Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีที่มีโรคร่วมระยะตั้งครรภ์ (โรคหัวใจ) - Coggle Diagram
การพยาบาลสตรีที่มีโรคร่วมระยะตั้งครรภ์ (โรคหัวใจ)
ความหมาย
โรคหัวใจในหญิงตั้งครรภ์ที่พบบ่อยที่สุดคือโรคหัวใจรูห์มาติคหรือโรคลิ้นหัวใจพิการรูห์มาติค (rheumatic heart disease) แต่ในปัจจุบันพบว่าโรคหัวใจพิการ แต่กำเนิด (congenital heart disease) เป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยที่สุดในหญิงตั้งครรภ์
การแบ่งชนิดของโรคหัวใจมี 2 กลุ่ม
โรคหัวใจพิการ แต่กำเนิด (congenital heart disease) เช่นผนังหัวใจห้องบนรั่ว (atrial sental defect ASD) ผนังหัวใจห้องล่างรั่ว (ventricular septal defect: VSD) หลอดเลือดแดงใหญ่ไม่ปิด (patent ductus arteriosus: PDA) เป็นต้น
โรคลิ้นหัวใจพิการรูห์มาติค (rheumatic heart disease) เช่นลิ้นหัวใจไมทรัลตีบ (mitral stenosis) เป็นต้นเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการมีการติดเชื้อ streptococcus ที่ลำคอของผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อนี้ทำให้มีพยาธิสภาพที่ลิ้นหัวใจทำให้ลิ้นหัวใจตีบแคบหัวใจต้องบีบตัวมากขึ้นอาจทำให้เกิดภาวะความคันโลหิตสูงในปอดน้ำท่วมปอดและหัวใจล้มเหลวได้อาการที่แสดงแรกเริ่มที่ทำให้รู้ว่าจะมีภาวะหัวใจล้มเหลวคือได้ยินเสียงน้ำในปอด (rale) หอบเหนื่อยเมื่ออกแรงไอไอเป็นเลือดหัวใจเต้นเร็วบวม
พยาธิ
การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือดและพยาธิสภาพของโรคหัวใจแต่ละชนิดมีผลต่อความดันในหัวใจห้องล่างในช่วงคลายตัว (diastolic tilling pressure) กรณีความดันในหัวใจห้องล่างก่อนที่จะหดรัดตัวครั้งต่อไป (preload) ต่ำกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างจะยืดตัวได้น้อยมีผลทำให้ปริมาตรเลือดที่ออกจากหัวใจในการบีบตัวแต่ละครั้ง (stroke volume) น้อยนอกจากนี้พยาธิสภาพของโรคหัวใจมีผลต่อความต้านทานในหลอดเลือดแดงใหญ่ในขณะหัวใจห้องล่างบีบตัว (systemic vascular resistance)) กรณีมีความต้านทานในหลอดเลือดสูงทำให้ปริมาตรเลือดที่บีบออกจากหัวใจน้อยและอาจทำให้เกิดหัวใจวายได้
อาการเเละอาการแสดง
หอบเหนื่อย (dyspnea)
เป็นลมเมื่อต้องออกแรงไอเป็นเลือด (hermoptysis)
หอบเหนื่อยเป็นพัก ๆ ทำให้นอนราบไม่ได้ในเวลากลางคืน (paroxysmall nocturnal dyspnea)
หอบเหนื่อยเป็นพัก ๆ ทำให้นอนราบไม่ได้ในเวลากลางคืน (paroxysmall nocturnal dyspnea)
หัวใจโตได้ยินเสียงเมอร์เมอร์ขณะที่หัวใจบีบตัวดังและเมื่อคลำที่หัวใจจะพบหัวใจสั่นพริ้ว (thrill)
เต้นไม่เป็นจังหวะเส้นเลือดดำที่คอโป่งพอง
โรคหัวใจอาจรุนแรงขึ้นในช่วงอายุครรภ์หลัง 28 สัปดาห์ซึ่งมีปริมาตรเลือดสูงสุดและในระยะหลังคลอดซึ่งมีปริมาตรเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจปริมาณมากโดยโรคหัวใจ แต่ละชนิดมีอาการและอาการแสดงดังนี้
โรคหัวใจชนิดผนังกั้นหัวใจห้องบนรั่ว (atrial septal defect)
โรคหัวใจชนิดผนังกั้นหัวใจห้องล่างรั่ว (ventricular septai defect)
โรคหัวใจชนิดเอออร์ตาดีบ (coarctation of aorta)
โรคลิ้นหัวใจไมทรัลตีบ (mitral stenosis)
โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (aortic stenosis)
การจำแนกความรุนแรงของโรคหัวใจ
(Class 1)
ไม่มีอาการแสดงของโรคหัวใจสามารถทำกิจกรรมออกกำลังกายได้ตามปกติต้องตรวจจึงจะพบว่าเป็นโรคหัวใจระดับสอง
(Class II)
ความสามารถในการทำกิจกรรมลดลงจะรู้สึกสบายดีในขณะพัก แต่ถ้าทำงานตามปกติจะรู้สึกเหนื่อยมีอาการเจ็บหน้าอกหายใจลำบากใจสั่นระดับสาม
(Class III)
ขณะพักจะรู้สึกสบายดี แต่จะรู้สึกเหนื่อยมากถ้าทำงานเล็กน้อยหรือปฏิบัติกิจวัครประจำวันจะมีอาการเจ็บหน้าอกหายใจใจสั่นระดับสี่
(Class IV)
มีอาการแสดงของโรคหัวใจเหนื่อยหอบแม้ในขณะพักไม่สามารถทำกิจกรรมหรือทำงานได้เลยนั่งพักเหนื่อย
ผลกระทบ
การแท้งบุตร (spontaneous abortion) กรณีมีปริมาตรไหลเวียนไปที่มดลูกและรกน้อยลงในช่วงแรกของการตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้
ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า (Intrauterine growth retardation) กรณีได้รับเลือดและสารอาหารน้อยลง
ทารกมีภาวะขาดออกซิเจน (hypoxia) กรณีในเลือดมารดามีออกซิเจนน้อยลงจากภาวะน้ำท่วมปอดทารกในครรภ์อาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอซึ่งมีผลทำให้ทารกเสียชีวิตหรือมีพัฒนาการทางสมองช้าได้ (mental retardation) นานนักแรกเกิดน้อย
การคลอดก่อนกำหนด preterm delivery) กรณีมารดามีอาการแสดงของโรคหัวใจรุนแรงหรือเป็นภาวะแทรกซ้อนจากยารักษาโรคหัวใจอาจเกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดหรือต้องยุติการตั้งครรภ์ก่อนครบกำหนดคลอด
การเสียชีวิตของมารดา (maternal death) โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายใน 5 อันดับแรกของมารดาสาเหตุจากภาวะหัวใจวาย
การตรวจวินัจฉัย
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) • Save กับคนที่สอง
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียง (echocardiogram)
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest radiograph) จะพบหัวใจโตไม่นิยม
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound)
การตรวจเลือดเช่นระดับยา digitalis ในเลือด cardiac enzymes, electrolytes, coagulation
การรักษา
จำกัด การทำกิจกรรมหรือให้นอนพักเพื่อลดการทำงานของหัวใจกรณีมีอาการแสดงของโรคหัวใจระดับสอง, สามหรือสี่เพื่อให้มารดาและทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ
ให้ออกซิเจน 5-6 ลิตร / นาทีกรณีมีอาการแสดงของการได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
การให้ยาด้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) เช่น heparin
ยาขับปัสสาวะ (furosemide, Lasix) 40-80 mg ทางหลอดเลือดดำหรือเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนังให้เพื่อขับน้ำออกจากร่างกายกรณีมีภาวะน้ำท่วมปอดหรือการทำงานของหัวใจล้มเหลว
ดิจิทาลิส (digitalis, digoxin) ให้เพื่อเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจและลดอัตราการเต้นของหัวใจ
ยาลดความดันโลหิตเช่น propranolol, labetalol โดยยากลุ่มนี้อาจมีผลทำให้ปริมาตรเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง (cardiac output) และปริมาตรเลือดที่ไหลเวียนไปที่รกน้อยลงอาจทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวและมีอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้
ในระยะคลอดควรให้ยาบรรเทาอาการเจ็บครรภ์และวางแผนการช่วยคลอดโดยใช้สูติหัตถการเช่นการใช้ Forcep เพื่อช่วยลดระยะที่สองของการคลอดลดระยะเวลาการเบ่งคลอดลดการทำงานของหัวใจและป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวส่วนการผ่าตัดจะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางสูติกรรมเท่านั้น
ระยะหลังคลอดแนะนำให้ใช้ยาออกซิโตซินเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอดไม่แนะนำให้ใช้ methergin เพราะยามีผลทำให้มดลูกหดรัดตัวรุนแรงเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจในปริมาณมากอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้
้ 9. ยาปฏิชีวนะกรณีหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคลิ้นหัวใจตีบหลังผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม (prosthetic valve) หรือมีประวัติเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (endocarditis) จำเป็นต้องให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะในระยะคลอดและหลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อของเยื่อหุ้มหัวใจโดยยาปฏิชีวนะที่ใช้ ได้แก่ ampicillin,, gentamicin, amoxicillin
หลักการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพแนะนำการดูแลความสะอาดของร่างกายปากและฟันอย่างสม่ำเสมอการพักผ่อนให้เพียงพอสังเกตอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจและส่งต่อเพื่อรับการรักษาโดยสูติแพทย์และอายุรแพทย์โรคหัวใจ
ในรายที่เป็นโรคลิ้นหัวใจหรือหลังผ่าตัดลิ้นหัวใจแนะนำให้ป้องกันการติดเชื้อในช่องปากทางเดินหายใจเพื่อป้องกันการเกิดเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (bacterial endocarditis)
แนะนำในการสังเกตอาการข้างเคียงของยารักษาโรคหัวใจซึ่งทำให้เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้เช่น propranolol, digitalis เป็นต้น
ให้คำแนะนำในการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กและโฟเลตสูงป้องกันภาวะโลหิตจางซึ่งมีผลต่อการช่วยลดการทำงานของหัวใจ
ให้คำแนะนำในการ จำกัด เกลือในอาหารที่รับประทานโดยรับประทานได้วันละประมาณ 2.5 กรัม / วัน
แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงเพื่อป้องกันอาการท้องผูก
ในรายที่ได้รับยาขับปัสสาวะแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีโปแตสเซียมสูงเช่นลูกพรุนแห้งลูกเกดเมล็ดทานตะวันอินทผาลัมกล้วยส้มเห็ดถั่วและธัญพืชเป็นต้น
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดและติดตามประเมินภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์
การทำกิจกรรมประจำวันในรายที่มีลิ้นหัวใจตีบควรมีกิจกรรมที่ค่อนข้าง จำกัด เพราะโรคทำให้เลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพออาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดได้จากการที่เลือดไหลทันกลับจากหัวใจห้องบนซ้ายกลับไปยังปอดหญิงตั้งครรภ์กลุ่มนี้อาจต้องนอนพักตลอคบนเตียงโดยเฉพาะในระยะไตรมาสที่ 3
ออกกำลังกาย แต่พอเหมาะไม่ให้ร่างกายเหนื่อยถ้าเริ่มรู้สึกเหนื่อยต้องหยุดทันทีเพราะเสี่ยงต่อหัวใจล้มเหลว
ต้องควบคุมอารมณ์ทำจิตใจให้สบายไม่ให้เครียดคลายความกังวล
สอนการนับการดิ้นของทารกในครรภ์พร้อมการบันทึกไว้
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดและติดตามประเมินภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์
ระยะคลอด
วางแผนช่วยเหลือการคลอดเพื่อลดการทำงานของหัวใจและป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเช่นจัดให้ผู้คลอดนอนในท่าศีรษะสูงแยกขาออกในระดับราบหลีกเลี่ยงการยกขาสูงในท่าขึ้นขาหยั่ง (lithotomy) พยายามให้การคลอดสิ้นสุดโดยเร็วหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คลอดออกแรงเบ่งมากแนะนำการเบ่งคลอดโดยไม่กลั้นหายใจเป็นเวลานาน (open glottis pushing)
ตรวจวัดสัญญาณชีพบ่อยๆประเมินทุก 15 นาทีโดยเฉพาะชีพจรและการหายใจสังเกตอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวเช่นเหนื่อยมากหายใจลำบากเขียวตามปลายมือปลายเท้า
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอใส่หน้ากากออกซิเจนเฉลิตร / นาทีเพื่อเพิ่มความอิ่มตัวของออกซิเจนให้มากกว่าร้อยละ 95 และช่วยลดการทำงานของหัวใจ
ดูแลให้ได้รับสารละลายทางหลอดเลือดดำเพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตระมัดระวังการได้รับสารละลายมากเกินไป
บันทึกสารน้ำเข้า-ออกจากร่างกายเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกินในร่างกาย
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกทุก 30 นาทีในระยที่ปากมดลูกเปิดเร็วหากผิดปกติให้รายงานแพทย์
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาเช่นยาบรรเทาปวดยาปฏิชีวนะยาเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจยาดีจิตาลีส
พยาบาลต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากความเสี่ยงสูงในระยะคลอดต้องระวังความดันโลหิตต่ำภาวะขาดเลือด (hypoxemia) ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (myocardial ischemia) และภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
ระยะหลังคลอด
ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 24-72 ชั่วโมงหลังคลอดเนื่องจากสรีรวิทยาของผู้คลอดระยะหลังคลอดนี้น้ำจากส่วนต่างๆของร่างกายจะเริ่มกลับเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดและเสียชีวิตได้
ดูแลให้มารดาหลังคลอดได้พักให้มากที่สุดเพื่อลดการทำงานของหัวใจ
วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาทีงครั้งทุก 30 นาที 2 ครั้งจากนั้นประเมินทุกบชั่วโมงจนกว่าอาการจะคงที่จึงจะประเมินห่างออกไป
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่างเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอล
ประเมินลักษณะและปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอดและประเมินแผลฝีเย็บเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
กระตุ้นผู้คลอดให้มีการเคลื่อนไหว early ambulation หลังจากพักผ่อนเต็มที่แล้วอาการทั่วๆไปดีแล้วเพื่อป้องกันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thromboembolism))
ไม่มีข้อห้ามในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่เป็นโรคหัวใจ แต่อาจให้นมผสมเป็นบางมื้อระหว่างพักผ่อนได้เนื่องจากการให้นมแม่อย่างเดียวอาจทำให้มารดาพักผ่อนไม่เพียงพอ (เอกชัยโควาวิสารัช, 2555) การให้นมผสมควรให้แบบ cup feed
เน้นการมาพบแพทย์ตรวจตามนัดหลังคลอดเมื่อกลับไปบ้านแล้ว
9.ให้คำแนะนำในการวางแผนครอบครัวและคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัยไม่ควรแนะนำให้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเนื่องจากทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดได้ไม่ควรใส่ห่วงอนามัยจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย