Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Acute on top chronic kidney disease with Acute Glomerulonephritis…

- - - - ทำให้เลือดไหลผ่านโกลเมอรูลัสได้ยากขึ้น อัตราการกรองลดลง ปัสสาวะน้อยลง
        
        ส่งผลให้เกิดการคั่งของของเสียมากขึ้น
        
        1.มีภาวะของเสียคั่งเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
        
        วัตถุประสงค์การพยาบาล
        
        ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการมีภาวะน้ำและของเสียคั่ง ได้แก่ ภาวะช็อคและความดันโลหิตสูง
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ 120-129/80-84 mmHg.
        
        ไม่บวมตามร่างกาย
        
        Cr. ปกติ 0.5-1.1 mg/dL
        
        BUN ปกติ 7.9-20.1mg/dL
        
        UA: Protein Negative
        
        ข้อมูลพื้นฐาน
        
        S: 1 สัปดาห์ก่อนผู้ป่วยให้ข้อมูลว่าปัสสาวะลำบากและน้อยลง
        
        O: Urine ทาง Foley's catheter 5 cc.
        
        O: ท่าทางอ่อนเพลีย หายใจเหนื่อยหอบCrepitation both lung
        
        O: Pitting edema 2+ (บวมกดบุ๋มระดับ 2 รอยหายได้ภายใน 15 วินาที)
        
        O: ความดันโลหิต 155/80 mmHg
        
        O: BUN =170 mg/dl (ปกติ 7.9-20.1mg/dL)
        
        O: Cr. = 9 mg/dl (ปกติ 0.5-1.1 mg/dL)
        
        O: UA: Protein2+ (ปกติ Negative)
        
        O: eGFR = 15ml/min/1.73m2(อยู่ในระยะที่4เป็นระยะที่ไตทำงานผิดปกติอย่างมาก)
        
        A: การเสื่อมหน้าที่ของหน่วยไต ทำให้อัตราการกรองของไตลดลง ร่างกายจึงไม่สามารถขจัดน้ำเกลือ ของเสียต่างๆ ผ่านไตได้ เมื่ออัตราการกรองของไตน้อยส่งผลให้เกิดการคั่งของยูเรียในร่างกาย
        
        O: Albumin= 2.7g/dL (ปกติ 3.5 – 5.2 g/dL)
        
        O: ผลตรวจพิเศษ Rt kidney size 8.3x5x2 centimeters, Lt kidney size 8x6x2.2 centimeters
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงโดยเฉพาะค่าความดันโลหิต เพื่อเฝ้าระวังภาวะความดันโลหิตสูง
        
        2.สังเกตอาการ ปัสสาวะออกน้อย คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย บวม หอบเหนื่อย คันตามตัวเพื่อประเมินภาวะของเสียคั่งในร่างกาย
        
        3.จำกัดกิจกรรมและให้พักผ่อนอยู่บนเตียง เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง
        
        4.ดูแลให้ได้รับประทานอาหารรสจืด เช่น แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ต้มจับฉ่าย ข้าวต้มปลา เป็นต้น เพื่อลดอาการบวมและป้องกันความดันโลหิตสูง และจำกัดอาหารประเภทโปรตีน เพื่อป้องกันค่า BUN ในเลือดสูง
        
        5.งดอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่ ผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้ม เช่น กล้าย ทุเรียน มะละกอ เพราะอาจมีปัสสาวะน้อยทำให้เกิดการคั่งของโพแทสเซียมในกระแสเลือด เพื่อป้องกันการเกิดถาวะหัวใจหยุดเต้น
        
        6.บันทึกปริมาณสารน้ำเข้า-ออกในร่างกาย เพื่อประเมินภาวะน้ำเกินในระบบไหลเวียนซึ่งส่งผลให้มีความดันโลหิตสูง
        
        7.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ค่า BUN Creatinineและ UA: Protein เพื่อติดตามการดำเนินและการรักษาของโรค
        
        8.ดูแลให้ได้รับยา Lasix 250 mg iv OD เพื่อขับปัสสาวะ และPrednisolone 3 tabs Oral t.i.d. pc เพื่อรักษาอาการอักเสบ ตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        โซเดียมถูกกรองผ่าน
        ลดลงและมีการดูดซึมกลับหมดทำให้น้ำนอกเซลล์มากขึ้นเป็นผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด
        
        2.เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนจากปอดบวมน้ำเนื่องจากประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
        
        วัตถุประสงค์การพยาบาล
        
        ไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
        
        เกณฑ์การพยาบาล
        
        อัตราการหายใจ 16 - 20 ครั้ง/นาที ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด 95 - 100 %
        
        ไม่มีอาการหายใจหอบเหนื่อย
        
        ฟังปอดปกติ ไม่มีเสียง Crepitation
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O: หายใจเหนื่อยหอบฟังเสียงหายใจพบ Crepitation both lung
        
        O: อัตราการหายใจ 26 ครั้ง/นาที
        
        O: BUN =170 mg/dl (ปกติ 7.9-20.1mg/dL)
        
        O: eGFR = 15ml/min/1.73m2(อยู่ในระยะที่4เป็นระยะที่ไตทำงานผิดปกติอย่างมาก)
        
        A: อาการน้ำท่วมปอดเนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำได้เป็นปกติ หรือ ขับน้ำไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ ปวดหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบาก มีโอกาสเกิดภาวะพร่องออกซิเจนได้
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงโดยเฉพาะอัตราการหายใจ วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดเพื่อประเมินอาการพร่องออกซิเจน
        
        2.สังเกตอาการพร่องออกซิเจน เช่นอาการหอบเหนื่อย เขียวปลายมือปลายเท้าเพื่อประเมินความรุนแรงของอาการและวางแผนให้การพยาบาลต่อไป
        
        3.ตรวจร่างกายด้วยการฟังเสียงปอดเพื่อประเมินอาการ
        
        4.จัดท่านอนศีรษะสูงทำให้กระบังลมเคลื่อนต่ำลง ปอดขายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน
        
        5.ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนนบนเตียง เพราะจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรมทำให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง
        
        ปัสสาวะน้อยลงทำให้เกิดการคั่งของโพแทสเซียมในกระแสเลือด
        
        3.เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจากระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง เนื่องจากไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมได้
        
        วัตถุประสงค์การพยาบาล
        
        ป้องกันการเกิดอันตรายต่อหัวใจจากภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการแสดงของภาวะโพแทสเซียมสูง ได้แก่ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นเหน็บชาตามร่างกาย
        
        จังหวะและอัตราการเต้นของหัวใจปกติ 60 - 100 ครั้ง/นาที
        
        คลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ
        
        K = 3.4-4.5 mmol/L
        
        ข้อมูลพื้นฐาน
        
        O: Monitor EKG WU Tall peak T wave
        
        O: K = 6.3 mmol/L (ปกติ3.4-4.5 mmol/L)
        
        A: โรคไตเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีความสามารถในการกำจัดโพแทสเซียมที่ร่างกายไม่ต้องการลดลง ซึ่งหากมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงมากอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        สังเกตอาการของภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงอย่างใกล้ชิด ได้แก่หัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการชาตามร่างกาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริวเพื่อประเมินความรุนเเรงของอาการ
        
        ตรวจสัญญาณชีพและติดตามดู คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ถ้าพบ T wave สูง QRS Complex กว้าง ต้องรีบรายงานแพทย์ทันทีเพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องในการป้องกันการเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะและหัวใจหยุดเต้น
        
        3.ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่โพแทสเซียม เพื่อพิจารณาวางแผนให้การรักษา
        
        5.งดอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่ ผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้ม เช่น กล้าย ทุเรียน มะละกอ เพราะอาจมีปัสสาวะน้อยทำให้เกิดการคั่งของโพแทสเซียมในกระแสเลือด เพื่อป้องกันการเกิดถาวะหัวใจหยุดเต้น
    - - ควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย
      - 3.จำกัดเกลือทุกรายที่มีอาการบวมและความดันโลหิตสูง
      - ควบคุมอาการบวมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเลือดคั่ง โดยจำกัดเกลือ ถ้าบวมมากจนกระทั่ง
        ความดันโลหิตสูงอาจพิจารณาให้ยาขับปัสสาวะ
      - 4.การพักผ่อน ในระยะที่บวมและความดัน โลหิตสูงควรจำกัดกิจกรรม
    - - 1) การตรวจปัสสาวะ ตรวจพบเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว casts และอัลบูมิน ไม่พบแบคทีเรีย หรือเพาะเชื้อไม่ขึ้น
      - 2) การตรวจเลือด ตรวจพบระดับ Na+, K+, Cl- ปกติหรือสูงในรายที่มีอาการรุนแรง ระดับ BUN ครีเอตินิน และกรดยูริคสูง
      - 3) การตรวจอื่นๆได้แก่ การเพาะเชื้อจาก pharynx พบ streptococcus ในบางรายทำ renal biopsy, EKG และการถ่ายภาพรังสีเพื่อดูภาวะแทรกซ้อน
    - - การอักเสบของไตไม่ได้มีสาเหตุจากการติดเชื้อที่ไตโดยตรง แต่เกิดขึ้นตามหลังการติดเชื้ออื่นๆของร่างกาย
    - - ถ่ายปัสสาวะมีเลือดปน (Hematuria)
        
        บวม (Edema)
        
        ถ่ายปัสสาวะมีโปรตีน (Protienuria)
        
        ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
        
        ถ่ายปัสสาวะน้อย (Oliguria) หรือไม่ถ่ายปัสสาวะ (Anuria) หรือปัสสาวะลำบาก (Dysuria)
  - - - ส่งผลให้เกิดภาวะซีด
        
        5.มีภาวะซีดเนื่องจากปัจจัยในการสร้างเม็ดเลือดลดลง
        
        วัตถุประสงค์การพยาบาล
        
        ภาวะซีดลดลง
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการแสดงของภาวะซีดได้แก่ เยื่อบุตาซีด เล็บซีด เหนื่อยอ่อนเพลีย
        
        RBC 4,000,000-5,500,00 cell/mm3
        
        Hct. 37-47%
        
        Hb 12-16g/dL
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงและสังเกตอาการแสดงของภาวะซีดได้แก่ เยื่อบุตาซีด เล็บซีด เหนื่อยอ่อนเพลีย เพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะซีดและให้การพยาบาล
        
        2.ดูแลให้แนะนําให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับบด ผักใบเขียว เป็นต้น เพื่อช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบิน
        
        3.ดูแลให้พักผ่อนและกำหนดกิจกรรมที่ผู้ป่วยกระทำได้ตามความรุนแรงของภาวะซีด เพื่อลดความต้องการการใช้ออกซิเจนในร่างกาย
        
        4.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่าHematocrit,ค่า RBC, Hemoglobin,หากต่ำเกินไป รายงานแพทย์
        
        5.ดูแลให้ได้รับยา Folic acid 1 tabs Oral OD PC ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อรักษาภาวะซีด
        
        ข้อมูลพื้นฐาน
        
        O: ท่าทางอ่อนเพลีย
        
        O: Conjunctiva : pale(เยื่อบุตาซีด)
        
        O: หายใจเหนื่อยหอบ อัตราการหายใจ 26 ครั้ง/นาที
        
        O: RBC=350,000cell/mm3 (ปกติ4,000,000-5,500,00 cell/mm3)
        
        A: ไตเป็นอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนอีริโธรพอยอิติน ซึ่งมีหน้าที่กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ที่มีไตเสื่อมจนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนนี้ได้พอ ทำให้ไม่มีตัวกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ผู้ป่วยจึงมีภาวะโลหิตจาง ส่งผลให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายทำงานหนักหรือออกกำลังกายได้น้อยลง
        
        Hb = 9 g/dL (ปกติ12-16g/dL)
        
        Hct. = 28% (ปกติ37-47%)
- - - - การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะลดลง
    - - อุณหภูมิร่ายกายอยู่ระหว่าง36.0 - 37.4 องศาเซลเซียส
      - น้ำปัสสาวะใส ไม่มีตะกอนขุ่น
      - WBC ปกติ 4,500 – 11,000 cells/mm3
      - PMN ปกติ 55% -70 %
    - - O: Urine ทาง Foley's catheter ติดสายสีเหลืองเข้มขุ่น
      - O: สัญญาณชีพอุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส, อัตราการหายใจ 26 ครั้ง/นาที
      - O: WBC = 18,000 cell/mm3(ปกติ 4,500 – 11,000 cells/mm3)
      - PMN = 88% (ปกติ 55 -70 %)
      - A: เนื่องจากมีท่อเปิดสู่กระเพาะปัสสาวะทำให้มีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าไปในทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
    - - 1.วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะ อุณหภูมิ ชีพจร เพื่อประเมินอาการติดเชื้อหากมีไข้อุณหภูมิมากกว่า 38.0 องศาเซลเซียสทำการพยาบาลโดยดูแลเช็ดตัวลดไข้ ถ้าไข้ไม่ลด พิจารณาให้ยา Paracetamol (500 mg) 2 tabs Oral prn. ตามแผนการรักษา
      - ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินการติดเชื้อหลังได้รับยาปฏิชีวนะ
      - 5.ดูแลให้ได้รับยา Ceftriaxone 2 gm iv OD เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียตามแผนการรักษาของแพทย์
      - ดูแลให้สายสวนปัสสาวะอยู่ในระบบปิดจัดตรึงสายไม่ให้พับงอเพื่อให้น้ำปัสสาวะไหลสะดวก
      - ทำความสะอาดสายสวนปัสสาวะเช้า-เย็นและทุกครั้งหลังการขับถ่ายเพื่อป้องกันการติดเชื้อ