Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
อุปสงค์ อุปทาน และดุลยภาพการตลาด - Coggle Diagram
อุปสงค์ อุปทาน และดุลยภาพการตลาด
อุปสงค์(Demand)
สำหรับสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง หมายถึง ปริมาณของสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ซื้อมีความต้องการที่จะซื้อ ซึ่งปริมาณความต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการชนิดนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดปริมาณความต้องการซื้อ
องค์ประกอบของอุปสงค์ ประกอบด้วย
ความต้องการ (Want)
อำนาจการซื้อ (Purchasing power)
อุปสงค์ที่ทรงประสิทธิผล
อุปสงค์หรือความต้องการซื้อที่จะมีผลอย่างแท้จริง จะต้องประกอบด้วย
ความสามารถที่จะจ่ายได้
ความเต็มใจหรือยินดีที่จะซื้อ
หรือมีอำนาจซื้อ
กฎของอุปสงค์ (Law of Demand)
ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อย่อมแปรผกผันกับระดับราคาของสินค้าหรือบริการชนิดนั้นเสมอ
หรือ ปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในขณะใดขณะหนึ่งจะมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับราคาสินค้าชนิดนั้น
อุปสงค์ต่อราคา(Price Demand)
ปริมาณหรือจำนวนสินค้าหรือบริการที่ผู้ซื้อมีความต้องการซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆของสินค้าหรือบริการชนิดนั้น ในช่วงเวลาใดช่วงหนึ่งโดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆคงที่
ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณการซื้อสินค้าจะลดลง
ถ้าราคาสินค้าลดลงปริมาณการซื้อสินค้าจะเพิ่มขึ้น
อุปสงค์ส่วนบุคคล (Individual Demand)
ปริมาณสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคแต่ละคน ณ ระดับราคาต่างๆของสินค้านั้น
อุปสงค์ตลาดสำหรับสินค้าใดๆ (Market Demand)
ปริมาณสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ซื้อทุกคนในตลาดเต็มใจที่จะซื้อ ณ ระดับราคาสินค้าต่างๆ
อุปสงค์ต่อราคาสินค้าอื่นๆ (Cross Demand) ความต้องการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภค ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องในด้าน
สินค้าที่ใช้ประกอบกันได้ (Complementary goods)
สินค้าที่ต้องใช้ร่วมกับสินค้าอื่น เมื่อสินค้าหนึ่งเพิ่มขึ้นหรือลดลงจะมีผลทำให้ปริมาณการเสนอซื้อสินค้าอีกชนิดหนึ่ง เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
สินค้าที่เป็นอิสระต่อกัน (Independent goods)
เป็นสินค้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยและให้ประโยชน์คนละด้านจึงไม่จำเป็นต้องใช้ประกอบกันและใช้ทดแทนกัน
สินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้ (Substitute goods)
สินค้าที่ใช้แทนกันด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันและความสามารถใช้แทนกันได้ เมื่อราคาสินค้าชนิดหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปราคาสินค้าอีกชนิดหนึ่งจะมีราคาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงข้าม
อุปสงค์ต่อรายได้ (Income demand)
ปริมาณเสนอซื้อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามระดับรายได้ของผู้บริโภค
สินค้าปกติ (Normal goods) สินค้าที่ความต้องการจะเพิ่มขึ้น หากมีรายได้เพิ่มขึ้น
สินค้าด้อย (Inferior goods) สินค้าที่ความต้องการจะเพิ่มขึ้น หากมีรายได้ลด
การเปลี่ยนแปลงในปริมาณอุปสงค์
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุการเปลี่ยนแปลงทางราคาสินค้าและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนอุปสงค์เส้นเดียว
เป็นการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์อิ่นๆที่ไม่ใช่ราคาและการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในเส้นอุปสงค์เส้นใหม่
ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าลดลงเดิมโดยที่ราคาสินค้าคงที่
ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้ามากกว่าเดิมโดยที่ราคาสินค้าคงที่
กฎของอุปสงค์เกิดจากผลทางราคา
ผลทางรายได้
เมื่อราคาเปลี่ยนแปลง จะส่งผลให้รายได้ที่แท้จริง(Real Income)เปลี่ยนเช่น ถ้าราคาลดลง รายได้ที่แท้จริง จะเพิ่มขึ้น (เงินเท่าเดิม ซื้อของได้ มากขึ้น)
ผลทางการทดแทน
เมื่อราคาสินค้าชนิดหนึ่งเปลี่ยนแปลงโดยที่ราคาของสินค้าอีกชนิดหนึ่งยังคงเหมือนเดิม จะให้ราคาเปรียบเทียบ(Relative Price)ของสินค้าชนิดนั้นเปลี่ยนแปลง (ซื้อของถูก แทนของแพง)
ปัจจัยกำหนดอุปสงค์
ระดับราคาสินค้าชนิดอื่น
ปริมาณการเสนอซื้อสินค้าถูกกำหนดโดยราคาสินค้าชนิดอื่นด้วย เนื่องจากสินค้าที่ซื้อขายในตลาดมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ สินค้าบางชนิดสามารถใช้แทนกันได้หรือสินค้าบางชนิดต้องใช้ร่วมกัน ดังนั้นการที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งปริมาณเท่าใดต้องพิจารณาถึงราคาของสินค้าชนิดอื่นที่สัมพันธ์กันด้วย
รสนิยมของผู้บริโภค
จะแตกต่างกันไปตามอาุ อาชีพ ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น นอกจากนี้ยังเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ยุคสมัย
รายได้ของผู้บริโภค
ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า ในกรณีสินค้าปกติและสินค้าฟุ่มเฟือย รายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ส่วนสินค้าด้อยคุณภาพ รายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต
เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุปสงค์ของสินค้าเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับการคาดคะเนของผู้บริโภคแต่ละคน
ขนาดและโครงสร้างของประชากร
โดยปกติถ้าจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอุปสงค์ของสินค้าแทบทุกชนิดย่อมเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างประชากรด้วยซึ่งมีผลให้อุปสงค์ของสินค้าบางชนิดเพิ่มขึ้นและบางชนิดลดลง
ปัจจัยอื่นๆ
การที่ผู้บริโภคจะมีอุปสงค์ต่อสินค้ายังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการใช้จ่าย ลักษณะการจัดเก็บภาษีของรัฐ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
อุปทาน(Supply)
ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการของผู้ขายในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ กันโดยผู้ขายเต็มใจจะขาย กล่าวคือ ถ้าราคาต่ำปริมาณที่เสนอขายก็จะลดต่ำลงด้วย และใน่ทางตรงกันข้าม หากระดับราคาสูงขึ้นก็จะมีปริมาณเสนอขายเพิ่มขึ้น
ปริมาณสินค้า(Q)และบริการที่ผู้ผลิตยินดีเสนอขาย ณ ระดับราคา(P)ต่างๆกัน
อุปทานของหน่วยผลิต(Individual Supply)
อุปทานของจำนวนสินค้าหรือบริการของผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งต้องการผลิตออกขายในช่วงเวลาหนึ่ง ณ ระดับต่างๆของราคาสินค้าหรือบริการชนิดนั้น
อุปทานตลาด(Market Supply)
อุปทานของจำนวนสินค้าหรือบริการของผู้ผลิตทุกรายในตลาดต้องการผลิตออกขายในช่วงเวลาหนึ่ง ณ ระดับต่างๆของราคาสินค้าหรือบริการชนิดนั้น
กฎของอุปทาน(Law of Supply)
ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตต้องการขายแปรผันตามระดับราคาของสินค้าหรือบริการชนิดนั้นเสมอ
ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณการซื้อสินค้าจะสูงขึ้น
ถ้าราคาสินค้าลดลงปริมาณการซื้อสินค้าจะลดลง
การเปลี่ยนแปลงในปริมาณอุปทาน(Change in quantity supplied)
เป็นการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าจะทำให้ปริมาณเสนอขายเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกัน
เป็นการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตเต็มใจเสนอขายเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยอื่นๆจะทำให้เส้นอุปทานเลื่อนไปทั้งเส้น
ปัจจัยกำหนดอุปทานตลาด
ราคาของสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง
การเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อปริมาณเสนอขายสินค้าอีกชนิดหนึ่งได้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของสินค้า
สภาพดินฟ้าอากาศ
มีผลกระทบต่อปริมาณการเสนอขายสินค้าโดยเฉพาะสินค้าเกษตร สภาพดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยจะส่งผลให้อุปทานสินค้าเพิ่มขึ้น
ต้นทุนการผลิต
การตัดสินใจในปริมาณการผลิตผู้ผลิตจะเปรียบเทียบระหว่างรายได้จากการขายสินค้ากับต้นทุนในการผลิต ต้นทุนการผลิตมีผลต่อปริมาณการผลิตสินค้าโดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
เทคโนโลยี
ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีบทบาทต่อการผลิตมาก การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปริมาณผลผลิตด้วย
นโยบายรัฐบาล
ปริมาณเสนอขายสินค้าอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐ เช่น ถ้าจัดเก็บภาษีการเพิ่มขึ้นผู้ผลิตอาจลดการผลิตลงเนื่องจากต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น เป็นต้น
ดุลยภาพของการตลาด
ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม กลไกราคา (Price Mechanism) เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมอุปสงค์และอุปทานในตลาดให้เกิดความสมดุล ถ้าอุปสงค์และอุปทานไม่เท่ากันจะมีการปรับตัวจนกระทั่งเกิดสมดุลหรืออุปสงค์เท่ากับอุปทาน ดุลยภาพจะไม่เปลี่ยนแปลงตราบเท่าที่ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์และอุปทานไม่เปลี่ยนแปลง ราคาสินค้า ณ จุดที่อุปสงค์เท่ากับอุปทานเรียกว่า “ราคาดุลยภาพตลาด (Market Equilibrium Price)” ปริมาณสินค้า ณ จุดนั้นเรียกว่า “ปริมาณดุลยภาพตลาด (Market Equilibrium Quantity)” และเรียกจุดดังกล่าวว่า ดุลยภาพตลาด
อุปทานส่วนเกิน ปริมาณเสนอขายมากกว่าปริมาณเสนอซื้อสินค้า
อุปสงค์ส่วนเกิน ปริมาณเสนอซื้อสินค้ามากกว่าปริมาณเสนอขาย
เมื่อเกิดอุปทานส่วนเกินขึ้น ราคาสินค้าจะปรับตัวลดลง
เมื่อเกิดอุปสงค์ส่วนเกินขึ้น ราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้น
บทบาทของรัฐบาลที่มีผลกระทบต่อดุลยภาพของตลาด
การควบคุมราคา (price control) คือการที่รัฐบาลยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพื่อทำให้ราคาสินค้ามีเสถียรภาพ ทั้งนี้ เพราะสินค้าบางชนิดราคาไม่ค่อยมีเสถียรภาพ กล่าวคือ เมื่อปริมาณการผลิตเปลี่ยนแปลงไปมักจะทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งอาจจะสูงหรือต่ำเกินไปจนทำให้ผู้บริโภคหรือผู้ผลิตได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นรัฐบาลจึงเข้ามาให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านผู้บริโภคและผู้ผลิต
การกำหนดราคาขั้นสูง (maximum price control)
การควบคุมราคาขั้นสูงเป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้บริโภค
อุปสงค์กับงานสาธารณสุข
Felt need ความจำเป็นที่ตระหนักเป็นความจำเป็นที่ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องมี
Express need ความจำเป็นที่แสดงออก
Normative need ความจำเป็นที่ควรมีซึ่งเป็นการประเมินโดยแพทย์
อุปสงค์ต่อสุขภาพ
เป็นความต้องการหรือความจำเป็นที่ผู้บริโภคแสดงออกเพื่อให้มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ณ ระดับราคาเงา
ปัจจัยกำหนดพฤติกรรมของผู้บริโภคในการซื้อบริการสุขภาพ
ความรุนแรงของโรค (Severity หรือ S)
ราคาค่าบริการ (Price หรือ P)
ระดับรายได้ (Income หรือ Y)
ฤดูกาล (Season หรือ SS)
ปัจจัยด้านอายุ (Age หรือ A)
เพศ (Gender หรือ GD)
พันธุกรรม (Genetic หรือ GE)
พื้นฐานการศึกษา (Education หรือ EDU)
อุปสงค์ต่อการรักษาพยาบาล
ระดับการรักษาพยาบาลที่ผู้บริโภคจะรับบริการ ณ ระดับราราต่างๆกัน
อุปสงค์ต่อบริการสุขภาพ
DH = f(S,P,Y,SS,A,GD,GE,EDU)
อุปทานกับงานสาธารณสุข
เป็นบริการที่ผู้ผลิตยินดีที่จะเสนอให้กับผู้บริโภค ณ ระดับราคาต่างๆกันไป
ลักษณะพิเศษของการบริการสุขภาพ
การผลิตและการบริโภคเกิดขึ้นพร้อมกัน
บริการสุขภาพไม่สามารถทำสำรองหรือเก็บไว้ล่วงหน้าได้
บริการสุขภาพจับต้องไม่ได้
อุปทานในการบริการทางแพทย์(Supply for health services)
จำนวนชั่วโมงที่ให้บริการเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนที่บุคลากรเหล่านี้พึงได้รับจากการให้บริการนั้น
อุปทานในด้านการบริการสาธารณสุข(Supply for public health)
บริการในโรงพยาบาล (จำนวนเตียง ยารักษาโรค)