Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคคาวาซากิ kawasaki Disease - Coggle Diagram
โรคคาวาซากิ kawasaki Disease
ความหมาย
โรคที่มีการอักเสบของหลอดเลือดแดงขนาดกลาง(vasculitis) ทั่วร่างกาย เป็นกลุ่มอาการของโรคที่ประกอบด้วยไข้สูง มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและเยื่อบุผิวและต่อมน้ำเหลืองที่คอโต พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5ปี โรคนี้สามารถหายได้เอง
การวินิจฉัย
1.มีอาการไข้นานมากกว่า5 วัน
2.มีอาการแสดงอย่างน้อย 4 ข้อ ดังนี้ 1.ตาแดงทั้งสองข้างโดยไม่มีขี้ตา 2.ริมฝีปาก คอ และเยื่อบุปากแดง ลิ้นเป็นตุ่มแดงนูนคล้ายผิวสตรอเบอร์รีและริมฝีปากแตก 3.มีการเปลี่ยนแปลงที่หลังมือและหลังเท้า โดยบวมแดงในระยะแรก ต่อมามีการลอกของผิวหนังปลายมือและนิ้วเท้า 4.มีผื่นขึ้นตามตัว พบมากบริเวณขาหนีบ 5.ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโต มากกว่า 1.5 ซม.
การตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูงจะช่วยวินิจฉัยโรคหากมีการลุกลามไปที่หัวใจและหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงหัวใจ(coronary artery)จะเห็นการโป่งพอง(aneurysm) และอาจเห็นลิ่มเลือดอยู่ในเส้นเลือดส่วนที่โป่งพอง
สาเหตุ
ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดของสาเหตุการเกิดโรค แต่จากการศึกษาทางระบาดวิทยาและลักษณะของโรคสนับสนุนว่าโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งมีผลต่อเนื้อเยื่อในชั้นต่างๆ ของผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เเกิดการสูญเสียโครงสร้างที่แข็งแรงของหลอดเลือดแดง เป็นผลให้ผนังของหลอดเลือดแดงโป่งพอง ขณะเดียวกันก่อให้เกิดการอุดกั้นของหลอดเลือดแดงจากก้อนลิ่มเลือดที่แข็งตัวทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้หลอดเลือดแดงนั้นอุดตันในที่สุด
อาการและอาการแสดง
1.มีไข้สูง และสูงเป็นพักๆ นาน 1-2 สัปดาหื บางรายนาน 3-4 สัปดาห์
2.ตาแดง ซึ่งตาขาวจะแดงโดยไม่มีขี้ตา เกิดหลังมีไขข้ประมาณ 1-2 วันและเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์
3.มีการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปาก โดยริมฝีปากจะแดง แห้ง และผิวหนังที่ริิมฝีแากจะแตกลอกตามมา ลิ้นเป็นตุ่มนูนแดงคล้ายสตอร์เบอรี (strawberry tongue)
4.มีการเปลี่ยนแปลงที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า มีแากรบวมแดง แต่ไม่เจ็บ หลังจากนั้นจะมีการลอกของผิวหนังบริเวณปลายเล็บมือและเท้า และลามไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า บางรายเล็บอาจหลุดได้ หลังจากนั้น 1-2 เดือน จะมีรอยขวางที่เล็บ (transverse groove; Beau's line) ซึ่งจะช่วยในการวิเคราะห์โรค
5.ผื่นตามตัวและแขนขา มักเกิดหลังจากมีไข้ได้2-3วัน โดยลักษณะของผื่นมีได้หลายแบบแต่ไม่มีอาการคัน
6.ต่อมน้้ำเหลืองบริเวณคอโตแต่ไม่เจ็บ
7.อาการอื่นๆ ได้แก่ ปวดตามข้อ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ ท้องเสีย ปอดอักเสบ
การดำเนินการของโรคแบ่งเป็น 3 ระะยะ
1.ระยะไข้เฉียบพลัน (acute febrile phase) มีไข้สูงมีอาการแสดงตามเกณฑ์ทั้งหมด ระยะนี้ใช้เวลา 1-2 สัปดาห์
2.ระยะกึ่งเฉียบพลัน (subacute phase) มีไข้ลดลง มีการลอกของผื่น มีเกร็ดเลือดสูง พบมากในสัปดาห์ที่2 ในระยะนี้อาจมีการโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจ เป็นภาวะแทรกว้อนที่สำคัญที่สุดซึ่งมีความเสี่ยงที่ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
3.ระยะพักฟื้น (convalescent phase) อาการต่่างๆรวมทั้งความผิดปกติของเลือดกลับคืนสู่ปกติ ใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ หลังจาเริ่มมีอาการเจ็บป่วยของโรคนี้
การรักษา
1.การรักษระยะเฉียบพลัน
1.ให้อิมมูโนโกลบูลิน (intravenous immunoglobulin; IVIG) 2 กรัม/กิโลกรัม หยดเข้าทางหลอดเลือดดำเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ขณะให้ควรติดตาม V/S โดยเฉพาะBP หากพบความดันต่ำให้หยุดยาชั่วคราว เมื่ออาการดีขึ้นให้ยาใหม่ *การให้ IVIG คควรให้ภายในเวลาไม่เกิน 10 วันจากที่เริ่มมีอาการเนื่องจากช่วยลดอุบัติการรืการเกิดลอดเลือดแดงหัวใจโป่งพอง
2.ให้ aspirin 80-100 มิลลิกรัม/วัน แบ่งรับประทานวันละ 4 ครั้งจนไข้ล 48 -72 ชม. หรือครบ 14 วันจากเริ่มป่วยวันแรกและลดขนาดยาเป็น 3-5 มิลลิกรัม/วัน ทั้งนี้ต้อวตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงเพื่อดูการโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจร่วมด้วย
2.การรักษาในระยะพักฟื้น
1.ให้ aspirin 3-5มิลลิกรัม/วัน รับประทานวันละครั้ง นาน 6- 8 สัปดาห์ และตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงซ้ำ ถ้าไม่มีการโป่งพองของหลอดเลือดแดงหัวใจ สามารถหยุดยาได้
2.1.ให้ aspirin 3-5มิลลิกรัม/วัน รับประทานวันละครั้งระยะยาว ถ้าผู้ป่วยมีหลอดเลือดแดงหัวใจผิดปกติหลังตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงที่ 6-8 สัปดาห์
3.1.ให้ aspirin 3-5มิลลิกรัม/วัน รับประทานวันละครัั้งและพิจจารณาให้ warfarin ร่วมด้วย ถ้าผู้ป่วยมี giant coronary artery aneurysm (aneurysm > 8 mm.)
3.การรักษผู้ป่วที่มีหลอดเลอดหัวใจอุดตันและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
1.พิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือด
2.การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยสายสวน
3.การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล: เสี่ยงต่อการโป่งพองและมีลิ่มเลือดุดตันในหลอดเลือดหัวใจเนื่องจากการอักเสบของผนังหลอดเลือดและการเพิ่มขึ้นของเกร็ดเลือด
กิจกรรมการพยาบาล
1.ดูแลให้ได้รับ IVIG ตามแผนการรักษา ขณะให้วัด V/S m6d 15 นาที 4 ครั้ง ทัก 30 นาที 2 ครั้ง และทุก 1 ชม. จนสัญญาณชีพคงที่ หลังจากนั้นวัดทุก 4 ชั่วโมง และสังเกตอาการแพ้ฉับพลัน เช่นไข้หนาวสั่น หน้าแดง แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาการอาจเกิดภายในชั่วโมงแรกของการให้ยา หากพบอาการแพ้ต้องหยุดยาทันทีและรายงานแพทย์
2.ดูแลให้ได้รับยาaspirin หลังอาหารทันทีตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการรวมกันของเกร็ดเลือด เฝ้าระวังอาการข้างเคียงของยา ได้แก่ การมีเลือดออกง่าย เช่นในกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานยาในขณะท้องว่าง
3.ประเมินการทำงานของหัวใจอย่างใกล้ชิดโดยสังเกต HR, RR อาการแสดงถึงกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้แก่ อาการเจ็บหน้าอกด้านนซ้าย ร้องกวน ไม่ดูดนม เหนื่อย
4.เน้นย้ำผู้ปกครองถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัดและการได้รับยาอย่างต่อเนื่อง