Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กโรคหัวใจ, นางสาวจุฑารัตน์ เอกเกษตรสิน เลขที่ 14 รหัสนักศึกษา…
การพยาบาลเด็กโรคหัวใจ
กลุ่มโรคหัวใจแต่กำเนิด (congenital heart disease)
โรคหัวใจชนิดไม่เขียว
มีการไหลจากซีกซ้ายไปซีกขวา (left to right shunt)
Ventricular septal defect (VDS)
มีรูรั่วที่ผนังกั้นระหว่างเวนติเคิลซ้ายและขวา ทำให้เลือแดงกับเลือดดำปนกัน และถูกส่งไปฟอกที่ปอดอีกครั้ง ปอดจึงำงานหนังขึ้น พบบ่อยในเด็ก
อาการ
เหนื่อยง่ายเวลาดูดนม ตัวเล็กเลี้ยงไม่โต
Atrial septal defect (ASD)
มีรูรั่วที่ผนังกั้นระหว่างเอเตรียม
อาการ
มักจะไม่มีอาการแสดง บางรายมีการเจริญเติบโตช้า อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
Patent ductus arteriosus (PDA)
มีเลือดไหลไปที่ปอดมาก มีความผิดปกติคือ หลอดเลือด ductus arteriosus ยังเปิดอยู่หลังจากเด็กคลอด
สาเหตุ
1.คลอดก่อนกำหนด
2.ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ ทำให้หลอดเลือด ductus ยังเปิดอยู่หลังคลอด
3.การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก
อาการ
PDA ขนาดเล็กมักจะไม่มีอาการผิดปกติ
PDA ขนาดใหญ่มักมาด้วยอาการหัวใจซีกซ้ายวาย หายใจเร็ว เหนื่อยหอบเวลาดูดนม
2.มีการอุดกั้นการไหลของเลือด (obstructive lesions)
Aortic stenosis (AS)
มีการตีบของลิ้นเอออร์ตาร์ หรือมีการอุดกั้นทางออกของเวนตริเคิลซ้าย ทำให้เลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายไม่สะดวกหรือน้อยลง
อาการ
อ่อนเพลียง่ายเวลาเล่น เจ็บหน้าอก
Pulmonary stenosis (PS)
มีการตีบของลิ้นพัลโมนารี หรือมีการอุดกั้นทางออกของเวนตริเคิลขวา ทำให้เลือดดำผ่านไปที่ปอดไม่สะดวกหรือน้อยลง
อาการ
ภาวะหัวใจวายหรือภาวะเขียวเล็กน้อย เหนื่อยง่ายเจ็บแน่นหน้าอก
Coarctation stenosis (CoA)
มีการตีบแคบที่หลอดเลือดเอออร์ตาร์บริเวณหลอดเลือด ductus arteriosus ที่มาเชื่อม ทำให้เลือดไปเลี้ยงร่าการส่วนล่างไม่สะดวก มักพบความดันแขนสูงกว่าขา
อาการ
หายใจแรง เร็ว เหนื่อยหอบ ดูดนมช้า เลี้ยงไม่โต ชีพจรขาทั้งสองข้างเบากว่าแขน
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ
ติดเชื้อในระบบหาบใจบ่อย
มีประวัติเป็นลม หรือมีอาการหน้ามืด
ดูดนมเหนื่อย ตัวเล็ก น้ำหนักน้อย
2.ตรวจร่างกาย
อาการเขียว ผิวเขียวคล้ำ
หายใจเร็ว หายใจลำบาก
ชีพจรเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย
มีอาการบวม
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.เนื้อเยื่อของร่างกายมีโอกาสได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง
2.ผู้ป่วยมีอาการเป็นลมหมดสติ เนื่องจากสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจากการที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
3.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปอด เนื่องจากมีเลือดไปปอดมาก
4.ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อี่เยื่อบุหัวใจ เนื่องจากมีความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดท่ทำให้มีการไหลลัดของเลลือด
5.มีการเจริญเติบโตไม่สมวัย หรือต่ำกว่าเกณฑ์ เนื่องจากดูดนมได้น้อย
ุุ6.มีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า เนื่องจากผู้ป่วยเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก การเคลื่อนไหวจึงน้อย
7.บิดามารดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจ
9.ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนได้ง่าย
10.ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการอุดตันของหลอดเลือดฝอยในร่างกาย
11.มีโอกาสเกิดฝีในสมอง เนื่องจากเลือดบางส่วนไม่ได้ส่งไปฟอกที่ปอด หรือสมองขาดออกซิเจน
8.ผู้ป่วยมีภาวะสมองขาดออกซิเจนเฉียบพลัน
โรคหัวใจชนิดเขียว
1.กลุ่มที่มีเลือดไปเลี้ยงปอดน้อย อาจเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนเฉียบพลัน
Tetralogy of Fallot (TOF)
ความผิดปกติ 4 อย่าง
1.การตีบของลิ้นพัลโมนารี
2.ผนังกั้นระหว่างเวนตริเคิ้ลมีรูรั่วขนาดใหญ่
3.ตำแหน่งของลิ้นเอออร์ติคเลื่อนไปทางด้านขวา
4.มีการหนาตัวของเวนตริเคิลขวา
อาการ
1.อาการเขียวทั่วร่างกาย (central cyanosis) ร่วมกับอาการหอบลึก
2.ภาวะหัวใจวาย มีเลือดไหลลัดจากซ้ายไปขวามาก จึงมีเลือดไปที่ปอดมากขึ้น
Pulmonic atresia (PA)
Tricuspid atresia (TA)
มีเลือดไปเลี้ยงปอดมาก
1.Transposition of the Great Arteries (TGA)
พบได้บ่อยที่สุด มีความผิดปกติคือ มีการสลับที่กันของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจ
อาการ
อาการเขียวตั้งแต่แรกเกิด ภายใน 2-3 วันแรกหลังเกิด หอบเหนื่อย หัวใจวาย เพราะ Foramen ovale และ PDA ซึ่งเป็นทางติดต่อของการไหลเวียนระหว่าง 2 วงจรปิดลง
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ
อาการเขียนเป็นพักๆ และหายใจหอบลึก
มีประวัติชอบนั่งยองๆเวลาเหนื่อย
ปวดศีรษะ เนื่องจากภาวะ cerebral hypoxemia
2.การตรวจร่างกาย
อาการเขียวทั่วร่างกาย
ภาวะเลือดข้น มีความเข้มของออกซิเจนลดลง (hypoxemia)
นิ้วปุ้ม ตาขาวแดง ท่านั่งยองๆ
ภาวะสมองขาดออกซิเจนเฉียบพลัน
ฝีในสมอง
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
ประเมินความวิตกกังวลของผู้ป่วย และบิดามารดา
โรคหัวใจที่เกิดขึ้นภายหลัง (acquired heart disease)
Infective endocarditis (IE) การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ
การอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจชั้นในสุด หรือเยื่อบุผิวภายในหัวใจ หรือลิ้นหัวใจ หรืออวัยวะข้างเคียง นอกจากนี้อาจพบในลิ้นหัวใจเทียม ผนังหัวใจผิดปกติ
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ริคเกทเซีย หรือไวรัส แต่มักมีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย โดยเฉพาะ Steptococcus viridans, Staphylococcus aureus
ระบาดวิทยา
1.โรคหัวใจแต่กำเนิดมักพบการติดเชื้อที่หัวใจซีกขวามากกว่าหัวใจซีกซ้าย
2.กลุ่มโรคหัวใจที่เกิดภายหลัง เช่นโรคหัวใจรูห์มาติคที่มีพยาธิสภาพหรือการทำลายท่ลิ้นหัวใจ และมีการยื่นย้อยของลิ้นไมตรัล
3.กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่ได้รับการผ่าตัด
4.กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การทำฟัน การใส่สายสวนปัสสาวะ การเจาะเลือด รวมทั้งการใส่สายตรวจต่างๆ เพื่อการรักษา
อาการและอาการแสดง
มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย
เสียงฟู่ของหัวใจ (heart murmur)
การตายของสมอง
ม้ามโตกดไม่เจ็บ อาจพบตับโต
ภาวะซีด
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ
ควรติดตามเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อในเลือดเป็นระยะๆ
ควรตรวจสอบหาแหล่งของการติดเชื้อที่ทำให้เกิด IE เช่น ฟัน ทางเดินปัสสาวะ
การป้องกัน
ให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหลังการทำหัตถการที่มีโอการเสี่ยงต่อการติดเชือในเลือดดพิ่มขึ้น เช่น การทำฟัน การเจาะเลือด
การพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.การซักประวัติ ควรซักเกี่ยวกับแหล่งของการติดเชื้อ อาการและอาการแสดง
2.ตรวจร่างกาย ตรวจพบเสียงฟู่ของหัวใจ
3.การประเมินภาวะจิตสังคม
4.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ESR (อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง)สูง เม็ดเลือดขาวสูง ปัสสาวะมีเลือดปน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.มีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ เช่นที่ลิ้นหัวใจต่างๆ
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
สังเกตอาการข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ
ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2.อาจเกิดการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจซ้ำได้
ดูแลสุขอนามัย พักผ่อนให้เพียงพอ
สังเกตอาการที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อ
รับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันก่อนทำหัตถการ
Rheumatic heart disease (RHD)
เกิดตามหลังไข้รูห์มาติค (rheumatic fever) ซึ่งมีการติดเชื้อที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆ โดยเฉาะการอักเสบของหัวใจ ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวาย ตลอดจนลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้
ไข้รูห์มาติค (rheumatic fever)
โรคที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น หัวใจ ข้อ สมอง เป็นผลมาจาก autoimmune reaction
อาการ
1.Major criteria
เจ็บหน้าอก เจ็บตามข้อ
อาการทางระบบประสาท เช่น สั่น
เกิดก้อนบริเวณคอ
2.Minor criteria
มีไข้ต่ำๆ ปวดข้อโดยไม่มีสาเหตุ
ปวดท้อง รู้สึกไม่สบาย อ้อนเพลีย น้ำหนักลด
มีประวัติเคยเป็นไข้รูห์มาติค
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.เพาะเชื้อจากบริเวณคอ (thoat swab cuiture)
2.ค่า AOS ในเลือดสูงขึ้นเพราะมีการสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อ (ค่าปกติ 0-120 todd unit)
การรักษา
สำคัญที่สุดคือการให้ยาปฏิชีวนะ
ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวายรักษาโดยให้ยา digoxin
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ β-hemolytic Streptococcus group A ซ้ำ และมีการติดเชื้อเยื่อบุหัวใจ จากการเป็นโรคหัวใจรูห์มาติคมาก่อน
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อเนื้อเยื่อของร่างกายขาดออกซิเจนเนื่องจากมีภาวะหัวใจวาย เพราะมีการอักเสบของหัวใจและพยาธิสภาพของลิ้นหัวใจ
ผู้ป่วยมีความเครียดต่อการถูกจำกัดให้พักอยู่บนเตียงและอยู่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน
4.บิดามารดาเกิดความวิตกกังวลต่อการเจ็บป่วยของบุตรและการดูแลบุตรเมื่อกลับบ้าน
การพยาบาลผู้ป่วยภาวะหัวใจวาย
สาเหตุ
1.หัวใจมำงานมากขึ้น เนื่องจากมีปริมาณเลือดในหัวใจเพิ่มมากขึ้น
2.หัวใจมำงานมากขึ้น เนื่องจากมีความดันในเวนตริเคิลสูงว่าปกติ
3.ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ
4.จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
อาการ
1.หัวใจซีกซ้ายวาย หายใจเร็ว หายใจลำบาก ปีกจมูกบาน หน้าอกบุ๋ม หายใจมีฟองหรือเลือดปน ฟังได้เสียง crepitation
2.หัวใจซีกขวาวาย หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง หน้าบวม ตาบวม ตับโต บางรายอาจม้ามโต แขนขาบวมเย็น
การรักษา
Lanoxin
ข้อวินิจฉัยยการพยาบาล
ปริมาณเลือดไปเลี้ยงร่างกายต่อนาทีลดลงเป็นผลจากความผิดปกติของหัวใจหรือหลอดเลือด เช่น VSD,ASD,PDA
ผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกินเนื่องจากมีการคั่งหรือการสะสมของน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักเกินไป
ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากมีอัตราการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าปกติ
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดพัฒนาการล่าช้า
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะเป็นพิษจากดิจิตาลิส
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ เนื่องจากมีการคั่งของเลือดในปอด เนื้อที่ของปอดในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนลดลง
บิดามารดาและ/หรือผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย และสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล
Kawasaki disease (KD)
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ริเก็จเซีย และอื่นๆที่กระตุ้นให้เด็กบางคนตอบสนองทางอิมมูนผิดปกติ
พยาธิสรีรวิทยา
มีการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารีและหลอดเลือดแดงขนาดกลางอื่นๆ และมี Platelet thrombi อุดหลอดเลือดแดง
อาการ
ไข้ - ไข้สูงเป็นพักๆ โดยทั่วไปใช้เวลามีไข้ 5 วัน
การเปลี่ยนแปลงที่มือและเท้า - มีอาการบวม แดง บางรายเจ็บชัดเจนตั้งแต่ช่วงแรกของโรค ประมาณ 2-3 สัปดาห์แรกผิวหนังจะลอก โดยเริ่มจากรอบๆเล็บทั้งมอและเท้า 4-6 สัปดาห์ จะเห็นรอยขีดเล็กๆตามแนวขวาง เรียกว่า Beau Line
ตาแดง - จะเป็นทั้ง 2 ข้างเป็นภายใน 2-4 วันแรกหลังมีไข้ ไม่ค่อยมีขี้ตา และไม่ค่อยเจ็บ
ริมฝีปากแดงและแห้ง - ริมฝีการแตก อาจมีเลือดออก เยื่อบุในปากแดง แต่ไม่มีแผล เกิด Strawberry tongue
ต่อมน้ำเหลืองโต - มักพบที่ anterior cervical triangle มักเป็นข้างเดียว เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซม. ลักษณะค่อนข้างแข็ง
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
มีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เม็ดเลือดขาวที่อายุน้อยเพิ่มมากขึ้น เกร็ดเลือดสูงในสัปดาห์ที่ 2-3 เลือดจาง ESR และ C-reactive protein สูงขึ้น
การพยาบาล
1.ประเมินการทำงานของหัวใจ ปอด และหลอดเลือด เกี่ยวกับอาการหัวใจอักเสบ สังเกตอัตราการเต้น และการเจ็บหน้าอก
2.ประเมินการไหลเวียนเลือดของแขนขา
3.วัดชีพจรในขณะที่ที่ให้ gamma globulin ควรสังเกตดูปฏิกิริยาของการแพ้ และผลข้างเคียงของยา
4.ทำความสะอาดปากและฟัน ปากแห้งแตก
5.ระวังการติดเชื้อของผิวหนัง ผิวหนังจะมีผื่น หรือบวม
6.จัดแวดล้อมให้เงียบสงบ ให้ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
7.ลดความวิตกกังวล และการดูแลขณะอยู่ที่บ้าน
นางสาวจุฑารัตน์ เอกเกษตรสิน เลขที่ 14 รหัสนักศึกษา 62111301015