Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

กรณีศึกษา Cirrhosis with Ascites ภาวะแทรกซ้อนท้องมานจากโรคตับแข็ง -…

- - - - การหายใจไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีภาวะท้องมานดันกระบังลม
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 1 การหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากปอดขยายตัวได้น้อยจากภาวะท้องมานดันกระบังลม
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : มีอาการหายใจตื้น หายใจเหนื่อยหอบ ใช้กล้ามเนื้อหน้าอกในการหายใจ
        
        O : นอนราบไม่ได้
        
        O : ท้องโป่งตึงมาก
        
        O : สีหน้าอ่อนเพลีย ซึม เหนื่อยง่าย
        
        O : O2 sat 94%
        
        A : ผู้ป่วยที่มีภาวะท้องมานอาจมีอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันก็ได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ
        
        ที่ก่อให้เกิดภาวะนี้ บางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็นหากมีของเหลวสะสมในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อของเหลวในช่องท้องมีปริมาณมากขึ้นอาจส่งผลให้รู้สึกปวดท้อง ไม่สบายท้อง หรือท้องอืด และหากมีปริมาณมากอาจทำให้มีอาการหายใจไม่อิ่มได้ เนื่องจากของเหลวในท้องไปเพิ่มแรงดันต่อกระบังลมหรือมีการเคลื่อนตัวจนเกิดภาวะน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดตามมา รวมทั้งทำให้มีขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ในกรณีศึกษาผู้ป่วยมีอาการหายใจตื้น หายใจเหนื่อยหอบ ออกซิเจนในเลือดต่ำ เนื่องจากท้องมานดันกระบังลม
        
        วัตถุประสงค์ของการพยาบาล
        
        เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        -ไม่มีอาการหายใจตื้น เหนื่อยหอบ
        
        O2 sat >95%
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        จัดให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในท่าศีรษะสูงเพื่อให้กระบังลมเคลื่อนต่ำลง ทำให้ปอดขยายได้เต็มที่ขึ้น ส่งเสริมการระบายอากาศและการแลกเปลี่ยนก๊าซได้ดีขึ้น
        
        2.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายคือ Mask with bag อัตราการไหล 10ลิตรต่อนาที ตามแผนการรักษา
        
        3.ติดตาม บันทึกการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ ทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอัตราการหายใจ สังเกตการเปลี่ยนแปลงการหายใจและภาวะ Cyanosis และสังเกตอาการแสดงของภาวะเม็ดเลือดแดงพร่องออกซิเจนเช่น กระสับกระส่าย สับสน การเปลี่ยนแปลงของสีผิว ผิวหนังเย็นชื้น
        
        สังเกตอัตราความลึก ลักษณะการหายใจ ฟังปอดประเมินเสียงหายใจเพื่อเป็นการประเมินภาวะหายใจล้มเหลว
        
        ดูแลควบคุมอัตราการไหลของสารน้ำ 0.9% NSS 1000 cc. ให้ผู้ป่วยนอนพักมากๆเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
        
        ส่งเสริมให้ผู้ป่วยพักผ่อนอยู่บนเตียง โดยจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบเงียบ จัดท่านอนให้สุขสบาย ดูแลช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆของผู้ป่วย เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
  - - - เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ตับจะถูกเปลี่ยนเป็น Acetaldehydeชึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ตับโดยเพิ่มการสร้างไตรกลีเซอไรด์ในตับ ส่วนหนึ่งจะถูกขับออกสู่เลือดทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ส่วนหนึ่งจากค้างอยู่ในตับทำให้เกิดไขมันในตับ
        แอลกอฮอล์ทำให้ตับขาดออกซิเจน เกิดจากการอักเสบและการตาย ทำให้โครงสร้างของจากการไหลเวียนเลือดการทำหน้าที่ของเซลล์จะเปลี่ยนแปลงและเกิดตับวาย
        
        ผู้ป่วยมีประวัติการดื่มสุราทุกวัน วันละ 1 ขวดกลม ตั้งแต่อายุ 26 ปีถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 20 ปี
    - - ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเซลล์ตับชนิดรุนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากความผิดปกติของ T -lymphocyte ที่ไม่สามารถทำลายแอนติเจนของไวรัสให้หมดไปจากร่างกายและ immune complex แอนติเจนของไวรัสกับแอนติบอดีของร่างกายก็ทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆ
        
        ผู้ป่วยมีประวัติ 9 ปีก่อนมาโรงพยาบาลตรวจพบเป็นโรคตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบบีและซี รักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
- - - - กรณีศึกษา ผู้ป่วยมีอาการซีด
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 5 อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดลดลง
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : Hct 30.5%
        
        O : PT 21.80 Sec.
        
        O : PTT 39.50 Sec.
        
        O : ชีพจร 84 ครั้ง/นาที การหายใจ 26 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 82/57 มิลลิเมตรปรอท O2sat 94%
        
        A : เกิดรอยพรายย้ำช้ำเขียว จ้ำเลือดตามผิวหนัง เนื่องจากตับสร้างโปรตีนที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดลดลง ได้แก่ factor I (fibrinogen), factorIl (prothrombin), factor V, VII, IX, X, XI,protein C, protein S และ antithrombin ทำให้เลือดออกง่ายแต่หยุดยาก แข็งตัวยาก จึงเกิดรอยจ้ำเลือดหรือเลือดออกจากใต้ผิวหนังได้ง่าย ในกรณีศึกษาผู้ป่วยมีค่า Hct 30.5% , PT 21.80 Sec. , PTT 39.50 Sec.
        
        วัตถุประสงค์ของการพยาบาล
        
        ผู้ป่วยไม่เกิดอันตรายจากภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยไม่ภาวะเลือดออกง่าย
        
        Hct 42.9-49.1%
        
        PT 10-20 Sec.
        
        PTT 22.7-28.8 Sec.
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        ติดตาม ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 1 – 2 ชั่วโมงและบันทึกปริมาณน้ำเข้า-ออก
        
        สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะช็อค ถ้าพบชีพจรเบาเร็ว หายใจเร็วตื้น อุณหภูมิร่างกาย
        
        เริ่มต่ำความดันเพิ่มขึ้นและลดลงในระยะหลัง pulse pressure แคบ ซีด อ่อนเพลียกระสับกระส่าย หากพบอาการผิดปกติรายงานแพทย์ทันที
        
        สังเกตอาการเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในช่องท้อง ซึ่งจะมีอาการปวดท้อง หน้าท้องแข็ง กดเจ็บทั่วท้อง ท้องอืดมากขึ้น สอบถามตำแหน่ง ลักษณะ ระยะเวลาของการปวดท้อง เพื่อประเมินความรุนแรง
        
        สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ถ่ายอุจจาระ เป็นสีดำ เลือดออกตามไรฟัน หรืออาเจียนเป็นเลือด เพื่อทราบภาวะการเสียเลือดที่อาจเกิดภายในระบบทางเดินอาหาร
        
        ติดตามผลการตรวจเลือด โดยเฉพาะตรวจความเข็มข้นเลือด,ค่าเวลาของการแข็งตัวของเลือด เพื่อช่วยประเมินสภาวะการแข็งตัวของเลือด
        
        ระวังการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้เสียเลือดได้ เช่นการตกเตียง การกระแทกกับขอบเตียงโดยใช้เหล็กกั้นเตียง จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย
        
        กิจกรรมการพยาบาล
- - - - การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการคั่งของน้ำ
      - ถ้าผู้ป่วยมีการคั่งของน้ำมากจะให้นอนพักและติดตามจำนวนน้ำที่ร่างกายได้รับและน้ำที่เสียออกมา จะจำกัดน้ำประมาณ 500 - 1000 มิลลิเมตรต่อวัน และให้เกลือโซเดียมเพียง 200 -1000 มิลลิกรัมต่อวัน จะกำจัดน้ำและโซเดียมจนกว่าการรักษาจะได้ผลดี
      - ถ้าการควบคุมปริมาณของน้ำและโซเดียม ไม่สามารถลดจำนวนน้ำในช่องท้องและอาการบวม ภายใน 4 ถึง 5 วัน จะเริ่มให้ยาขับปัสสาวะ เช่น Lasix (40) ½ tab oral OD pc และ Aldactone (25) 1 tab oral OD pc เพื่อเพิ่มปริมาณพลาสม่าในหลอดเลือดและเพิ่มการขับปัสสาวะโดยดึงเอาน้ำจากช่องว่างระหว่างเซลล์เข้าในหลอดเลือด
      - ให้อาหารจืดโปรตีนสูง (Salf - poor albumin) เพื่อเพิ่มปริมาณพลาสม่าในหลอดเลือดและยังเป็นการเพิ่มการรับปัสสาวะโดยดึงเอาน้ำจากช่องว่างระหว่างเซลล์เข้าในหลอดเลือด
      - ได้ทำ Abdominal Tapping เพื่อระบายน้ำในช่องท้องออก
- - - - กรณีศึกษา ผู้ป่วยมีอาการ ผู้ป่วยจะมีปัสสาวะน้อย 2 ครั้ง/วัน BUN 35.5 mg/dl สูง
        creatinine 1.22 mg/dl สูง
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 3 มีของเสียคั่งในร่างกาย เนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : BUN 35.5 mg/dl
        
        O : Creatinine 1.22 mg/dl
        
        O : ปัสสาวะออกน้อย 2 ครั้ง/วัน สีเหลืองเข้ม
        
        A : เมื่อตับแข็งประสิทธิภาพการทำงานลดลง ส่งผลทำให้ไตทำงานผิดปกติไปด้วยจนเกิดภาวะไตวาย ดูได้จากค่า BUN และ Creatinine ที่สูงขึ้น แต่ถ้าไปเจาะไตมาตรวจกลับไม่พบความผิดปกติที่เนื้อไตหรือท่อไต เรียกภาวะนี้ว่า เฮ็บปาโตรีนอลซิมโดรม hepatorenal syndrome ภาวะแทรกซ้อนนี้มักเกิดในคนที่ตับเสียไปมากๆ ค่าเกลือโซเดียมในเลือดต่ำ มีน้ำในท้อง
        
        วัตถุประสงค์
        
        ของเสียในร่างกายลดลง ไม่เกิดอันตรายจากของเสียคั่ง
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        BUN 6-20 mg/dl
        
        Creatinine 0.72-1.18 mg/dl
        
        ไม่มีอาการเท้าบวม ขาบวม
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.ประเมินอาการบวมตามบริเวณแขน ขา ก้บกบ รอบกระบอกตาอย่างน้อยทุกเวรเพื่อเฝ้าระวังภาวะน้ำเกินในร่างกาย
        
        บันทึกจำนวนน้ำที่ได้รับและขับออก เพื่อควบคุมปริมาณน้ำเข้าออกร่างกาย
        
        ดูแลให้ได้รับยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษา คือ
        
        Lasix (40) ½ tab oral OD pc สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หนาวสั่น ไอ และเสียงแหบ ไข้ขึ้นสูง
        
        Aldactone (25) 1 tab oral OD pc สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ปากบวม ลิ้นหรือคอบวม
        
        4.ดูแลควบคุมอัตราการไหลของสารน้ำ 0.9% NSS 1000 cc. โดยควบคุมจำนวนสารน้ำเข้า-ออกให้อยู่ในระดับสมดุล
        
        ติดตามผล lab BUN และ Creatinine เพื่อประเมินการคั่งของเสียในเลือด
        
        สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยเพื่อประเมินสภาพจากการมีของเสียคั่ง
- - - - กรณีศึกษา ผู้ป่วยมีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอดเนื่องจากภาวะท้องมานมีการเพิ่มแรงดันในหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
        WBC Count 21.9 10^3 cell/uL
        %Neutrophil 86.1 %
        %Lymphocyte 10.6 %
        ผลตรวจ Sputum : พบเชื้อAerobic Culture Numerous Acinetobacter baumannii
        Kleb.pneumoniac (ESBL-producing strain)
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 4 มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอดเนื่องจากภาวะท้องมานมีการเพิ่มแรงดันในหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : WBC Count 21.9 10^3 cell/uL
        
        O : %Neutrophil 86.1 %
        
        O : %Lymphocyte 10.6 %
        
        O : ผลตรวจ Specimen จาก Sputum : Aerobic Culture
        
        1.Numerous Acinetobacter baumannii
        
        2.Moderate Kleb.pneumoniac (ESBL-producing strain)
        
        A : เมื่อตับแข็งประสิทธิภาพการทำงานลดลง สูญเสียความสามารถในการสร้างโปรตีนชนิดอัลบูมิน มีหน้าที่อุ้มน้ำและเกลือไว้ในหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะท้องมานน้ำ มีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดในตับ เส้นเลือดภายในระบบพอร์ตัลมีการอุดตัน มีการเพิ่มแรงดันภายในระบบ แรงดันภายในหลอดเลือดพอร์ตัลสูงขึ้น แรงดันน้ำ (Hydrostatic pressure)ภายในหลอดเลือดสูงขึ้น เช่นเดียวกับแรงดันภายในตับ น้ำจะรั่วซึมเข้าไปในช่องท้องและมีแรงดันในหลอดเลือดแดงพัลโมนารี น้ำและเกลือรั่วซึมเข้าปอด ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอด
        
        วัตถุประสงค์ของการพยาบาล
        
        ส่งเสริมให้ภาวะการเกิดการติดเชื้อลดน้อยลงและป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
        
        ผู้ป่วยปลอดภัยจากการติดเชื้อ
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        WBC Count 5-10 10^3 cell/uL
        
        %Neutrophil 40.0-74.0 %
        
        %Lymphocyte 19.0-48.0 %
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 1- 2 ชั่วโมง
        
        ให้การพยาบาลโดยใช้หลักเทคนิคปราศจากเชื้อ เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคไปสู่ผู้ป่วย
        
        ให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา คือ
        
        Ceftriaxone 2 g. IV OD สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหารปวดท้อง ท้องอืด
        
        Lamivudine 1x1 oral pc สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น ปวดศีรษะ รูปร่างเปลี่ยนไป มีไข้ อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย
        
        Tazocin 4.5 g. vein q 8 hrs สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและถ่ายเหลว
        
        ติดตามผลการตรวจ CBC ตามแผนการรักษา
        
        จัดสภาพแวดล้อมให้สะอาด
- - - - กรณีศึกษาผู้ป่วยดื่มสุราวันละ 1 ขวดกลม เป็นเวลา 20 ปี
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 7 ขาดความตระหนักในการดูแลสุขภาพตนเองเนื่องจากติดสุราเรื้อรัง
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : ผู้ป่วยบอกว่าดื่มสุราวันละ 1 ขวดกลม เป็นเวลา 20 ปี
        
        S : ผู้ป่วยบอกว่ารับประทานอาหารไม่ค่อยตรงเวลา
        
        S : ไม่ได้ออกกำลังกายเพราะคิดว่าตนเองทำงานมากเป็นการออกกำลังกายอยู่แล้ว
        
        S : ไม่ค่อยได้ตรวจร่างกาย เนื่องจากไม่มีเวลา
        
        O : ผู้ป่วยมีท้องบวมโต ตัวตาเหลือง
        
        A : โรคตับจากแอลกอฮอล์เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มาก และดื่มมานานระยะหนึ่ง ประมาณ 5 - 10 ปีขึ้นไป กรณีศึกษาผู้ป่วยดื่มสุราวันละ 1 ขวดกลม เป็นเวลา 20 ปี
        
        วัตถุประสงค์
        
        ผู้ป่วยบอกถึงขบวนการของโรค ภาวะแทรกซ้อน การรักษาได้ มีการพูดคุยถึงแนวทางการปรับตัวได้
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ผู้ป่วยอธิบายถึงกระบวนการของโรค ภาวะแทรกซ้อนและการรักษาได้
        
        มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในการดูแลตนเอง
        
        งดการดื่มสุรา
        
        อธิบายถึงอาหารที่เหมาะสมแก่ตนเองได้ถูกต้อง
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        ให้ความรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วย มีสาเหตุของโรคมาจากพฤติกรรมการดื่มสุราติดต่อเป็นระยะเวลานานจนเกิดพยาธิสภาพที่ตับโดยตรงเกิดภาวะตับเสื่อมการทำงาน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น มีเลือดออกมากผิดปกติ ภาวะตับวายและโรคติดเชื้อ ผลการรักษาขึ้นกับระยะโรคของผู้ป่วยและหน้าที่ของตับที่เหลืออยู่และพฤติกรรมสุขภาพการดื่มสุราของผู้ป่วยเอง
        
        สร้างความตระหนักให้ผู้ป่วยเห็นถึงความสำคัญโทษของสุราที่มีผลต่อสุขภาพให้มาก
        
        กระตุ้นให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล เกี่ยวกับแบบแผนการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป หรือปัญหาเกี่ยวกับการปรับบทบาท และพูดให้กำลังใจเพื่อให้สามารถยอมรับในสภาวะที่เป็นอยู่
        
        ให้ความรู้แก่บุคคลในครอบครัวเพื่อสนับสนุนการรักษาและเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต รวมถึงการติดเชื้อง่ายและการป้องกันตัวอาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากการแข็งตัวของเลือดลดลง
        
        สอนผู้ป่วยและครอบครัวถึงอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อน เช่น การเพิ่มน้ำในช่องท้อง อาเจียน น้ำหนักตัว การเปลี่ยนแปลงในบุคลิกส่วนตัวและพฤติกรรม
        
        ุ6. แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เหมาะสมกับโรค ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดตามที่ตนเองชอบ ควรทานรสจืด เค็มน้อย งดอาหารหมักดอง หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดหรือใสเครื่องเทศรสจัด แนะนำให้รับประทานโปรตีนจากพืชดีกว่าโปรตีนจากสัตว์เนื่องจากกรดอะมิโนน้อยกว่า เช่น นมถั่วเหลือง
        
        7.แนะนำผู้ป่วยหลีกเลี่ยงภาวะท้องผูกโดยการดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารที่มีกากใย เพื่อช่วยในการขับถ่าย
    - - ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 8 ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : รู้สึกทำกิจกรรมต่างๆได้น้อยลง
        
        O : ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองได้ ต้องมีญาติคอยดูแล ต้องขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระบนเตียง
        
        O : ผู้ป่วยมีสีหน้าวิตกกังวล ไม่สดชื่นเป็นบางช่วง
        
        A : วิตกกังวลเกิดจากสมองส่วน amygdala ถูกกระตุ้นมากผิดปกติ (hyperstimulation of amygdala) มีผลส่งสัญญาณไปกระตุ้นที่ anterior cingulate Cortex (ACC) และ orbitofrontal cortex (OFC) ทำให้เกิดอาการกลัวขึ้น นอกจากนี้การที่สมองส่วน amygdala ถูกกระตุ้นมากผิดปกติยังมีผลส่งสัญญาณไปกระตุ้นสมองบริเวณอื่นทำให้เกิดการตอบสนองทางร่างกายต่างๆ ได้แก่ การกระตุ้นที่ parabrachial nucleus ส่งผลเพิ่มอัตราการหายใจ การกระตุ้นที่ locus coeruleus มีผลเพิ่มการหลั่ง norepinephrine (NE) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น
        
        วัตถุประสงค์
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวล รับรู้และเข้าใจถึงสภาวะการเจ็บป่วยตนเอง
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        -ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่นขึ้น
        
        -ผู้ป่วยเข้าใจความรุนแรงของโรคและสภาวะการเจ็บป่วยและปฏิบัติตัวเหมาะสมกับโรค
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วย พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย
        
        2.ประเมินการรับรู้ปัญหาของผู้ป่วย ทักษะการปรับตัว ความเข้มแข็งและแหล่งสนับสนุนของญาติและค้นหาความรู้สึกของผู้ป่วยว่าอยู่ในภาวะใด
        
        อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงปัญหาของผู้ป่วยและแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมกับโรคโดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญอย่างมากในการควบคุมสภาวะโรคที่เป็นอยู่
        
        ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยได้แสดงความรู้สึกหรือความต้องการออกมาเช่น ความกลัว ความคาดหวัง และหาแหล่งประโยชน์ให้ตามความเหมาะสม
        
        อธิบายให้ญาติทราบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ โดยอธิบายเป็นภาษาที่ญาติเข้าใจง่าย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ญาติได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษา