Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจและหลอดเลือด - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาระบบหัวใจและหลอดเลือด
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิด (congenital heart disease)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
1.กลุ่มที่มีการไหลลัดของเลือดจากหัวใจซีกซ้ายไปซีกขวา(left to right shunt)
Ventricular septal defect (VSD)
เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้นระหว่างเวนตริเคิล เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเวนตริเคิล(ventricular septum) ที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดทางติดต่อระหว่างเวนตริเคิลซ้ายและขวา
อาการและอาการแสดง
มีอาการเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลาดูดนม มีเหงื่อออกมาก ตัวเล็กหรือเลี้ยงไม่โต พัฒนาการอาจจะปกติหรือล่าช้า ติดเชื้อในระบบหายใจได้บ่อย ๆ
Atrial septal defect (ASD)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีรูรั่วที่บริเวณผนังกั้นระหว่างเอเตรียม เนื่องจากมีการสร้างผนังกั้นเอเตรียมที่ไม่สมบูรณ์
อาการและอาการแสดง
เด็กที่มี ASD ทั้งในเด็กเล็กและเด็กโตมักจะไม่มีอาการแสดงหรืออาการที่ผิดปกติ บางรายอาจจะมีการติดเชื้อในระบบหายใจ หรือมีการเจริญเติบโตช้า อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเวลาออกแรงหรือออกกำลังกาย
Patent ductus arteriosus (PDA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีเลือดไปปอดมากซึ่งมีความผิดปกติคือ หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่ภายหลังเด็กเกิด ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและหลอดเลือดเอออร์ต้าส่วนที่จะไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่าง(descending aorta) โดยทั่วไปหลอดเลือด ductus arteriosus จะฝ่อแข็งกลายเป็นพังผืด (ligament) ทำให้เกิดการปิดของหลอดเลือด ductus arteriosus ภายหลังเด็กเกิดได้ 1-4 สัปดาห์
สาเหตุ
1.การเกิดก่อนกำหนด
ทำให้หลอดเลือด ductus arteriosus ในทารกที่เกิดมีการหดตัวตอบสนองต่อความเข้มข้นของออกซิเจนที่เหลืออยู่ในกระแสเลือดได้ไม่ดี หรือปอดของทารกที่เกิดก่อนกำหนดยังเจริญไม่เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถขจัด prostaglandin ในกระแสเลือดออกได้หมด ทำให้เกิดการเปิดของหลอดเลือด ductus arteriosus หลังคลอดได้
2.ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ
ส่งผลให้หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่หลังคลอด
3.การติดเชื้อ
เช่น การติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เชื้อไวรัสจะไปขัดขวางการสร้าง arterial elastic tissue ซึ่งจะเจริญต่อไปเป็นหลอดเลือด ductus arteriosus จึงมีโอกาสที่จะเกิดการเปิดของหลอดเลือด ductus artriosus ได้มากขึ้น
อาการและอาการแสดง
PDA ขนาดเล็กมักจะไม่มีอาการผิดปกติ
PDA ขนาดใหญ่มักจะมาด้วยอาการของหัวใจซีกซ้ายวาย โดยมีอาการหายใจเร็ว เหงื่อออกมากเวลาดูดนม เหนื่อยหอบ น้ำหนักขึ้นช้า
2.กลุ่มที่มีการอุดกั้นการไหลของเลือด
(obstructive lesions)
Aortic stenosis (AS)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้นเอออร์ติค หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลซ้ายทำให้เวนตริเคิลซ้ายบีบตัวส่งเลือดแดงผ่านลิ้นเอออร์ติคที่ตีบไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอาการแสดง
ในพวกที่ลิ้นตีบมากอาจจะมีอาการอ่อนเพลียง่ายเวลาเล่นเจ็บหน้าอก
Pulmonary stenosis (PS)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการตีบของลิ้นพัลโมนารี หรือมีการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิลขวา ทำให้เวนตริเคิลขวาบีบตัวส่งเลือดดำผ่านลิ้นพัลโมนารีที่ตีบไปปอดได้ไม่สะดวกหรือได้น้อยลง
อาการและอากาแสดง
moderate PS และ severe PS ภาวะหัวใจวาย หรืออาการเขียวเล็กน้อย มีอาการเหนื่อยง่าย หรือเจ็บแน่นหน้าอก และจะเป็นมากขึ้นเวลาออกกำลังกาย บางรายอาจจะมีอาการเป็นลมหมดสติ
Coarctation of aorta (CoA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดไม่เขียวที่มีการคอดหรือการตีบแคบที่หลอดเลือดเอออร์ต้าตรงบริเวณหลอดเลือด ductus arteriosus มาเชื่อมกับหลอดเลือดเอออร์ต้า ทำให้เลือดไหลจากหลอดเลือดเอออร์ต้าไปเลี้ยงร่างกายส่วนบนและลงสู่ส่วนที่ไปเลี้ยงร่างกายส่วนล่างได้ไม่สะดวก จึงพบว่าความดันโลหิตของแขนสูงกว่าขา
อาการและอาการแสดง
หายใจแรงและเร็ว เหนื่อยหอบ เหงื่อออกมาก ดูดนมช้า เลี้ยงไม่โต จะตรวจพบชีพจรที่ขาทั้ง 2 ข้างเบากว่า
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ
ดูดนมแล้วเหนื่อยต้องหยุดเป็นช่วงๆ มีหายใจแรง เหงื่ออกมาก กระสับกระส่าย มีอาการเขียวตามปลายมือปลายเท้า บางรายมีตัวซีด ตัวเล็ก น้ำหนักน้อย น้ำหนักขึ้นช้าหรือโตช้า พัฒนาการอาจล่าช้า ส่วนในเด็กโตมักมีประวัติอ่อนเพลีย เคยมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
ติดเชื้อในระบบหายใจได้บ่อย
มีประวัติเป็นลม หรือมีอาการหน้ามืด
2.การตรวจร่างกาย
หายใจเร็ว (tachypnea) เกิดจากความยืดหยุ่นตัวของปอด (compliance) ลดลง ต้องใช้ความดันที่สูด จึงจะขยายตัวออกได้ และมักเกิดจากภาวะปอดบวมน้ำ
อาการหายใจลำบาก (dyspnea) เหนื่อยขณะหายใจ หายใจหน้าอกบุ๋ม มีการหดรั้งของกล้ามเนื้ออื่นๆ หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
อาการเขียวหรือสีผิวเขียวคล้ำ
เหนื่อยง่ายเวลาที่มีกิจกรรม เหงื่อออกมากผิดปกติ อาการบวม อาการเจ็บหน้าอก
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
บิดามารดาหรือผู้ป่วยโรคหัวใจที่เป็นเด็กโตมักจะวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.เนื้อเยื่อของร่างกายมีโอกาสได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
เนื่องจากประสิทธิการทำงานของหัวใจลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
4.ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนรสจืดหรือเค็มน้อย
6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาจำพวกดิติตาลิสตามแผนการรักษา
3.ดูแลให้ออกซิเจนเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจน
7.บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
2.จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง (semi-Fowler’s position)
8.ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และประเมินการทำงานของหัวใจ เช่น สีผิว ลักษณะของการหายใจ
1.จำกัดกิจกรรมต่างๆของผู้ป่วย และดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
9.ประเมินการสะสมน้ำในร่างกายของผู้ป่วย
5.แนะนำมารดาในการประกอบและปรุงอาหารให้บุตร ควรหลีกเลี่ยงการเติมน้ำปลา ซีอิ้ว ซ๊อส ผงชูรสและเกลือในอาหาร
2.ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นลมหมดสติ เนื่องจากสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
กิจกรรมการพยาบาล
2.แนะนำผู้ป่วยให้จำกัดกิจกรรมที่ต้องออกแรง
3.ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเป็นลม ให้การดูแลจัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ และยกปลายเท้าให้สูงกว่า ปลดเสื้อผ้าให้หลวมเพื่อให้ปอดขยายตัว และสังเกตและบันทึกชีพจร และความดันเลือด
1.สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
3.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปอด เนื่องจากมีเลือดไปปอดมาก
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยมีสุขวิทยาส่วนบุคคล
ดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาด
การรักษาความสะอาดของปากฟัน
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
4.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เนื่องจากมีความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้มีการไหลลัดของเลือด
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะก่อนการรับ การทำฟัน การขูดหินปูน การถอนฟัน
สังเกตและติดตามประเมินอาการแสดงของภาวะเยื่อบุหัวใจอักเสบ เช่น มีไข้ต่ำเป็นเวลาหลายวัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ดูแลรักษาความสะอาดของปากฟัน
5.ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีการเจริญเติบโตที่ไม่สมวัยหรือต่ำกว่าเกณฑ์ เนื่องจากดูดนม/รับประทานอาหารได้น้อย
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
ดูแลให้นมแก่ผู้ป่วยตามแผนการรักษา โดยให้มื้อละปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
ในเด็กโตควรได้รับอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีจำนวนแคลอรีสูงกว่าปกติ
สังเกตและบันทึกปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนช่วงสั้น ๆ ก่อนมื้อนม/อาหารเพื่อสะสมพลังให้เพียงพอที่จะใช้การดูดนม/เคี้ยวกลืนอาหาร
ในรายที่ผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย หรือดูดนมได้ไม่หมดบ่อยครั้ง ควรรายงานแพทย์ทราบ
ติดตามชั่งน้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพื่อประเมินภาวะโภชนาการ
แนะนำให้มารดากระตุ้นให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหว และช่วยเหลือตนเองในการรับประทานอาหารเอง
6.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย การเคลื่อนไหวร่างกาย แขน ขา จึงมีน้อย หรือในเด็กเล็กบางรายที่มีอาการหายใจลำบาก
กิจกรรมการพยาบาล
วางแผนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
ให้ข้อมูลแก่บิดามารดาเกี่ยวกับพัฒนาการของบุตร
ประเมินพัฒนาการของเด็ก
7.บิดามารดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดตั้งแต่กำเนิดของบุตร
กิจกรรมการพยาบาล
ให้ข้อมูลแก่บิดามารดาเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของบุตร
สนับสนุนให้บิดามารดาอุ้มชู และกอดรัดบุตรให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ จะช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดี
อธิบายให้บิดามารดาเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติ
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียว
1.กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อย อาจมีภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน
Tetralogy of Fallot (TOF)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือดไปปอดน้อยมีความผิดปกติ 4 อย่าง
2.ผนังระหว่างเวนตริเคิลมีรูรั่ว (VSD) ขนาดใหญ่
3.ตำแหน่งของลิ้นเอออร์ติคเลื่อนไปทางด้านขวา (overriding aorta หรือ dextroposition of the aorta)
1.การตีบของลิ้นพัลโมนารี (pulmonic stenosis)
4.มีการหนาตัวของเวนตริเคิลขวา (right ventricular hypertrophy)
อาการและอาการแสดง
1.อาการเขียวทั่วร่างกาย (central cyanosis) มีประวัตินั่งยองๆ อาการเหนื่อย อาการเขียวมากขึ้นร่วมกับอาการหอบลึก
2.ภาวะหัวใจวาย มีปริมาณเลือดไหลลัดจากหัวใจซีกซ้ายไปซีกขวามาก จึงมีเลือดไปปอดมากขึ้น
Pulmonic atresia (PA)
Tricuspid atresia (TA)
2.กลุ่มที่มีอาการเขียวที่มีเลือดไปปอดมาก อาการเขียว และมีภาวะหัวใจวาย
Transposition of great arteries (TGA)
โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียวที่มีเลือดไปปอดมากซึ่งพบได้บ่อยที่สุด มีความผิดปกติคือ มีการสลับที่กันของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจ ได้แก่ หลอดเลือดเอออร์ต้าและหลอดเลือดแดงพัลโมนารีโดยหลอดเลือดเอออร์ตัวออกจากเวนตริเคิลขวา และหลอดเลือดแดงพัลโมนารีออกจากเวนตริเคิลซ้าย
อาการและอาการแสดง
อาการเขียวมากตั้งแต่แรกเกิดภายใน 2-3 วันแรกหลังเกิดหอบเหนื่อย อาการของหัวใจวาย เพราะ foramen ovale และ PDA ซึ่งเป็นทางติดต่อของการไหลเวียนเลือดระหว่าง 2 วงจร ได้ปิดตัวลง ส่วนในรายที่มี VSD ร่วมด้วยมีอาการเหนื่อย อาการของหัวใจวาย
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ
มีประวัติชอบนั่งยองๆ เวลารู้สึกเหนื่อย
มีอาการปวดศีรษะ เนื่องจากภาวะ cerebral hypoxemia
มีอาการเขียวเป็นพักๆ และหายใจหอบลึก หอบเหนื่อยจนเป็นลมหมดสติ
2.การตรวจร่างกาย
อาการเขียวคล้ำทั่วร่างกาย ภาวะเลือดข้น มีความเข้มข้นของออกซิเจนลดลง (hypoxemia)
นิ้วมือนิ้วเท้าปุ้ม ตาขาวแดง ท่านั่งยองๆ ภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน ฝีในสมอง
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
ประเมินความวิตกกังวล ของผู้ป่วยและบิดามารดาเกี่ยวกับการเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจน ร่วมกับอาการเขียวทั่วตัวของเด็ก
กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง (acquired heart disease)
โรคหัวใจที่เกิดภายหลัง เป็นโรคหัวใจที่มีการดำเนินโรคหรือความผิดปกติของหัวใจซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเกิดโดยโรคหัวใจที่เกิดภายหลังจะไม่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีนบนโครโมโซมของเด็กตั้งแต่แรกเกิด
infective endocarditis (IE)
การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ คือการอักเสบซึ่งเกิดจากการติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจชั้นในสุด หรือเยื่อบุผิวภายในหัวใจ หรือลิ้นหัวใจ หรือเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือหลอดเลือดแดงของหัวใจ นอกจากนี้อาจพบในลิ้นหัวใจเทียม ผนังหัวใจที่ผิดปกติ
สาเหตุ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา ริคเกทเซีย (rickettsia) หรือไวรัส แต่มักมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อ Streptococcus viridans, Staphylococcus aureus
ระบาดวิทยา
2.กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง เช่น โรคหัวใจรูห์มาติคที่มีพยาธิสภาพ หรือการทำลายที่ลิ้นหัวใจ และมีการยื่นย้อยของลิ้นไมตรัล
3.กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่ได้รับการผ่าตัด
1.กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิดทั้งชนิดที่มีอาการเขียวและไม่เขียว โดยมักพบการติดเชื้อที่หัวใจซีกขวามากกว่าหัวใจซีกซ้าย
4.กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การทำฟัน การใส่สายสวนปัสสาวะ การเจาะเลือด การใส่สายในหลอดเลือดดำใหญ่ รวมทั้งการใส่สายตรวจต่างๆเพื่อการรักษา
อาการและอาการแสดง
มีไข้ ลักษณะไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย เสียงฟู่ของหัวใจ (heart murmur)
การตายของสมอง ม้ามโต กดไม่เจ็บ อาจพบตับโต ภาวะซีด
การรักษา
ควรติดตามเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อในเลือดเป็นระยะๆ
ตรวจสอบหาแหล่งของการติดเชื้อที่ทำให้เกิด IE เช่น ฟัน ทางเดินปัสสาวะ
ให้ยาปฏิชีวนะในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ
การป้องกัน
เป็นการให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหรือหลังการทำหัตถการที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสโลหิตเพิ่มขึ้น เช่น การทำฟัน การะเจาะเลือด การให้สารน้ำทางหลอดดำ การใส่สายสวนปัสสาวะ การตัดต่อมทอนซิล
การพยาบาล
การประเมินสุขภาพ
2.การตรวจร่างกาย ตรวจร่างกายพบเสียงฟู่ของหัวใจ
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
1.การซักประวัติ ควรซักประวัติเกี่ยวกับแหล่งของการติดเชื้อ อาการและอาการแสดง เช่น มีไข้ต่ำๆ เป็นช่วงๆโดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ความรู้สึกไม่สบาย
4.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ESR สูง เม็ดเลือดขาวสูง ปัสสาวะมีเลือดปน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.มีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เช่น ที่ลิ้นหัวใจต่างๆ
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบห้าหมู่โดยเป็นอาหารที่อ่อน ย่อยง่าย และให้มีช่วงพักระหว่างรับประทานอาหารด้วย
สังเกตอาการข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้นอนพักผ่อน เพื่อลดการทำงานของหัวใจ
สังเกตอาการข้างเคียงของโรค
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยตามแผนการรักษา
บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ
จัดกิจกรรมการเล่นต่างๆ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่า ESR จำนวนเม็ดเลือดขาว
2.อาจเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจซ้ำได้
กิจกรรมการพยาบาล
สังเกตอาการแสดง ที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อ
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันก่อนรับการหัตถการ
แนะนำบิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยให้ดูแลสุขภาพในช่องปาก
มาตรวจตามนัด
ดูแลสุขอนามัยรักษาความสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ
rheumatic heart disease (RHD)
โรคหัวใจรูห์มาติค เกิดตามหลังไข้รูห์มาติค (rheumatic fever) ซึ่งมีการติดเชื้อที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆได้ โดยเฉพาะทำให้เกิดการอักเสบของหัวใจ ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวาย ตลอดจนลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจวาย
เป็นกลุ่มอาการหรือความผิดปกติที่เกิดในระบบไหลเวียนเลือด เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปตามระบบไหลเวียนเลือดเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
สาเหตุ
1.ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจากมีปริมาณเลือดในหัวใจเพิ่มขึ้นมากเกิดจากมีการรั่วไหลของเลือด ทำให้มีปริมาณเลือดในเวนตริเคิลมากขึ้น
กลุ่มที่มีการรั่วของลิ้นหัวใจ
กลุ่มที่มีเลือดไปปอดมากขึ้น
กลุ่มที่มีเลือดไหลลัดจากหัวใจซีกขวา
2.ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจากมีความดันในเวนตริเคิลสูงกว่าปกติเกิดจากการอุดกั้นของทางออกของเวนตริเคิล
3.ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจลดลง
4.จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ส่งผลให้ปริมาณเลือดไหลออกจากหัวใจลดลง
อาการและอาการแสดง
1.อาการของหัวใจซีกซ้ายวาย หายใจเร็ว ปีกจมูกบาน หายใจลำบาก หน้าอกบุ๋ม และมีการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ ฟองหรือมีเลือดปน และฟังได้เสียง crepitation เนื่องจากมี pulmonary congestion
2.อาการของหัวใจซีกขวาวาย หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง หน้าบวม ตาบวม ตับโต บางรายอาจมีม้ามโต คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง แน่นอึดอัดท้อง แขนขาเย็น บวม
การรักษา
Ianoxin
1.เพิ่มแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้หัวใจเต้นช้าลง อัตราการเต้นของหัวใจที่ลดลง ส่งผลให้มี cardiac output เพิ่มขึ้น มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น และส่งผลต่อเนื่อง คือ ลดการคั่งของเลือดในหลอดเลือดฝอยที่ปอด
2.เพิ่มการขับปัสสาวะออกจากร่างกายมากขึ้น (diuresis) ทำให้ลดแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (afterload) หัวใจจึงสามารถบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น
การพยาบาล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.ปริมาณเลือดไปเลี้ยงร่างกายต่อนาทีลดลง เป็นผลจากความผิดปกติของหัวใจหรือหลอดเลือด เช่น VSD,ASD,PDA
กิจกรรมการพยาบาล
จัดให้ผู้ป่วยนอนยกศีรษะสูง
ดูแลให้ผู้ป่วยด้รับยาจำพวกดิจิตาลิสตามแผนการรักษา
จำกัดกิจกรรมต่างๆ
ดูแลออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลให้อาหารจืดหรือเค็มน้อย
ประเมินลักษณะของการหายใจ สีผิว
สังเกตและบรรทุกสัญญาณชีพอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ติดตามและบันทึกปริมาณน้ำดื่มและปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมง
2.ผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกิน เนื่องจากมีการคั่งหรือการสะสมของน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักเกินไป
กิจกรรมการพยาบาล
ติดตามและบันทึกปริมาณน้ำดื่มและปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมง
ชั่งน้ำหนักทุกวันเพื่อทราบการเปลี่ยนแปลง
ดูแลให้ได้รับอาหารที่มีแคลอรีเพียงพอ
ประเมินอาการบวมว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขับปัสสาวะ
Kawasaki disease (KD)
สาเหตุ
จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ริกเก็จเชีย และอื่นๆที่กระตุ้นให้เด็กบางคนตอบสนองทางอิมมูนผิดปกติทำให้เกิดอาการขึ้น
พยาธิสรีรวิทยา
มีการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี่และหลอดเลือดแดงขนาดกลางอื่นๆ และมี Platelet thrombiอุดหลอดเลือดแดง
อาการและอาการแสดง
การเปลี่ยนแปลงที่มือและเท้า
เป็นลักษณะที่ไม่ค่อยเห็นในโรคอื่นๆ มือ เท้า จะบวม แดง บางรายเจ็บชัดเจนตั้งแต่ข่วงแรกๆ ของโรค ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีไข้จะเห็นผิวหนังลอก โดยเริ่มลอกบริเวณรอบๆเล็บมือ เล็บเท้าอาจลามมาจนลอกทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า ประมาณ 4–6 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีไข้อาจเห็นรอยขีดเล็กๆตามแนวขวางของเล็บที่เรียกว่า Beau Line
ตาแดง
จะเป็นทั้ง 2 ข้าง มักเห็นภายใน 2-4 วันแรกนับจากเริ่มมีไข้ การแดงจะเป็นบริเวณตาขาวมาก รอบๆม่านตาจะไม่ค่อยแดง ไม่ค่อยมีขี้ตา และไม่ค่อยเจ็บ
ไข้
ส่วนใหญ่จะเป็นไข้สูงเป็นพักๆ โดยช่วงที่ไข้ลดมักจะไม่ลดลงจนเป็นปกติ ตามเกณฑ์การวินิจฉัยโดยทั่วไปใช้เวลามีไข้ 5 วัน แต่ในรายที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดแดง Coronary ถ้าไม่ได้การรักษาที่เหมาะสม ไข้จะอยู่นานหลายสัปดาห์
ริมฝีปากแดงและแห้ง
เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกๆของโรค มีริมฝีปากแตก อาจมีเลือดออกด้วย เยื่อบุในปากแดงแต่ไม่มีแผล ลิ้นจะแดงและมี prominent papillae ที่เรียกว่า “Strawberry tongue”
ต่อมน้ำเหลืองโต มักพบที่ anterior cervical triangle มักเป็นข้างเดียว ขนาดตามเกณฑ์การวินิจฉัยต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1.5 ซม. ลักษณะค่อนข้างแข็งสังเกตบริเวณที่ต่อมน้ำเหลืองโตจะพบว่าผิงหนังมักไม่แดงกว่าบริเวณรอบๆและกดไม่ค่อยเจ็บ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
มีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น มีเม็ดเลือดขาวที่อายุน้อยมากขึ้นด้วย เกล็ดเลือดสูงในสัปดาห์ที่ 2-3 เลือดจาง ESR และ C-reactive protein สูงขึ้น มีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ เม็ดเลือดจาวสูงในน้ำไขสันหลัง ระดับ transaminase และ บิลิรูบินในซีรั่มสูงขึ้นเล็กน้อย
การพยาบาล
5.ตวงและบันทึกน้ำดื่ม ปัสสาวะ ในรอบ 24 ชั่วโมง ระวังการขาดน้ำดูอาการของหัวใจวาย ปัสสาวะลดลง
6.อาหารไม่เพียงพอทั้งทางปากและหลอดเลือดคำ ป้องกันการขาดน้ำระยะเฉียบพลัน ดูแลความอยากอาหาร จัดอาหารให้น่ารับประทาน และสะดวสบายในการรับประทานอาหาร ถ้ามีหัวใจวายอาจให้อาหารลดเค็ม
4.ดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยา เช่น แอสไพรินจะมีเลือดออกและกัดกระเพาะอาหาร
7.ชั่งน้ำหนักทุกวัน ดูอาการบวมของภาวะหัวใจวาย
3.วัดชีพจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะให้ gamma globulin ควรสังเกดดูปฏิกิริยาของการแพ้ ถ้าแพ้ให้หยุดทันที การมีไข้สูงและไม่ลดลงด้วยยา ให้การดูแลตามอาการ กระตุ้นให้ดื่มน้ำเพิ่มใส่เสื้อผ้าหนาๆ ไม่ต้องห่มผ้า และเช็ดตัวสลดไ ข้ให้ในระยะเฉียบพลัน ควรวัดปรอททุก 4 ชั่วโมงดูจังหวะการเต้นของชีพจรอาจผิดปกติ
8.ทำความสะอาดปาก ฟัน ปากแตกแห้ง ถ้าในปากมีเยื่อบุในปากอักเสบ อาหารต้องเป็นประเภทอ่อน
2.ประเมินการไหลเวียนเลือดของแขนขา เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเฉียบพลัน เมื่อ Thrombi อันเป็นเหตุให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก ทำให้เกิดการติดเชื้อ และ necrosis ของนิ้มือนิ้วเท้าได้
9.ระวังการติดเชื้อของผิวหนัง ผิวหนังจะเป็นผื่นหรือบวม ควรรักษาความสะอาด ไม่อับชื้น ไม่มีสิ่งรบกวนจากเสื้อผ้าทั้งหลาย ไม่ใส่เสื้อผ้าที่ร้อนบริเวณที่บวม ป้องกันการเสียดสีและกดทับ การจับต้องควรสุภาพนุ่มนวล เบามือเพื่อทำให้สุขสบาย
1.ประเมินการทำงานของหัวใจและปอดและหลอดเลือดเกี่ยวกับการมีอาการของหัวใจอักเสบ สังเกตจังหวะการเต้นของหัวใจ การเจ็บหน้าอก EKG เปลี่ยนแปลงไป (ST segment ต่ำลง) หายใจขัด หายใจลำบาก
10.ลดความไม่สุขสบาย มือและเท้าบวมจะเจ็บปวดเนื่องจากแรงกดบนเนื้อเยื่อ โดยสารคัดหลั่งของการอักเสบ ความไม่สุขสบายจากผื่นอาจให้ยาลดอาการคัน ยาแอสไพรินที่ให้เพื่อลดการอักเสบ antiplatelet และเป็น analgesic ด้วย แขนขาขยับออกกำลังให้เคลื่อนไหวได้บ้าง เพื่อสุขสบายขึ้น
11.จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบสงบ ให้เด็กบางรายที่กระสับกระส่ายได้พักผ่อนเพียงพอ ให้บิดามารดาช่วยประคับประคองและดูแลเด็กให้เด็กสุขสบายและมั่นใจจัดกิจกรรมให้คามอายุเพื่อให้นายหงุดหงิด งอแง
12.ลดความกลัวและวิตกกังวล เพราะมีผลต่อหัวใจได้ พยาบาลให้ข้อมูลกับเด็กว่าอาการจะสามารถดีขึ้นได้
13.การดูแลสุขภาพที่บ้าน ต้องดูแลเรื่องหัวใจและหลอดเลือดต่อไป อธิบายเรื่องยาที่ได้รับไปรับประทานต่อที่บ้านและดูปฏิกิริยาข้างเคียงของยาวัดปรอททุกวัน หากไข้สูงติดต่อกัน 5 วัน ควรมาพบแพทย์ ดูภาวะแทรกซ้อนของหัวใจและหลอดเลือด การได้รับวัคซีนป้องกันโรค ควรให้ภายหลังได้รับ gamma globulin 3 เดือนเพราะร่างกายอาจจะไม่สร้างภูมิคุ้มกันในระยะนี้ และเด็กจะต้องมาตรวจตามนัดอีกเป็นเวลายาวนาน ต้องอธิบายให้บิดามารดาและผู้ป้องครองของเด็กเข้าใจและปฏิบัติ
Rheumatic Fever
ไข้รูห์มาติค หมายถึง โรคที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น หัวใจ เนื้อเยื่อของข้อ สมอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และผิวหนัง เป็นผลจากautoimmune reaction มักเกิดตามหลังคออักเสบเนื่องจากเชื้อ β-hemolytic streptococcus group A โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายและลิ้นหัวใจมักถูกทำลาย
อาการและอาการแสดง
1.major criteria
Carditis
subcutaneous nodules
polyarthritis
erythema marginatum
chorea หรือ sydenham’s chorea
2.minor criteria
polyarthralgia มีอาการปวดข้อโดยไม่มีอาการอักเสบ
เลือดกำเดาไหล
มีไข้ต่ำๆ
ปวดท้อง รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย เหงื่อออกมาก เจ็บหน้าอกซีดและน้ำหนักลด
มีประวัติเคยเป็นไข้รูห์มาติค
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.กระเพาะเชื้อจากบริเวณคอ (thoat swab culture)
2.antistreptolysin O (ASO) ค่า ASO ในเลือดจะสูงขึ้นเพราะมีการสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อมาก่อน ค่าปกติของ ASO อยู่ระหว่าง 0-120 Todd unit
การวินิจฉัยโรค
Jone’s criteria ได้แก่
major criteria
major criteria และ minor criteria
การรักษา
1.ให้ยาปฏิชีวนะสำหรับกำจัดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ
2.ให้ยาสำหรับต้านการอักเสบของหัวใจและข้อ ได้แก่ salicylate และ steroid
3.ให้นอนพัก โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มี carditis และอาการหัวใจวาย ให้พักจนกว่าจะควบคุมภาวะหัวใจวายได้ ต่อมาค่อยๆ เพิ่มการเคลื่อนไหวมากขึ้นในเวลา 3 เดือน
4.ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวาย ให้การรักษาโดยให้ยา digitalis เช่น digoxin ยาขับปัสสาวะ ยาลด afterload ได้แก่ ยาขยายหลอดเลือดแดง รวมทั้งยา กลุ่ม angiotensin converting enzme inhibitor
การพยาบาล
การประเมินสุขภาพ
2.การตรวจร่างกาย มีไข้ carditis, polyarthritis, chorea, erythema marginatum, subcutaneous nodule
3.การประเมินภาวะจิตสังคม ความกังวลเกี่ยวกับอาการปวดข้อ หรืออาการหัวใจเต้นเร็ว
1.การซักประวัติ ติดเชื้อในระบบหายใจ เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ
4.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.ผู้ป่วยมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ เนื่องจากมีการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ยาเพรดนิโซโลน มีภาวะหัวใจวาย ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ
ทำ tepid sponge
ดูแลให้ยาแอสไพริน หรือ เพื่อลดการอักเสบของหัวใจ และลดไข้
ดูแลให้อาหารอ่อน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อลดการทำงานของหัวใจ
สังเกตและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และชีพจรขณะนอนหลับ (sleeping pulse)
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ติดตามฟังเสียงฟู่ของหัวใจ (cardiac murmur)
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น throat seab culture, ASO titer, ESR, CROP
2.มีการอักเสบของข้อ เนื่องจากมีการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
กิจกรรมการพยาบาล
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมต่างๆ
ควรระวังอุบัติเหตุ
-ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักข้อที่มีการอักเสบ
สังเกตและบันทึกอาการอักเสบของข้อ เช่น บวม แดง ร้อน ปวดหรือกดเจ็บ
ดูแลให้ยาแอสไพริน ตามแผนการรักษาเพื่อลดการอักเสบของข้อ
3.อาจเกิดการกลับซ้ำของ rheumatic fever โดยมีการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
กิจกรรมการพยาบาล
แนะนำบิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยให้เข้าใจเหตุผลของการป้องกันโรคนี้ว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องรับยาปฏิชีวนะจนถึงวัยผู้ใหญ่
รักษาความสะอาดปากฟัน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A
สุขวิทยาส่วนบุคคล (general hygiene)
แนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ
ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น ที่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ
พบแพทย์ตามนัด
สังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ เหนื่อยหอบ ปวดข้อ อาการเจ็บคอ
แนะนำบิดามารดา แจ้งทันตแพทย์ หรือแพทย์ผ่าตัดเพื่อให้ได้ยาปฏิชีวนะป้องกันการเกิด IE