Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 อุปสงค์ อุปทาน และต้นทุนของบริการสุขภาพ, นางสาวนาลิตา พรมบุตร…
บทที่ 5 อุปสงค์ อุปทาน และต้นทุนของบริการสุขภาพ
อุปสงค์ (demand)
หมายถึง
ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้ ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้
กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลังซื้อ ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์
กฎของอุปสงค์
(Law of Demand)
หมายถึง
ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ำ(ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง)
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์
ราคาสินค้าและบริการ (ตามกฎของอุปสงค์)
รายได้ของผู้บริโภค
รสนิยมของผู้บริโภค
สมัยนิยม
การโฆษณาและเทคนิคการตลาด
ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้
การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
พฤติกรรมของผู้บริโภค
ฤดูกาล
การศึกษา
ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ
อุปทาน (Supply)
หมายถึง
ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้
กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะเสนอขายมากขึ้น แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย
กฎของอุปทาน
(Law of Supply)
ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก)
ปัจจัยที่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงอุปทาน
ราคาสินค้าและบริการในขณะนั้นๆ (กฎของอุปทาน)
ต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลง (วัตถุดิบ)
เทคโนโลยีการผลิตที่นำมาใช้
ฤดูกาล
สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น
การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต (การเกิดกำไร)
จำนวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง (ราคาสินค้าและบริการชนิดเดียวกันที่มีการแข่งขันกัน)
ดุลยภาพ (Equilibrium)
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณเวลาใด เวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากันราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่
เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก
ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไป
สรุป
การทำงานของกลไกราคาจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จะทำให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือ ทรัพยากรนั้นๆ
ทำให้ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่แท้จริงของตน เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควรตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร
อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน
ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด
คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะทำให้ราคาสินค้าและบริการสูง ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคาสินค้าต่ำกว่าจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทำการผลิตออกมาขาย
ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด
คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะทำให้การบริโภคสินค้าและบริการต่ำ ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคาสินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย
ปัญหาทางเศรษฐกิจ
1. เงินเฟ้อ (Inflation)
คือ ภาวะที่ราคาของแพง ค่าของเงินลดลง
ผลกระทบของเงินเฟ้อ
อำนาจการซื้อลดลง
การออมและการลงทุนลดลง
การกระจายรายได้เหลื่อมล้ำมากขึ้น
บุคคลที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ : เจ้าของกิจการ ผู้ผลิต นักเก็งกำไร ลูกหนี้
บุคคลที่เสียประโยชน์ : ผู้ที่มีรายได้ประจำ เจ้าหนี้
การส่งออกของประเทศลดลง การนำเข้าเพิ่มขึ้น
2. เงินฝืด (Deflation)
คือ ภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดลงเรื่อยๆ
เนื่องจากอุปสงค์มีน้อยกว่าปริมาณสินค้าทำให้สินค้าเหลือ ราคาสินค้าลดลง การผลิตลดลง การจ้างงานลดลง รายได้ลดลงค่าของเงินสูง
ผลของเงินฝืด : อำนาจซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ผู้ที่ได้ประโยชน์ : เจ้าหนี้ , ผู้มีรายได้ประจำ
ผู้ที่เสียประโยชน์ : ผู้ที่มีรายได้จากกำไร , ลูกหนี้
การแก้ปัญหาเงินฝืด : ใช้นโยบายการเงิน การคลัง เพื่อกระตุ้นให้ อุปสงค์รวมสูงขึ้น
3. การว่างงาน
ประเภทของการว่างงาน
การว่างงานโดยเปิดเผย (in survey period): temporary, seasonal
การว่างงานแอบแฝง หรือ การทำงานต่ำกว่าระดับ
ผลกระทบของการว่างงาน
การใช้ประโยชน์จากแรงงานไม่เต็มที่
การออมและการลงทุนของประเทศลดลง
การกระจายรายได้เหลื่อมล้ำมากขึ้น
การคลังของรัฐบาลแย่ลง (T ลด, G เพิ่ม)
ต้นทุนบริการสุขภาพ
ความหมายของต้นทุน
ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์
คือ ต้นทุนทางบัญชี (ต้นทุนชัดแจ้ง) รวมกับค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับเจ้าของปัจจัยผลิตที่นาปัจจัยการผลิตนั้นมาใช้ในการผลิตเอง (ต้นทุนไม่ชัดแจ้ง) โดยจะคำนวณค่าตอบแทนส่วนนี้ตามหลักการของต้นทุนค่าเสียโอกาส
ต้นทุนทางบัญชี
คือ ค่าใช้จ่ายที่มีการจ่ายจริงเป็นตัวเงิน สามารถแสดงหลักฐานเพื่อบันทึกลงบัญชีได้ทางบัญชี
ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity cost)
คือ สิ่งที่มีมูลค่าสูงสุดที่ต้องสละไป (The best alternative foregone)เมื่อมีการตัดสินใจเลือกใช้ปัจจัยการผลิตเพื่อการใดการหนึ่ง
ต้นทุนเอกชน (Private cost)
คือ ต้นทุนที่เจ้าของกิจการหรือหน่วยผลิตนั้นต้องจ่ายโดยตรง
ต้นทุนทางสังคม (Social cost)
คือ ต้นทุนเอกชนบวกกับผลสุทธิของผลกระทบภายนอก (Externality) ซึ่งแบ่งเป็น ผลกระทบภายนอกที่เป็นผลดีหรือผลบวก และผลกระทบภายนอกที่เป็นผลเสียหรือผลลบ
ต้นทุนชัดแจ้ง (Explicit cost)
คือ ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงและมีการจ่ายจริงเป็นตัวเงินและ/หรือสิ่งของ
ต้นทุนไม่ชัดแจ้ง (Implicit cost) หรือบางครั้งเรียกว่า “ต้นทุนแอบแฝง”
คือ ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่มีการจ่ายจริงเป็นตัวเงินและ/หรือสิ่งของ ส่วนมากเกิดจากผู้ผลิตเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตนั้นเอง และนามาใช้ในกิจกรรมการผลิตของตน
ต้นทุนการผลิต
ประเภทต้นทุนรวม (Total Cost)
1.ต้นทุนคงที่รวม (Total Fixed Cost : TFC)
2.ต้นทุนแปรผันรวม (Total Variable Cost : TVC)
3.ต้นทุนรวม (Total Cost : TC)
ประเภทต้นทุนเฉลี่ย (Average Cost)
1.ต้นทุนคงที่เฉลี่ย (Average Fixed Cost : AFC) AFC = TFC/Q
2.ต้นทุนแปรผันเฉลี่ย (Average Variable Cost :AVC) AVC = TVC/Q
3.ต้นทุนเฉลี่ยรวม (Average Total Cost : ATC)ATC = TC/Q
ประเภทต้นทุนส่วนเพิ่ม
ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost : MC)
ต้นที่เกิดจากจากการผลิตสินค้าหน่วยนั้นๆ เพิ่มขึ้นจากเดิม
MC = TC/Q
= dTC/Q
ต้นทุนในระยะยาว
ไม่มีต้นทุนคงที่ มีเฉพาะต้นทุนแปรผัน
Total Cost (TC) ต้นทุนรวม
คือมูลค่าของต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ในการผลิต
Fixed cost (FC) ต้นทุนคงที่
คือต้นทุนที่ไม่แปรผันกับปริมาณการผลิต เช่นค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ต้นทุนคงที่อาจเกิดขึ้นแม้ไม่มีผลผลิตอะไรเลย
Varible cost (VC) ต้นทุนแปรผัน
คือ คือต้นทุนที่แปรผันกับปริมาณการผลิต เช่นค่าวัตถุดิบ เป็นต้น
Average total cost (ATC)
การวัดต้นทุนการผลิต ต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ย หรือ ต้นทุนต่อหน่วย คือ ต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยต่อหนึ่งหน่วยการผลิต หาได้โดยการหารค่าต้นทุนรวมในระยะสั้นด้วยปริมาณการผลิต หรืออาจหาได้จาก การรวมค่าของ ต้นทุนคงที่เฉลี่ย
Average variable cost (AVC)
ต้นทุนผันแปรเฉลี่ย คือ ต้นทุนผันแปรทั้งหมดที่คิดเฉลี่ยต่อหน่วยของผลผลิต ต้นทุนที่ผันแปรโดยเฉลี่ยจะมีค่าลดลงในตอนแรก เพราะในตอนแรกของผลผลิตเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นในตอนหลังเพราะผลผลิตเฉลี่ยลดลงซึ่งแสดงได้
Average Fixed cost (AFC)
ต้นทุนคงที่เฉลี่ย คือเป็นต้นทุนคงที่ทั้งหมดเฉลี่ยต่อปริมาณผลผลิต 1 หน่วย
Marginal cost (MC)
ต้นทุนเพิ่มหรือต้นทุนหน่วยสุดท้าย คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนรวมเมื่อปริมาณผลผลิตเปลี่ยนแปลงไป 1 หน่วย
ขั้นตอนการวิเคราะห์ต้นทุนบริการสุขภาพ
ขั้นที่1
การกำหนดหน่วยต้นทุน
ขั้นที่2
การหาต้นทุนรวมทางตรง
ขั้นที่3
การหาต้นทุนทางอ้อม
ขั้นที่4
การหาต้นทุนทั้งหมด
ขั้นที่ 5
การหาต้นทุนต่อหน่วย
นางสาวนาลิตา พรมบุตร ชั้นปีที่ 3 เลขที่ 23 ห้องB