝ่อแข็งกลายเป็นพังผืด (ligament) ทำให้เกิดการปิดของหลอดเลือด ductus arteriosus ภายหลังเด็กเกิดได้ 1-4 สัปดาห์
สาเหตุ
การเกิดก่อนกำหนด
ทำให้หลอดเลือด ductus arteriosusในทารกที่เกิด มีการหดตัวตอบสนองต่อความเข้มข้นของออกซิเจนที่เหลืออยู่ในกระแสเลือดได้ไม่ดี
หรือปอดของทารกที่เกิดก่อนกำหนดยังเจริญไม่เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถขจัดprostaglandin ในกระแสเลือดออกได้หมด
ทำให้เกิดการเปิด ของหลอดเลือด ductus arteriosus หลังคลอดได้
ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ
ส่งผลให้หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่หลังคลอด
การติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
PDA ขนาดเล็กมักจะไม่มีอาการผิดปกติ
PDA ขนาดใหญ่มักจะมาด้วยอาการของหัวใจซีกซ้ายวาย
โดยมีอาการหายใจเร็ว
เหงื่อออกมากเวลาดูดนม เหนื่อยหอบ
น้ำหนักขึ้นช้า
กลุ่มที่มีการอุดกั้นการไหลของเลือด
(obstructive lesions)
Aortic stenosis (AS)
คือ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้นเอออร์ติคหรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตรีเคิลซ้าย
ทำให้เวนตริเคิลซ้ายบีบตัวส่งเลือดแดงผ่านลิ้นเอออร์ติคที่ตีบไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอาการแสดง
ในพวกที่ลิ้นตีบมากอาจจะมีอาการอ่อนเพลียง่ายเวลาเล่น
เจ็บหน้าอก
Pulmonary stenosis (PS)
คือ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้น
พัลโมนารีหรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลขวา
ทำให้เวนตริเคิลขวาบีบตัวส่งเลือดดำผ่านลิ้นพัลโมนารี
ที่ตีบไปปอดได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอาการแสดง
moderate PS และ severe PS ภาวะหัวใจวาย หรืออาการเขียวเล็กน้อย
เหนื่อยง่ายหรือเจ็บหน้าอก เป็นมากขึ้นเมื่อออกกำลังกาย
บางรายอาจเป็นลมหมดสติ
Coarctation of aorta (CoA)
คือ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการคอดหรือการตีบแคบที่หลอดเลือดเอออร์ต้าตรงบริเวณหลอดเลือดductus arteriosusมาเชื่อมกับหลอดเลือดเอออร์ต้า
ทำให้เลือดไหลจากหลอดเลือดเอออร์ต้าไปเลี้ยงร่างกายส่วนบน
และลงสู่ส่วนที่ไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่างได้ไม่สะดวก
จึงพบว่า ความดันโลหิตของแขนสูงกว่าขา
อาการและอาการแสดง
หายใจแรงและเร็ว
เหนื่อยหอบ
เหงื่อออกมาก
ดูดนมช้า เลี้ยงไม่โต
จะตรวจพบชีพจรที่ขาทั้ง 2 ข้างเบากว่า
การพยาบาล
การซักประวัติ
ดูดนมแล้วเหนื่อย ต้องหยุดเป็นช่วง ๆ มีหายใจแรง เหงื่อออกมาก กระสับกระส่าย มีอาการเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า
บางรายมีตัวซีด ตัวเล็ก น้ำหนักน้อย น้ำหนักขึ้นช้าหรือโตช้า พัฒนาการอาจล่าช้า
ส่วนในเด็กโตมักมีประวัติอ่อนเพลีย เคยมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
อาจติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งพบบ่อย
มีประวัติเป็นลม หรือมีอาการหน้ามืด
การตรวจร่างกาย
อาการเขียว หรือสีผิวเขียวคล้ำ
หายใจเร็ว (tachypnea) เกิดจากความยืดหยุ่นตัวของปอด(compliance) ลดลง
อาการหายใจลำบาก (dyspnea) เหนื่อยขณะหายใจ หายใจหน้าอกบุ๋ม มีการหดรั้งของกล้ามเนื้ออื่น ๆ
เหนื่อยง่ายเวลาที่มีกิจกรรม (exercise tolerance)
เหงื่อออกมากผิดปกติ (excessive perspiration)
อาการบวม (edema)
อาการเจ็บหน้าอก (chest pain)
อาการเจ็บบริเวณขา ผู้ป่วยโรค CoA เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่างไม่เพียงพอ
กิจกรรมการพยาบาลเมื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
จำกัดกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย และดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง (semi-Fowler’s position)
ดูแลให้ออกซิเจนเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจน
ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนรสจืด หรือเค็มน้อย
แนะนำมารดาในการประกอบและปรุงอาหารให้บุตร ควรหลีกเลี่ยงการเติมน้ำปลา ซีอิ้ว ซ๊อส ผงชูรสและเกลือในอาหาร
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาจำพวกดิติตาลิสตามแผนการรักษา
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และประเมินการทำงานของหัวใจ เช่นสีผิว ลักษณะของการหายใจ
ประเมินการสะสมน้ำในร่างกายของผู้ป่วย
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิด
(congenital heart disease)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียว
กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อย
อาจมีภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
Tetralogy of Fallot (TOF)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อย
มีความผิดปกติ 4 อย่าง
การตีบของลิ้นพัลโมนารี (pulmonic stenosis)
ผนังระหว่างเวนตริเคิลมีรูรั่ว (VSD) ขนาดใหญ่
ตำแหน่งของลิ้นเอออร์ติคเลื่อนไปทางด้านขวา (overriding aorta หรือ dextroposition of the aorta)
มีการหนาตัวของเวนตริเคิลขวา
(right ventricular hypertrophy)
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวทั่วร่างกาย (central cyanosis) มีประวัตินั่ง
ยอง ๆ อาการเหนื่อย อาการเขียวมากขึ้นร่วมกับอาการหอบลึก
ภาวะหัวใจวาย มีปริมาณเลือดไหลลัดจากหัวใจซีกซ้าย
ไปซีกขวามาก จึงมีเลือดไปปอดมากขึ้น
Pulmonic atresia (PA)
Tricuspid atresia (TA)
กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดมาก อาการเขียว และมีภาวะหัวใจวาย
Transposition of great arteries (TGA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือดไปปอดมากซึ่งพบได้บ่อยที่สุด มีความผิดปกติ คือ
มีการสลับที่กันของหลอดเลือด
แดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจ ได้แก่
หลอดเลือดเอออร์ต้าและหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
โดยหลอดเลือดเอออร์ตัวออกจากเวนตริเคิลขวา และหลอดเลือดแดงพัลโมนารีออกจากเวนตริเคิลซ้าย
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวมากตั้งแต่แรกเกิด
ภายใน 2-3 วันแรกหลังเกิด หอบเหนื่อย อาการของหัวใจวายเพราะ foramen ovale และ PDA
ซึ่งเป็นทางติดต่อของการไหลเวียนเลือดระหว่าง 2 วงจรได้ปิดตัวลง ส่วนในรายที่มี VSD ร่วมด้วย มีอาการเหนื่อย อาการของหัวใจวาย
การพยาบาล
การซักประวัติ
มีอาการเขียวเป็นพัก ๆ และหายใจหอบลึก หอบเหนื่อยจนเป็นลมหมดสติ
มีประวัติชอบนั่งยอง ๆ เวลารู้สึกเหนื่อย
มีอาการปวดศีรษะ เนื่องจากภาวะ cerebral hypoxemia
การตรวจร่างกาย
อาการเขียวคล้ำทั่วร่างกาย
ภาวะเลือดข้น มีความเข้มข้นของออกซิเจนลดลง (hypoxemia)
นิ้วมือนิ้วเท้าปุ้ม
ตาขาวแดง
ท่านั่งยอง ๆ
ภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
ฝีในสมอง
การประเมินภาวะจิตสังคม
โรคหัวใจที่เกิดภายหลัง (acquired heart disease
การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ infective endocarditis (IE)
คือ
การอักเสบซึ่งเกิดจากการติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจชั้นในสุดหรือเยื่อบุผิวภายในหัวใจ หรือลิ้นหัวใจ หรือเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือหลอดเลือดแดงของหัวใจ นอกจากนี้อาจพบในลิ้นหัวใจเทียม ผนังหัวใจที่ผิดปกติ
สาเหตุ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
แบคทีเรีย มักมีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย
Streptococcus viridans,
Staphylococcus aureus
เชื้อรา
ริคเกทเซีย (rickettsia) หรือไวรัส
ระบาดวิทยา
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิดทั้งชนิดที่มีอาการเขียวและไม่เขียว โดยมักพบการติดเชื้อที่หัวใจซีกขวามากกว่าหัวใจซีกซ้าย
กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง เช่น โรคหัวใจรูห์มาติคที่มีพยาธิสภาพ หรือการทำลายที่ลิ้นหัวใจ และมีการยื่นย้อยของลิ้นไมตรัล
กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่ได้รับการผ่าตัด
กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น
การทำฟัน
การใส่สายสวนปัสสาวะ
การเจาะเลือด
การใส่สายในหลอดเลือดดำใหญ่
อาการและอาการแสดง
มีไข้ต่ำๆ
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย
เสียงฟู่ของหัวใจ (heart murmur)
การตายของสมอง
ม้ามโต กดไม่เจ็บ อาจพบตับโต
ภาวะซีด
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ
ควรติดตามเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อในเลือดเป็นระยะ ๆ
ตรวจสอบหาแหล่งของการติดเชื้อที่ทำให้เกิด IE
เช่น ฟัน ทางเดินปัสสาวะ
การป้องกัน
เป็นการให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหรือหลังการทำหัตถการที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสโลหิตเพิ่มขึ้น เช่น
การทำฟัน
การะเจาะเลือด
การให้สารน้ำทางหลอดดำ
การใส่สายสวนปัสสาวะ
การตัดต่อมทอนซิล
การพยาบาล
การซักประวัติ ควรซักประวัติเกี่ยวกับแหล่งของการติดเชื้อ อาการและอาการแสดง
การตรวจร่างกาย ตรวจร่างกายพบเสียงฟู่ของหัวใจ
การประเมินภาวะจิตสังคม
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ESR สูง
เม็ดเลือดขาวสูง ปัสสาวะมีเลือดปน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
มีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เช่น ที่ลิ้นหัวใจต่าง ๆ
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยตามแผนการรักษา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้นอนพักผ่อน เพื่อลดการทำงานของหัวใจ
ดูแลให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบห้าหมู่โดยเป็นอาหารที่อ่อน
สังเกตอาการข้างเคียงของยาปฏิชีวนะและโรค
จัดกิจกรรมการเล่นต่าง ๆ
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่า ESR จำนวนเม็ดเลือดขาว
อาจเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจซ้ำได้
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลสุขอนามัยรักษาความสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ
แนะนำบิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยให้ดูแลสุขภาพในช่องปาก
สังเกตอาการแสดง ที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อ
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันก่อนรับการหัตถการ
มาตรวจตามนัด
โรคหัวใจรูห์มาติค rheumatic heart disease (RHD)
คือ
โรคหัวใจรูห์มาติค เกิดตามหลังไข้รูห์มาติค (rheumatic fever)
ซึ่งมีการติดเชื้อที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของอวัยวะต่าง ๆได้
โดยเฉพาะทำให้เกิดการอักเสบของหัวใจ ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวาย ตลอดจนลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้
ไข้รูห์มาติค (Rheumatic Fever)
หมายถึง
โรคที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเช่น
หัวใจ เนื้อเยื่อของข้อ สมอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และผิวหนัง เป็นผลจากautoimmune reaction มักเกิดตามหลังคออักเสบเนื่องจากเชื้อβ-hemolytic streptococcus group A โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายและลิ้นหัวใจมักถูกทำลาย
อาการและอาการแสดง
major criteria
Carditis
polyarthritis
chorea หรือ sydenham’s chorea
subcutaneous nodules
erythema marginatum
minor criteria
มีไข้ต่ำ ๆ
polyarthralgia มีอาการปวดข้อโดยไม่มีอาการอักเสบ
เลือดกำเดาไหล
ปวดท้อง รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย เหงื่อออกมาก เจ็บหน้าอกซีดและน้ำหนักลด
มีประวัติเคยเป็นไข้รูห์มาติค
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
กระเพาะเชื้อจากบริเวณคอ (thoat swab culture)
antistreptolysin O (ASO) ค่า ASO ในเลือดจะสูงขึ้น
การวินิจฉัยโรค
Jone’s criteria
2 major criteria
1 major criteria และ 2 minor criteria
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะสำหรับกำจัดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ
ให้ยาสำหรับต้านการอักเสบของหัวใจและข้อ
ผู้ป่วยที่มี arthritis carditis ที่ไม่มีหัวใจโต ให้ยา salicylates
ผู้ป่วยที่มี carditis ที่มีหัวใจโตหรือมีอาการหัวใจวาย ควรให้ยาเพรดนิโซโลน 2 มิลลิกรัม
ให้นอนพัก โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มี carditis และอาการหัวใจวาย ให้พักจนกว่าจะควบคุมภาวะหัวใจวายได้ ต่อมาค่อย ๆ เพิ่มการเคลื่อนไหวมากขึ้นในเวลา 3 เดือน
ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวาย ให้การรักษาโดยให้ยา digitalis เช่น
digoxin ยาขับปัสสาวะ
ยาลด afterload
ยาขยายหลอดเลือดแดง
รวมทั้งยา กลุ่ม angiotensin converting enzme inhibitor
การพยาบาล
การซักประวัติ ติดเชื้อในระบบหายใจ เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ
การตรวจร่างกาย มีไข้ carditis, polyarthritis, chorea, erythema marginatum, subcutaneous nodule
การประเมินภาวะจิตสังคม ความกังวลเกี่ยวกับอาการปวดข้อ หรืออาการหัวใจเต้นเร็ว
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
throat swab culture ให้ผลบวก
antistreptolysin O (ASO) unit
ค่า ESR สูง
ภาพถ่ายรังสีทรวงอก พบหัวใจโตกว่าปกติและมีลักษณะการคั่งของเลือดในปอด
ภาพถ่ายรังสีของข้อ จะพบมีน้ำในข้อ
การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง
มีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ผู้ป่วยมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ เนื่องจากมีการติดเชื้อβ-hemolytic Streptococcus group A
มีการอักเสบของข้อ เนื่องจากมีการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
อาจเกิดการกลับซ้ำของ rheumatic fever โดยมีการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
Kawasaki disease (KD)
สาเหตุ
จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ริกเก็จเชีย และอื่นๆ
ที่กระตุ้นให้เด็กบางคนตอบสนองทางอิมมูนผิดปกติ
ทำให้เกิดอาการขึ้น
พยาธิสรีรวิทยา
มีการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี่และ
หลอดเลือดแดงขนาดกลางอื่นๆ และมี Platelet thrombi
อุดหลอดเลือดแดง
อาการและอาการแสดง
ไข้
ไข้ ส่วนใหญ่จะเป็นไข้สูงเป็นพักๆ โดยช่วงที่ไข้ลดมัก
จะไม่ลดลงจนเป็นปกติ โดยทั่วไปจะมีไข้ 5 วัน
แต่ในรายที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดแดง Coronaryถ้าไม่ได้การรักษาที่เหมาะสม ไข้ จะอยู่นานหลายสัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงที่มือแดง เท้า ผื่น
เป็นลักษณะที่ไม่ค่อยเห็นในโรคอื่นๆ
บางรายเจ็บชัดเจนตั้งแต่ข่วงแรกๆของโรค ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีไข้
จะเห็นผิวหนังลอก โดยเริ่มลอกบริเวณรอบๆเล็บมือ เล็บเท้า อาจลามมาจนลอกทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์
หลังจากเริ่มมีไข้อาจเห็นรอยขีดเล็กๆตามแนวขวางของเล็บ ที่เรียกว่า Beau Line
ตาแดง
จะเป็นทั้ง 2 ข้าง มักเห็นภายใน 2 - 4 วันแรก
นับจากเริ่มมีไข้ การแดงจะเป็นบริเวณตาขาวมาก รอบๆม่านตาจะไม่ค่อยแดง ไม่ค่อยมีขี้ตา และไม่ค่อยเจ็บ
ริมฝีปากแดงและแห้ง
เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกๆของโรค
มีริมฝีปากแตก อาจมีเลือดออกด้วย เยื่อบุในปากแดง
แต่ไม่มีแผล
ลิ้นจะแดงและมี prominent papillae ที่เรียก
ว่า “Strawberry tongue”
ต่อมน้ำเหลืองโต
มักพบที่ anterior cervical triangle
มักเป็นข้างเดียว
ขนาดตามเกณฑ์การวินิจฉัยต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1.5 ซม. ลักษณะค่อนข้างแข็ง
สังเกตบริเวณที่ต่อมน้ำเหลืองโตจะพบว่าผิงหนังมักไม่แดงกว่าบริเวณรอบๆและกดไม่ค่อยเจ็บ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
มีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น มีเม็ดเลือดขาวที่อายุน้อยมากขึ้นด้วย
เกล็ดเลือดสูงในสัปดาห์ที่ 2-3
เลือดจาง ESR และ C-reactive protein สูงขึ้น
มีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ
เม็ดเลือดขาวสูงในน้ำไขสันหลัง
ระดับ transaminase และ
บิลิรูบินในซีรั่มสูงขึ้นเล็กน้อย
การพยาบาล
ประเมินการทำงานของหัวใจและปอดและหลอดเลือดเกี่ยวกับการมีอาการของหัวใจอักเสบ สังเกตจังหวะการเต้นของหัวใจ การเจ็บหน้าอก EKG เปลี่ยนแปลงไป (ST segment ต่ำลง) หายใจขัด หายใจลำบาก
ประเมินการไหลเวียนเลือดของแขนขา เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเฉียบพลัน เมื่อ Thrombi อันเป็นเหตุให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก ทำให้เกิดการติดเชื้อ และ necrosis ของนิ้วมือนิ้วเท้าได้
วัดชีพจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะให้ gamma globulin ควรสังเกตดูปฏิกิริยาของการแพ้ ถ้าแพ้ให้หยุดทันที การมีไข้สูงและไม่ลดลงด้วยยาให้การดูแลตามอาการ กระตุ้นให้ดื่มน้ำเพิ่ม ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ไม่ต้องห่มผ้าและเช็ดตัวสลดไข้ให้ในระยะเฉียบพลัน ควรวัดปรอททุก 4 ชั่วโมง ดูจังหวะการเต้นของชีพจรอาจผิดปกติ
ดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยา เช่น แอสไพรินจะมีเลือดออกและกัดกระเพาะอาหาร
ตวงและบันทึกน้ำดื่ม ปัสสาวะ ในรอบ 24 ชั่วโมง ระวังการขาดน้ำดูอาการของหัวใจวาย ปัสสาวะลดลง
อาหารไม่เพียงพอทั้งทางปากและหลอดเลือดดำ ป้องกันการขาดน้ำระยะเฉียบพลัน ดูแลความอยากอาหาร จัดอาหารให้น่ารับประทาน และมีความสะดวกสบายในการรับประทานอาหาร ถ้ามีหัวใจวาย มีบวมอาจให้อาหารลดเค็ม
ชั่งน้ำหนักทุกวัน ดูอาการบวมของภาวะหัวใจวาย
ทำความสะอาดปาก ฟัน ปากแตกแห้ง ถ้าในปากมีเยื่อบุในปากอักเสบอาหารต้องเป็นประเภทอ่อน
ระวังการติดเชื้อของผิวหนัง ผิวหนังจะเป็นผื่นหรือบวม ควรรักษาความสะอาด ไม่อับชื้น ไม่มีสิ่งรบกวนจากเสื้อผ้าทั้งหลาย ไม่ใส่เสื้อผ้าที่ร้อนบริเวณที่บวม ป้องกันการเสียดสีและกดทับ การจับต้องควรสุภาพนุ่มนวลเบามือเพื่อทำให้สุขสบาย
ลดความไม่สุขสบาย มือและเท้าบวมจะเจ็บปวดเนื่องจากแรงกดบนเนื้อเยื่อโดยสารคัดหลั่งของการอักเสบ
จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบสงบ ให้เด็กบางรายที่กระสับกระส่ายได้พักผ่อนเพียงพอ ให้บิดามารดาช่วยประคบประคอง และดูแลเด็กให้เด็กสุขสบายและมั่นใจจัดกิจกรรมให้ตามอายุเพื่อให้หายหงุดหงิด งอแง
ลดความกลัวและวิตกกังวล เพราะมีผลต่อหัวใจได้ พยาบาลให้ข้อมูลกับเด็กว่าอาการจะสามารถดีขึ้นได้
การดูแลสุขภาพที่บ้าน ต้องดูแลเรื่องหัวใจและหลอดเลือดต่อไป อธิบายเรื่องยาที่ได้รับไปรับประทานต่อที่บ้านและดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยา วัดปรอททุกวัน หากไข้สูงติดต่อกัน 5 วัน ควรมาพบแพทย์
ดูภาวะแทรกซ้อนของหัวใจและหลอดเลือด การได้รับวัคซีนป้องกันโรค ควรให้ภายหลังได้รับ gamma globulin 3 เดือน เพราะร่างกายอาจจะไม่สร้างภูมิคุ้มกันในระยะนี้ และเด็กจะต้องมาตรวจตามนัดอีกเป็นเวลายาวนาน
ต้องอธิบายให้บิดามารดาและผู้ป้องครองของเด็กเข้าใจและปฏิบัติ
ภาวะหัวใจวาย หรือภาวะหัวใจล้มเหลว
คือ
กลุ่มอาการหรือความผิดปกติที่เกิดในระบบไหลเวียนเลือดเป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปตามระบบไหลเวียนเลือดเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
สาเหตุ
ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้นเนื่องจากมีปริมาณเลือดในหัวใจเพิ่มขึ้นมากเกิดจากมีการรั่วไหลของเลือดทำให้มีปริมาณเลือดในเวนตริเคิลมากขึ้น
กลุ่มที่มีเลือดไหลลัดจากหัวใจซีกขวา
กลุ่มที่มีการรั่วของลิ้นหัวใจ
กลุ่มที่มีเลือดไปปอดมากขึ้น
ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจากมีความดันในเวนตริเคิลสูงกว่าปกติเกิดจากการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิล
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจลดลง
จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ส่งผลให้ปริมาณเลือดไหลออกจากหัวใจลดลง
อาการและอาการแสดง
อาการของหัวใจซีกซ้ายวาย
หายใจเร็ว ปีกจมูกบาน หายใจ
ลำบาก หน้าอกบุ๋ม
และมีการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการ
หายใจ ฟองหรือมีเลือดปน
และฟังได้เสียง crepitation เนื่องจากมี
pulmonary congestion
อาการของหัวใจซีกขวาวาย
หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง
หน้าบวม ตาบวม ตับโต บางรายอาจมีม้ามโต
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง แน่นอึดอัดท้อง แขนขาเย็น บวม
การรักษา
Ianoxin
เพิ่มแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้หัวใจเต้นช้าลงอัตราการเต้นของหัวใจที่ลดลง ส่งผลให้มี cardiac output เพิ่มขึ้น มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น และส่งผลต่อเนื่อง คือ ลดการคั่งของ
เลือดในหลอดเลือดฝอยที่ปอด
เพิ่มการขับปัสสาวะออกจากร่างกายมากขึ้น (diuresis) ทำให้ลดแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (afterload) หัวใจจึงสามารถบีบเลือดไป
เลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น
การพยาบาล
การซักประวัติ
มีประวัติติดเชื้อบ่อย เช่น ปอดอักเสบ
เด็กมักเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลาดูดนม ดูดนมได้ช้า
ออกแรงแล้วมีอาการเหนื่อย
เด็กมักโตช้า ตัวเล็ก เด็กมีน้ำหนักน้อย
เหงื่อออกมาก
กระสับกระส่าย
ปัสสาวะน้อย
หายใจแรง
หัวใจเต้นเร็ว
ชีพจร เบา เร็ว
ซีด หรือมีอาการเขียว
มือเท้าเย็น เนื่องจาก มีการหดตัวของหลอดเลือด
ความดันโลหิตสูง
ฟังได้ยินเสียงฟู่
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ปริมาณเลือดไปเลี้ยงร่างกายต่อนาทีลดลง เป็นผลจากความผิดปกติของหัวใจหรือหลอดเลือด เช่น VSD,ASD,PDA
ผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกิน เนื่องจากมีการคั่งหรือการสะสมของน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักเกินไป
ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากมีอัตราการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าปกติเป็นผลจากการทำหน้าที่ของหัวใจลดลง และการเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจ
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะเป็นพิษจากดิจิตาลิส
บิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล
นางสาวณัฐณิชา คำสุวรรณ เลขที่ 26 62111301027