Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Retinopathy of prematurity (ROP), 1, 2, 4, 3, 4.1, 4.2, 5 - Coggle Diagram
Retinopathy of prematurity (ROP)
พยาธิสภาพ
ทารกที่คลอดก่อนกำหนดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตายังเจริญได้ไม่สมบูรณ์ การได้รับออกชิเจนปริมาณมาก ทำให้มีระดับออกซิเจนในเลือดสูงมีผลให้การสร้างสารที่สร้างเส้นเลือดใหม่คือ vascular endothelial growth factor (VEGF) ลดน้อยลง แต่ในภาวะที่ระดับออกชิเจนในเลือดต่ำลง สาร VEGF จะถูกสร้างออกมามากขึ้น เป็นผลให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ (ncovascularization) ซึ่งต่างจากเส้นเลือดปกติ ถ้าการสร้างสาร VEGF ค่อย ๆ ลดน้อยลง ภาวะของโรคก็จะหายไปได้เอง แต่ถ้าการสร้างสาร VEGF ยังคงดำเนินไปอยู่ก็จะทำให้เส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติมีการกระจายตัวเข้าไปในน้ำวุ้นลูกตาได้ ทำให้เลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา กระตุ้นให้มีการสร้างพังผืด ดึงรั้งจอประสาทตา จนเกิดภาวะจอประสาทตาหลุดลอกตามมาได้ (Pierce, Pctersen,& Smith, 2000)
สาเหตุ
เกิดจากการที่ทารกเกิดก่อนกำหนดได้รับออกซิเจนนานๆ ในปริมาณที่สูง ทำให้การพัฒนาของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเรตินาถูกรบกวน
ภาวะ ROP ทำให้ทารกมีภาวะตาบอดในอนาคตจากการดึงรั้งจอประสาทตาจนทำให้เกิดการลอกหลุด และมักพบในทารกที่คลอดก่อนกำหนดในช่วงอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ถึง 31 สัปดาห์ และสัมพันธ์กับการใช้ออกซิเจนหลังคลอด
การแบ่งขั้นความรุนแรงของภาวะ Retinopathy of prematurity
ระยะที่ 2 ตรวจพบ ridge ซึ่งเป็นการหนาตัวของรอยต่อระหว่างจอรับภาพที่มีและไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง
ระยะที่ 3 ตรวจพบการสร้างเส้นเลือดใหม่ยื่นจาก ridge เข้าไปในน้ำวุ้นลูกตา (extraretinalfibrovascular proliferation)
ระยะที่ 4 ตรวจพบมีการหลุดลอกของจอประสาทตาบางส่วน (subtotal retinal detachment)
ระยะที่ 5 ตรวจพบมีการหลุดลอกของจอประสาทตา (retinal detachment)
ระยะที่ 1 ระยะพบ demarcation line ซึ่งเย็นรอยต่อระหว่างจอรับภาพที่มีและไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง
การวินิจฉัย
ทารกที่คลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์ 23-24สัปดาห์ ควรได้รับการตรวจตาภายใน 3-4 สัปดาห์หลังเกิด
ทารกที่คลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์ 25-28สัปดาห์ ควรได้รับการตรวจตา 4-5 สัปดาห์หลังเกิด
ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่า 1500 กรัม และคลอดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์
ทารกที่คลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์ 29สัปดาห์ขึ้นไป ควรตรวจเมื่อจะจำหน่ายทารกออกจากโรงพยาบาล
การรักษา
รายที่การดำเนินของโรคลุกลาม ส่วนใหญ่จะทำการในห้องผ่าตัด หลักการรักษา คือ การทำลายจอประสาทตาส่วนที่ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง (avasular zone)
Cryotherapy การจี้ด้วยความเย็นเป็นการรักษาที่ง่ายและได้ผลกับพยาธิสภาพที่เกิดจอประสาทตาส่วนริมที่ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงกระจายได้ทั่วๆ และทำให้ทารกไม่ได้รับความเจ็บปวดมาก
การผ่าตัด Scleral buckling โดยการนำเส้นซีลิโคนบางๆไปรัดรอบลูกตาเพื่อลดการดึงรั้งของจอรับภาพ
Laser photocoagulation เป็นการยิงเลเชอร์ชนิด Diode laser ซึ่งมีความยาวคลื่น 810 nm เข้าตาตรงบริเวณที่ยังไม่มีเส้นเลือดงอกมาเลี้ยงตามส่วนริมของจอประสาทตา โดยใช้ laser indirect ophthalmoscope
การผ่าตัดน้ำวุ้นลูกตา (vitrcctomy) เป็นการผ่าตัดในรายที่มีการดึงรั้งของจอประสาทตาร่วมกับการมีเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตาซึ่งการผ่าตัด 2 วิธีหลังนี้จะต้องทำภายใต้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกายเท่านั้น ก่อนการรักษาด้วยวิธีต่างๆ
ไม่ได้ทำทุกรายขึ้นอยู่กับภาวะความรุนแรงของโรคส่วนมากที่ตรวจพบจะหายไปได้เอง (regression)
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการตรวจติดตาม
ครั้งแรกควรทำเมื่อทารกอายุได้ 4-6 สัปดาห์ หรือเมื่ออายุครรภ์รวมกับอายุหลังเกิด (postconceptional age ) อยู่ระหว่าง 31 -32 สัปดาห์
ติดตามผลหลังการตรวจครั้งแรกให้ตรวจทุก 1-4 สัปดาห์ และตรวจติดตามจนกว่าจะพบว่าเส้นเลือดของจอประสาทตาทางด้าน temporal เจริญเต็มที่
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา โดยเชื่อว่าวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ป้องกันการเกิด ROP ในทารกเกิดก่อนกำหนด
เตรียมทารกแรกเกิดเพื่อรับการตรวจหาภาวะ ROP จากจักษุแพทย์ ซึ่งตรวจในทารกที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์ หรือน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 1,800 กรัมที่ได้รับการรักษาโดยออกซิเจนและทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษาโดยออกซิเจนแต่มีอายุในครรภ์น้อยกว่า 30 สัปดาห์ น้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 1,300 กรัม
2.ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ควรใช้ Pulse oximeter ติดตาม O2 saturation ตลอดเวลา ดูแลให้ทารกมีระดับ O2 saturation อยู่ระหว่าง 88-95% และเพิ่มเป็น 98-99% สำหรับทารกที่มีภาวะสูดสำลักขี้เทา
ดูแลให้ทารกที่มีภาวะ ROP ได้รับการรักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์ ตามแผนการรักษา
1.ดูแลให้ทารกได้รับ O2 เท่าที่จำเป็น