Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Hepatitis) - Coggle Diagram
โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Hepatitis)
พยาธิสรีรวิทยา
A virus (HAV),
การเจ็บป่วยทั้งอิมมูโนกลอบูลินจี (lgG) anti-HAV ถูกพบในซีรั่มหลังเกิดการเจ็บป่วย lgM anti HAV titers สูงสุดช่วงสัปดาห์แรกของโรคและหายไปภายใน 3-6 เดือน การค้นพบ lgM anti-HAV เป็นการทดสอบที่บอกว่าเป็นตับอักเสบเฉียบพลัน lgG anti-HAV titer สูงสุดเกิดขึ้นใน 1 เดือนหลังเป็นโรค แต่อาจยังสูงเป็นปี ซึ่งตรวจพบแสดงว่าเคยติดเชื้อมาก่อน
B virus (HBV),
HBV เป็นไวรัสดีเอ็นเอ (DNA)ซึ่งอยู่ภายในแกนและเปลือกหุ้มผิว รูปร่างของแอนตี้บอดี้ต่อแอนติเจนไวรัส HBeAg และ HBsAg พบ HBeAg ในเลือดแสดงถึง 1. เคยติดเชื้อตับอัดเสบบี 2. ยังคงมีการติดเชื้อซึ่งเป็นแบบเรื้อรัง 3. เคยได้รับภูมิคุ้มกันหรือวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
C virus (HCV),
ไวรัสตับอักเสบซีเป็น Sigle - stranded RNA ไวรัสลักษณะเหมือนกับ HBV และ HDV ไวรัสตับอักเสบซีถูกพิจราณาปัจจัยทางพยาธิสรีรภาพในภาวะ เช่นกลุ่มหลอดเลือดที่ไตอักเสบ (glomerulinephritis) และไทรอยด์อักเสบจากภูมิคุ้มกันต่อตนเอง (autoimmune thyroiditis)
D virus (HDV)
ไวรัสตับอักเสบดีเป็นไวรัส RNA ที่มีความไม่สมบูรณ์เล็กน้อยซึ่งเป็นสาเหตุของตับอักเสบ เพียงติดเชื้อ HBV และโดยเฉพาะพบเพียงมี HBsAg ไวรัสตับอักเสบดีต้องการทำหน้าที่เป็นตัวช่วยไวรัสตับอักเสบบี เพื่อการถอดแบบและแสดงไวรัลตับอักเสบดีสามารถติดเชื้อทั้งบุคลที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (co-infection) หรือติดเชื้อบุคคลที่เคยติดเชื้อ HBV (superinfection)
E virus (HEV)
เดิมเรียกว่าไวรัสตับอักเสบที่ไม่เอและบีติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าไป เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบเอในปัจจุบันเป็นที่ทราบดีแล้วว่าไวรัสนี้อยู่คนละกลุ่มกับไวรัสตับอักเสบ เอ บี และซี จึงได้รับการตั้งชื่อว่าไวรัสตับอักเสบ อี
การจำแนก
กลุ่มที่ติดต่อทางการกิน ได้แก่ HAV และ HEV
อาการไม่รุนแรงมากนัก และไม่มีผลข้างเคียง
กลุ่มที่ติดต่อทางเลือดและเพศสัมพันธ์ ได้แก่ HBV และ HCV
มีอาการแทรกซ้อนตามมาได้สูง
มีอาการติดเชื้อเรื้อรัง และอาจกลายเป็นโรคตับแข็งหรือโรคมะเร็งตับได้
อาการและสาเหตุ
ไวรัสตับ B
สาเหตุการติดต่อ
เช่นเดียวกับการติดเชื้อเอสไอวี เช่น ทางเลือด เข็ม เพศสัมพันธ์ และแม่สู่ลูก
อาการ
บางรายเป็นเพียงพาหะแพร่เชื้อ
บางรายตับอักเสบรุนแรง
บางรายอาจพัฒนาเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ
ไวรัสตับ C
อาการ
เกิดการอักเสบของตับเรื้อรังเป็นผลทำให้เกิดพังผืดในตับจนเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้
สาเหตุการติดต่อ
เลือด เพศสัมพันธ์ชายรักชาย
ไวรัสตับ D
สาเหตุการติดต่อ
ทางเลือด ผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
อาการ
ตับอักเสบเฉียบพลันและสามารถหายเองได้ยกเว้นผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรังรุนแรงและอาจอันตรายถึงชีวิตได้
ไวรัสตับ E
อาการ
ตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย โดยทั่งไปมักหายได้เองผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอีขณะตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคตับรุนแรง
สาเหตุการติดต่อ
พบระบาดในอินเดีย บัลาเทศ ปากีสถาน ในไทยพบได้เป็นครั้งคราว ได้รับเชื้อจากอาหารปรุงไม่สุกและสามารถติดต่อผ่านทางเลือดได้บ้าง
ไวรัสตับ A
สาเหตุการติดต่อ
ทางอาหารและน้ำ
อาการ
ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อน คลื่นไส้ หรือออาเจียน
การรักษา
ไวรัสตับ B
ตามอาการ
โดยการเลือกใช้ยาอย่างระมัดระวัง ควรงดยาสเตียรอยด์และยากลุ่มนอนหลับ (sedative)
ส่งเสริมการหาย และ การป้องกันการทำลายของตับ
. การพักผ่อน โดยให้พักบนเตียง (bed rest) ในระยะดีซ่าน เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำหรือป้องกันอาการรุนแรงขึ้น งดการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงมากอย่างน้อย 6 เดือน
อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรทสูง โปรตีนสูง ไขมันต่ำ และให้วิตามินเสริม
การใช้ยา
ชนิดฉีดที่ได้ผลดีในปัจจุบันคือ อินเตอร์เฟอรอน (interferon) โดยต้องฉีดติดต่อกันนาน 4-6 เดือน
รับประทานที่ได้ผลดีคือ ลามิวูดีน (lamivudine) ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส และอาจมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ใช้ยาต้านไวรัสชนิดอื่นๆ อีก เช่น อะดีโฟเวีย (adefovir), แอนติคาเวีย (entecavir)
การป้องกัน
ที่มีประสิทธิภาพคือ การฉีดวัคซีนป้องกัน
ควรฉีดให้ครบ 3 เข็มในช่วงเวลา 6 เดือน
ไวรัสตับ D
เฉียบพลัน
การรักษาประคับประคองตามอาการที่สำคัญคือ เพื่อลดการทำงานของตับ
ระมัดระวังในการกินยาต่างๆรวมทั้งสมุนไพร เพื่อลดการทำงานของตับ
เรื้อรัง
ให้ยาต้านไวรัสเช่น ยา Interferon เพื่อช่วยชะลอการเกิดโรคตับแข็ง
ดื่มน้ำสะอาดให้ได้มากกว่าปกติอย่างน้อย8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่มเพื่อขับสารที่ทำให้ตัว ตาเหลือง
รักษาความสมดุลของโภชนาการและสารน้ำลดไขมันเพิ่มคาร์โบไฮเดรทมากขึ้นผู้ป่วยบางรายควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ลดการอ่อนล้า แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอตาม
สัดส่วนอาการแสดงที่รุนแรง
ลดผลกระทบของตับอักเสบ การรักษาด้วยยาสำหรับรักษาตับอักเสบมีประโยชน์น้อย ไม่ควรใช้phenothiazinesเพราะถูกปรับเปลี่ยนที่ตับและอาจเกิดพิษได้
การพยาบาล
พยาบาลจะต้องรับผิดชอบในการประเมินผู้ป่วย และช่วยแพทย์ในการแยกผู้ป่วยที่เป็นพาหะของโรค ซึ่งจะได้จาก
ประวัติกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงโสเภณี บุคคลติดยาเสพติดฉีดเข้าเส้น รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุที่สัมผัสกับเชื้อ เช่น ถูกเข็มตำ ได้รับเลือด ได้รับสารเคมีหรือยา หรือประวัติดื่มเหล้าจัด
การตรวจร่างกาย ขณะที่ซักประวัติควรสังเกตอาการอ่อนเพลีย ซีด ไข้ ลักษณะสีผิว อาการเหลืองของเยื่อบุตาขาว ถามถึงอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อสีของอุจจาระ และปัสสาวะการมีเลือดออกง่ายจากมี Prothrombin Time (PT) นานกว่าปกติ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การติดเชื้อไวรัส จะพบเอนไซม์ตับ (Serum aminotransferases) สูงขึ้นก่อน และเมื่อค่าลดลงค่าบิลิรูบินจะเพิ่มขึ้นมักเกิน 2.5 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อาจจะสูงถึง 20 mg% ถ้าขึ้นสูงอยู่นานซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเซลล์ตับมีการตายจำนวนมาก การพยากรณ์โรคไม่ดี มีค่า PT ปานกลางเกิดขึ้นได้บ้าง Gamma Globulin และ Alkaline phosphatase สูง ในผู้ป่วยบางคนเจาะเลือดอาจพบ HBsAg ก่อนที่จะพบเอเอสที (aspartate aminotransferase : AST)