Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 2 การพยาบาลสตรีที่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
บทที่ 2 การพยาบาลสตรีที่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
หมายถึง
ภาวะที่มีควมมดันโลหิตซิส (Systolic) 140 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปหรือสูงกว่าเดิม 30 มิลลิเมตรปรอท และความดันไดโตลิค (Diastolic) 90 มิลลิเมตรปรทขึ้นไปหรือสูงกว่าเดิม 15 มิลลิเมตรปรอท
พยาธิสภาพ
1.การทำงานของไต**
2.1ปัสสาวะเล็กน้อย (Oilguria) เกิดในรายที่รุนแรง ทำให้ยูเรียและครีเอตินินในเลือดเพิ่มขึ้นได้
2.2ระดับกรดยูริคเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดเนื่องจากเคียร์แลนซ์ (Clearance) ที่ไตลดลงและมีการดูดกลับเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดได้เร็ว การเพิ่มของระดับกรดยูริคมักสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค
2.3ไข่ขาวในปัสสาวะ เป็นผลตามมาจาก glomerular vasospasm glomerular และ endotheliosis จากภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์โปรตีนที่เสียไปทางปัสสาวะส่วนใหญ่เป็นไข่ขาว อัตราส่วนของอัลบูมินกับกรอบบูริน (albumin: globulin ratio) ลดลงและออนโตติค เพรชเซอร์ (Oncotic pressure)ลดลง
2.4การดูดกลับของโซเดียมที่ท่อไตเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการคั่งของโซเดียมในร่างกายก่อให้เกิดภาวะบวมน้ำ (Edema) ภาวะบวมน้ำจะรุ่นแรงมากขึ้นตามปริมาณการสูญเสียโปรตีนออกจากร่างกาย
2.การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวการแข็งตัวของเลือด
3.1เกล็ดเลือดต่ำ
พบได้บ่อยในความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในรายที่เป็นอย่างรุนแรงใน sevene Preeclampsia
3.2ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอื่นๆ
-Antithrombin ll (AT lll) ลดลงในภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เป็นสัดส่วนโดยตรงกับความรุนเเรงของโรคเเตกต่างจากโรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
-Prolog prothrombin time พบได้บ่อยในรายรุนเเรงแต่รายที่ถึงกลับมีปัญหาทางคลินิคพบน้อย ระดับของความไฟล์โนเจนมักจะปกติปัจจัยการเเข็งตัวของเลือดมักปกติ
-Fibronectinซึงเป็นกลัยโคโปรตีนในเมนเบรนพื้นฐานของเซลล์เยื้อบุหลอดเลือดมีระดับสูง
-ระดับของc/a1 antitrypsin complex สูงขึ้นใน Preeclampsiaแต่ไม่สูงในความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
3.การเปลี่ยนแปลงอื่นๆของสารเคมีในเลือด
4.1ระดับโปรตัสเชียม เเคลเซียม คลอไรด์ในซีรั่มอยู่ในเกณฑ์ปกติ
4.2 ระดับโซเดียม เพิ่มขึ้นเเต่มักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
4.3 น้ำตาลในเลือด ใบคาร์บอเนตและ pHมักอยู่ในเกณฑ์ปกติจะผิดปกติเฉพาะรายรุนเเรงเท่านั้น
4.4 ระดับกรดยูริกเพิ่มขึ้น
4.5 ระดับเหล็กในซีรั่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในรายรุนเเรงซึ่งอาจเกิดอาการเเตกของเม็ดเลือดแดง
4.การทำงานของตับ
จากการที่เลือดไปเลี้ยงตับน้อยลงการทำหน้าที่ของตับ(Subcapsular hemorrhage) ในที่สุดทำให้เซลล์ตับบวมและมีเลือดออกในเเคปซูลตับในที่สุดทำให้เซลล์ตับตาย
5.ความผิดปกติในสมอง
การไหลเวียนเลือดในสมองหรือความต้านทานของหลอดเลือดในสมองมักไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน การตรวจคลื่นสมองจะพบเป็นแบบ nonspecific จากการตรวจสมองที่เสียชีวิตจากภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์พบว่า สมองบวม เลือดออก เลือดอุดตัน จะเเสดงฮาการ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มองภาพไม่ชัด
7.การไหลเวียนเลือดที่รกกับมดลูก*
ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มีการลดลงของการไหลเวียนเลือดที่รก (2-3เท่า)ความต้านทานในรกสูงขึ้นกว่าครรภ์ปกติเพิ่มอุบัติการณ์ของ Dopple wave form ผิดปกติ
1.1.1มายด์พลีอีแคลมป์เชีย (Mild Preeclampsia) ประกอบด้วยความดันโลหิตสูงค่าไดแอสโตลิค (Diastolic) ไม่เกิน 110 มิลลิเมตรปรอท หรือค่าซีสโตลิค (Systolic) ไม่เกิน 160 มิลลิเมตรปรอท ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะน้อยกว่า 5 กรัม/ลิตร หรือ 1-2 บวกในปัสสาวะที่เก็บ 24 ชั่วโมงหรือ/อาการบวม
1.1.2ซีเวียพรีอีแคลมป์เชีย (Severe Preeclampsia) ประกอบด้วยความดันโลหิตสูงร่วมกับอาการหรือสิ่งตรวจพบ ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
-ความมดันโลหิตสูงค่าไดแอสโตลิค (Diastolic) 100 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่าค่าซีสโตลิค (Systolic) 160 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่า โดยวัด 2 ครั้งห่างกัน 6 ชั่วโมง และวัดในขณะที่สตรีตั้งครรภ์ได้นอนพัก
-มีโปรตีน ในปัสสาวะประมาณ 5 กรัม/ลิตร หรือมากกว่า หรือ 3-4 บวก ในปัสสาวะที่เก็บ 24 ชั่วโมง
-มีจำนวนปัสสาวะน้อยกว่า 400 ลูกษาศก์เซนติเมตร ใน 24 ชั่วโมง
1.1 พรีอีแคลมป์เชีย (Preeclampsia)
หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงซึ่งเกิดขึ้นใน ขณะตั้งครรภ์เมื่ออายุครรภ์เกิน 20 สัปดาห์ขึ้นไป ร่วมกับการตรวจพบโปรตีน ในปัสสาวะ (โปรตีน ในปัสสาวะ หมายถึง ปัสสาวะที่ตรวจมีปริมาณโปรตีนมากกว่า 0.3 กรัม/ลิตร ในปัสสาวะที่เก็บตลอด 24 ชั่วโมง
1.2 อีแคลมป์เชีย (Eclipseia)
หมายถึงสตรีตั้งครรภ์ที่มี Preeclampsia แล้วมีอาการชักเกร็ง หมดสติมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
ก.ระยะเตือน จะมีอาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ตาและริมฝีปาก ศีรษะจะหันไปด้านใดด้านหนึ่ง ระยะนานประมาณ 10-20 นาที
ข.ระยะเกร็ง มีอาการตัวแข็งเกร็ง แขนขางอ มือกำแน่น ขบฟันแน่น ตาเหม็ง หยุดหายใจ หน้าเขียว ระยะประมาณ 10-20 นาที
ค.ระยะกระตุก นานประมาณ½/-2 นาที
ง.ระยะหมดสติ จะนอนนิ่งหลังชักอาจมีหายใจเร็ว แรง หรือตัวเขียวก็ได้ ระยะเวลาที่หมดสติอาจจะสั้นหรือนานก็ได้ ขึ้นอยู่กับความถี่ห่างของการชัก
1 Gestational hypertension หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ แบ่งออกได้ ดังนี้
2.Chronic hypertension หมายถึง
ภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเกิดขึ้นก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และคงอยู่นานเกินกว่า 12 สัปดาห์ หลังคลอด
3.Chronic hypertension with superimposed Preeclampsia
หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงในกลุ่ม Chronic hypertension ร่วมกับ Preeclampsia โดยมีอาการบวม หรือ/และ การตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะร่วมด้วย
สาเหตุ
สาเหตุ : ยังไม่ทราบแน่นอน แต่มีปัจจัยเสียง
1.ครรภ์แรก อายุ < 18 ปี หรือ อายุ > 35 ปี
2.มีความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ครรภ์แฝดครรภ์3.ไข่ปลาอุกครรภ์แฝดน้ำ
4.ฐานะทางเศรษฐกิจต่ำ
5.รับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด พวกแป้ง ขาด โปรตีน และวิตามิน
ปัจจัยส่งเสริม
1.อายุของสตรีตั้งครรภ์ มีความสัมพันธ์ระหว่างอายุของสตรีตั้งครรภ์กผับภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการตั้งครรภ์ในลักษณะ "J-shaped" CuIVe คือ มีอุบัติการณ์สูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในมารดาที่อายุน้อย และลดลงแล้วเพิ่มอย่างชัดเจนเมื่ออายุมากขึ้น
ลำดับครรภ์ ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เกิดขึ้นบ่อยในสตรีที่ไม่เคยคลอด(Nulliparous) ถ้าเกิดขึ้นในสตรีที่เคยผ่านการคลอด (Multiparous) มักจะมีปัจจัยส่งเสริมอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เบาหวาน ครรภ์แฝด เป็นต้น
ปัจจัยทางพันธุกรรม ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มีส่วนถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ single- gene model น่าจะเป็น simple recessive trait มีความถี่ของยืน 0.25แต่อย่างไรก็ตามการถ่ายทอดแบบ mulifactorial ก็อาจเป็นไปได้
โภชนาการ หลายการศึกษาบ่งชี้ว่าภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มิได้สัมพันธ์กับโกชนาการ เช่น โปรตีน เป็นต้น แต่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าการขาดแคลเซียมส่งเสริมให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ไฮเปอร์พลาเซ็นโตซีส (Hyperplacentosis) คือ การเพิ่มการทำงานของรก เนื่องจากมีการเพิ่มมวลของรก
ภาวะแทรกซ้อนต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
1. ภาวะแทรกซ้อนต่อสตรีตั้งครรภ์ ได้แก่
1.1 หัวใจทำงานล้มเหลว
1.2 อันตรายจากภาวะชัก
1.3 ไตวายเฉียบพลัน
1.4 น้ำคั่งในปอด
1.5 ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด
2.2 ทารกเกิดภาวะขาดออกซิเจน
2.3 คลอดก่อนกำหนด
2.4 ทารกเสียชีวิตในระยะแรกเกิด
2.5 ทารกเสียชีวิตในครรภ์เฉียบพลัน
2.ภาวะแทรกซ้อนต่อท่รกในครร
ภ์
2.1ทารกเจริษเติโตช้า
การดูแลรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์
การดูแลทั่วไป
รับสตรีตั้งครรภ์ไว้ในโรงพยาบาล
จัดให้นอนพักในท่าตะแคงซ้าย และจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ
งดอาหารเค็ม
วัดความดันโลหิตและชีพจรทุก 4 ชั่วโมง
2. การตรวจทดสอบสุขภาพของทารกในครรภ์
ฟังเสียงอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ อย่างน้อยเช้า-เย็น
จดบันทึกการดิ้นของทารกในครรภ์
ตรวจหาระดับเอสตริออล (Estiol) ในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง หรือหาระดับSerumunconjugated estriol ในเลือด
ตรวจประเมินสภาพทารกในครฐณ์ นอนสเตรสเทส (Non-stress test)
3. การให้ยา
ให้ยากล่อมประสาท อาจเลือกให้อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ฟิโนบาร์บิทอล
หลีกเลี่ยงการให้ยาขับปัสสาวะ และยาปฏิชีวนะ ได้แก่ แอมพิซิลิน
4. การทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง
อายุครรภ์ครบ 38 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่ควรปล่อยให้การตั้งครรภ์เกินกำหนด
มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่น Impending eclampsia หรือ Eclampsia
สภาพสุขภาพทารกในครรภ์เลวลง
5. การดูแลในระหว่างคลอด
จัดให้นอนในท่ตะแคงซ้ายเพื่อไม่ให้มดลูกกดทับเส้นเลือดอินเพียเรียวีนา คาวา ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงมดลูกได้ดี และเพิ่มปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในร่างกาย ทำให้มดลูกและไตได้รับเลือดอย่างเพียงพอ
ตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ รีเฟล็กซ์ทุก 30 นาที จากนั้นให้บันทึกทุก 1 ชั่วโมง วัดปริมาณสารน้ำที่เข้าและออกจากร่างกายทุก 4 ชั่วโมง
ให้ยาแก้ปวดในระยะแรกของการคลอด โดยให้มอร์ฟิน 10 mg.หรือเพทธิดีน 75-100 mg.ร่วมกับสปารีน หรือฟีเนอร์แกน(Phenergan) 25-50 mg.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 4-6 ชั่วโมงหรือใช้ Continuous epidural
ช่วยคลอดโดยใช้คีมหรือเครื่องดูดสูญญากาศ ตามความเหมาะสม
6.การดูเเลหลังคลอด
-ระยะหลังคลอดควรเฝ้าดูอาการ ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ รีเฟล็กซ์ วัดสารน้ำที่เข้าและออกจากร่างกาย โดยเฉพาะในระยะ 24-48 ชั่วโมงหลังคลอด
-ในกรณีที่หลังผ่าตัดทำคลอดทางหน้าท้อง ควรฉีดยาแก้ปวดมอร์ฟิน (Morphine)ลิกรัมหรือเพทธิดีน (Pethidine) 75-100 มิลลิกรัม เข้ากล้ามเนื้อระงับอาการปวดทุก4-6 ชั่วโมง
2.การตั้งครรภ์แฝด (Multiple pregnancy)
หมายถึง
การตั้งครรภ์ที่มรทารกในครรภ์มากกว่าหนึ่งขึ้นไป
สาเหตุ
กรรมพันธุ์
เชื้อชาติ
อายุและจำนวนครั้งของการคลอดบุตร
ภาวะทุพโภชนาการลดการเกิดครรภ์แฝดพบว่าระหว่างสงครามโลกมีอุบัติการแฝดลดลงง
ยากกระตุ้นการตกไข่
ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ ความสูงของร่างการที่พบว่าคนสูงจะมีอุบัติการเ้พิ่มขึ้น สภาพภูมิอากาศในแถบที่มัอากาศร้อน จะมีอุบัติการณ์เพิ่ม เป็นต้น
ชนิดของครรภ์แฝด
สำหรับแฝดคู่
1 Monozygotic
แฝดชนิดนี้เป็นแฝดแท้
1.1 ความผิดปกติของการพัฒนาการที่เกิดภายใน 3 วันหลังปฎิสนธิ
1.2 ความผิดปกติเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 4-8 วันหลังปฏิสนธิ ระยะ Inner cell mass และ Outer cell mass แล้ว
1.3 ความผิดปกติเกิดหลังวันที่ 8 หลังปฏิสนธิ เป็นการแบ่งตัวของ Embryonal dise
1.4ความผิดปกติเกิดขึ้นหลังการสร้าง Embryonic disc สมบูรณ์
2.1 คนละรอบเดือน โดยมีการตกไขข้างเดียวหรือคนละข้างก็ได้ ไข่ใบแรกมีการปฏิสนธิเรียบร้อยแล้วยังสามารถฝังตัวได้อีก สภวะนี้เรียกว่า Superfetation
2.2 รอบเดือนเดียวกัน โดยมีโอกาสตกไข่จากรังไข่ทั้งสองข้างหรือข้างเดียวแต่ 2 Folliclles
2. Dizygotic (Friternal) twins
แฝดชนิดนี้เป็นแฝดเทียม
สำหรับแฝดสาม
เกิดจากไข่ใบเดียวกับอสุจิตัวเดียว ของไข่ที่ได้รับการปฎิสนธิ 2 ครั้ง แล้วภายหลังตัวอ่อนตัวหนึ่งตาย
การตรวจรกและเยื่อถุงน้ำคร่ำ ถ้าพบเป็น Monoamniotic monochorionic หรือ Diamnion dichorion (รกอาจแยกกันหรือเชื่อมติดกัน) อาจเป็นแฝดชนิดใดก็ได้A
การตรวจหมูเลือด ทั้ง Major หรือ Minor group ถ้าหมู่เลือดต่างกันแสดงว่าเป็นแฝดจากไข่ 2 ใบ ถ้าเหมือนกันทุกกลุ่มน่าจะเป็นแฝดจากไข่ใบเดียว
การวินิจฉัย
1. ประวัติ
เช่น มีประวัติครรภ์แฝดใรครอบครัว การตั้งครรภ์อายุมาก การตั้งครรภ์หลายครั้ง สตรีที่มีรูปร่างใหญ่ น้ำหนักมาก หรือมีประวัติเคยตั้งครรภ์แฝด
2.การตรวจร่างการและหน้าท้อง
2.1 น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปกติ
2.2 มีอาการบวม โดยเฉพราะที่ขา
2.3 ขนาดมดลูกโตมากกว่าระยะของการขาดประจำเดือน
2.4 คลำพบได้ Ballottement หรือคล่ำได้ทารกมากกว่าหนึ่งคน
4.การตรวจพิเศษ
4.1 การถ่ายภาพรังสี ในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
4.2 การตรวจด้วยเครื่องเสียงหัวใจความถี่สูง
3. การตรวจภายใน
3.1 ในระยะไตรมาสแรก คลำพบขนาดของมดลูกโตกว่าระยะของการขาดประจำเดือน
3.2 ระยะคลอด อาจบอกได้บางรายแต่ค่อยข้างน้อย เช่น ตรวจภายในพบว่ามีศีรษะเด็กเปื่อนยุ่ย หรือพบมีสายสะดือย้อยที่ไม่มีชีพจรแล้วแต่ยังสามารถฟังเสียงหัวใจทารกได้อีก ซึ่งซวนให้สงสัยว่ามีทารก 2 คน
การวินิจฉัยแยกโรค
ครรภ์ไข่ปลาอุก
ครรภ์แฝดน้ำ
ทารกตัวโต
4.ทารกหัวบาตร
5.ทารกบวมน้ำ
6.ก้อนเนื้องอกของมดลูกหรือของรังไข่ ที่พบร่วมกับการตั้งครรภ์
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนในมารดา
1.โหลิตจาง
2.ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
3.การคลอดก่อนกำหนด
4.ถุงน้ำคล่ำแตกก่อนกำหนดคลอด
5.รกเกาะต่ำ
6.รกลอกตัวก่อนกำหนด
ภาวะแทรกซ้อนในทารก
1.ทารกเสียชีวิตในครรภ์
2.คลอดก่อนกำหนด
3.ภาวะอันตรายปริกำหนดเพิ่มขึ้น
ก
ารดูแลสุขภาพสตรีตั้งครรภ์แฝด
ระยะคลอด
เตรียมเลือด
ตรวจท่าของทารกในครรภ์เพื่อช่วยเหลือการคลอด
เตรียมการคลอดปกติ
ระมัดระวัง prolapsed cord
NPO
ระยะหลังคลอด
ป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ป้องกันการติดเชื้อหลังคลอด
ให้มารดาพักผ่อนเพียงพอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ธาตุเหล็กทดแทนปริมาณเลือดที่เสียไป
ช่วยเหลือให้มีการปรับตัวที่เหมาะสม การเลี้ยงบุตร
1.ระยะตั้งครรภ์
แนะนาฝากครรภ์อย่างสม่าเสมอ
รับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ เสริมวิตามิน หลีกเลี่ยง การรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม
การทางานและพักผ่อนให้มาก
การทาจิตใจให้สบาย ผ่อนคลาย
งดการมีเพศสัมพันธ์และกระตุ้นเต้านม
สังเกตอาการผิดปกติ
3.ภาวะอาเจียนไม่สงบ
หมายถึง ภาวะคลื่นไส้ อาเจียนมากกว่าปกติ เมื่อสัปดาห์ที่ 12-16 เป็นต้นไป
สาเหตุ
HCG. & เอสโตรเจน สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลของโปรเจสเตอโรนทำให้กระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
4.สภาพจิตใจที่ไม่ปกติ
ปัจจัยส่งเสริม
อายุน้อย ครรภ์แรก
การตั้งครรภ์แฝด (รกใหญ่กว่าปกติ)
ครรภ์ไข่ปลาอุก (รกเจริญผิดปกติไม่มีตัวเด็ก)
เคยมีประวัติคลื่นไส้ อาเจียน
พยาธิสภาพ
เมื่อมีการกระตุ้นที่ศูนย์ควบคุมการอาเจียน จะส่งประสาทความรู้สึกไปผลักดันสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารลำไส้ส่วนต้นออกมา เป็นการตอบสนองของร่างกายที่อยู่ภายนอกอำนาจจิตใจ มีผลต่อมารดาและทารก
อาการและอาการแสดง
2. รุนแรงปานกลาง
2.1 อาเจียนติดต่อกัน > 5-10 ครั้ง/วัน
2.2 อาเจียนติดต่อกันไม่หยุด
2.3 มีภาวะเลือดเป็นกรด
3.1 อาเจียน > 10 คร้ัง/วัน นอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา
3.2 อาเจียนทันทีหลังทาน และอาเจียนติดต่อเกิน 4 สัปดาห์
3. รุนแรงมาก
3.4 เกิดการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
-ผิวหนังแห้ง ไม่ยืดหยุ่น ปากแห้ง ลิ้นฝ้าขาว แตก
-ตาลึก ขุ่น มองภาพไม่ชัด
-ปัสสาวะขุ่น ออกน้อย
1.ไม่รุนแรง
1.1 อาเจียน <5 ครั้ง/วัน ท้างานได้ตามปกติ
1.2 อาเจียนไม่มีน้้าหรือเศษอาหาร
1.3 นน.ตัวลดลงเล็กน้อย ไม่ขาดสารอาหาร
การรักษาและการพยาบาล
ให้ดื่มของอุ่นๆ ทันทีที่ตื่นนอน แล้วนอนต่ออีก 15 นาที ก่อนลุก ทำกิจวัตรประจำวัน
ให้รับประทานอาหารแข็งที่ย่อยง่าย งดอาหารที่มีกลิ่นหรือทอด ระหว่างหรือหลังอาหารไม่ควรดื่มน้ำ
ให้ยาระงับประสาท หรือ ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน
ป้องกันมิให้ท้องผูก
ให้วิตามินและแร่ธาตุ B1-6-12
Record V/S
ตรวจปัสสาวะหาความจำเพาะ คีโตน คลอไรด์ และโปรตีน
4.ครรภ์แฝดน้ำ (Polyhydramnios)
การมีน้ำคร่ำ>200mlหรือAFI≥24cms.ครรภ์แฝดน้ำมี2แบบ
1.แบบเฉียบพลัน 2-3วันจะเกิดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 20สัปดาห์ทำให้มีการผิดปกติได้มาก
2.แบบเรื้อรังใช้เวลานาน 2-3wkขึ้นไปเมื่ออายุครรภ์ 28wkขึ้นไปมีอาการเเน่นอึดอัดเมื่อท้องใหญ่มาก
สาเหตุ
ไม่ทราบเเน่ชัดเหตุที่ทำให้เกิดน้ำคร่ำมากดว่าปกติ
1.เยื่อamnionมีเนื้อที่กว้าง
2.ไม่มีสัดส่วนที่คลุมปิดสมองไขสันหลัง
3.ไม่มีantidiuretic hormone
4.ไม่มีการดูดซึมถ่ายเทน้ำคร่ำ
อุบัติการณ์
พบในผู้ที่เคยมีบุตรมาแล้วบ่อยกว่าในครรภ์เเรก
ครรภ์แฝดน้ำเรื้อรังพบบ่อยว่าครรภ์แฝดเฉียบพลัน
ภาวะผิดปกติที่พบร่วมกับครรภ์แฝดในน้ำ
-ครรภ์แฝด
2.ความพิการบางอย่างของทารก(anencephaly,esophagal atresia,spina bjfida,hydrocephalus)
3.Hydrops fetalis
4.เบาหวาน
:
อาการ
แบบเรื้อรัง:แน่นอึดอัดโดยเฉพาะเมื่อนอนราบเเต่มักจะทนได้
แบบเฉียบพลัน:แน่นอึดอัดมาก เจ็บท้อง หายใจลำบาก ใจสั่น คลื่นไส้
การวิจัยฉัย
ตรวจหน้าท้อง
:มดลูกมีขนาดใหญ่ รูปร่างกลมและตึงทุกทิศทาง ระดับยอดมดลูกสูงคลำส่วนของทารกไม่พบหรือพบยาก บอกท่าทารกได้ยาก เสียงหัวใจทารกฟังได้ยาก
ตรวจทางช่องคลอด
: คอมดลูกสีคล้ำ นุ่ม สั้น อาจคลำพบถุงน้ำคร่ำโป่งตึงเมื่อปากมดลูกเริ่มขยายโดยไม่มีการเจ็บครรภฺ์
การตรวจพิเศษ
: X-ray ,ultrasound
ภาวะแทรกซ้อนในครรภ์แฝดน้ำ
1.ระยะตั้งครรภ์
2.Pre-eclampsia
3.Preterm labor
4.ศีรษะเด็กลอยหรือท่าผิดปกติ
5.ความพิการของทารก
6.PROM
ระยะคลอด
1.Uterine inertia
2.Prolapsed cord
3.การคลอดยาก
4.ตกเลือดหลังคลอด
ผลเสียต่อทารก
1.ทารกคลอดก่อนกำหนด
2.ทารกเจริญเติบโตในครรภ์ไม่ดี
3.ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด
การดูแลหญิงตั้งครรภ์แฝดน้ำ
1.ให้นอนพักผ่อน ศีรษะสูงให้อาหารที่มีโปรตีนสูง
2.รักษาโรคหรือภาวะผิดปกตอที่มีร่วม ยา indomethacin
3.ถ้าพบความผิดปกติของทารก อาจสิ้นสุดการตั้งครรภ์โดยเจาะถุงน้ำคร่ำให้น้ำคร่ำค่อยๆไหบออกมาช้าๆ
4.ถ้าไม่พบความผิดปกติของทารก ใช้เข็มเจาะหน้าท้องให้น้ำคร่ำไหลออกช้าๆ
5.ให้การคลอดดำเนินไปอย่างปกติ
5.ครรภ์น้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios)
การมีน้ำคร่ำ<500ml.หรือAFI≤cms
สาเหตุ:
อาจเกิดจากมีการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะของทารก ภาวะทารกเจริญเติบโตชเาในครรภ์ หรือ การรั่วของถุงน่ำคร่ำเป็นเวลานาน
การวินิจฉัย
1.มีประวะติว่ามีน้ำเดินทางช่องคลอด
2.ทารกเคลื่อนไหวน้อย
3.การตรวจทางหน้าท้อง คลำได้ส่วนของทารกได้ง่าย ไม่สามารถทำ ballottement ของศีรษะทารกได้
4.เมื่อถุงน้ำคร่ำแตก น้ำคร่ำออกน้อย ข้น
ภาวะแทรกซ้อน
1.มดลูกหดบีบบัดตัวทารกได้มาก และมักมีพังผืดยึดติดรัดส่วนของร่างกายทารกกับผนัง amnion ทำให้ทารกเกิดความพิการได้ง่าย เช่น เท้าแป แขนหรือขาโก่ง ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น
2.ทารกมักอยู่ในท่าก้น
การรักษา
:ใส่น้ำเกลือ isotonic เข้าไปในถุงน้ำคร่ำในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เกินครั้งละ200ml. หรือทำให้ความดันภายในถุงน้ำคร่ำกลับสู่ปกติ