Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Typhoid ไข้รากสาดน้อย - Coggle Diagram
Typhoid ไข้รากสาดน้อย
การพยาบาล
-
-
การเฝ้าระวังภาวะ Shock ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียนมาก ท้องเสียรุนแรง และท้องบวม ควรให้ได้รับสารละลายทางหลอดเลือด
การเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำ หลังรักษาหายไปแล้ว 2 สัปดาห์ ให้สังเกตอาการ หากกลับเป็นซ้ำให้มารับการรักษา ด้วยยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 1 สัปดาห์
การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol) ร่วมกับการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเมื่อมีไข้สูง การให้ยาแก้ปวด การให้กินสารน้ำทางหลอดเลือดดำ/ORS
ผู้ที่เป็นพาหะ (Carrier) เมื่อรักษากายแล้ว บางรายอาจจะมีเชื้อไทฟอยด์หลบซ่อนอยู่ในถุงน้ำดี และปล่อยเชื้อมากับอุจจาระและแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น ดังนั้นต้องมีการติดตามผู้ป่วย โดยการนำอุจจาระไปเพาะเชื้อ หากพบเชื้อต้องรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะนาน 4 สัปดาห์ แต่ถ้ายังตรวจพบเชื้อในอุจจาระอยู่อีกก็อาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีออก
-
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย ดื่มน้ำ/รัปประทานอาหารสะอาด ล้างมือทุกครั้งก่อนปรุง/รับประทานอาหาร ถ่ายอุจจาระถูกสุขลักษณะ
-
-
พยาธิสภาพ
สาเหตุ: ไข้ไทฟอยด์มีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย Salmonella Typhi อยู่ใน Family Enterobeacteriaceae species salmonella enterica supsp. enterica serovar Typhi ผู้ป่วยได้รับเชื้อนี้โดยการกิน เมื่อเชื้อเข้าสู่ทางเดินอาหารจะบุกรุกทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร จากนั้นเชื้อยังสามารถกระจายเข้ากระแสเลือดได้ จากนั้นเชื้อยังสามารถกระจายไปยังตับ ม้าม ท่อน้ำดี และผิวหนังได้ คนจัดป็นพาหะสำคัญของโรคนี้และอาจกลายเป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการภายหลังจากได้รับเชื้อสามารถแพร่เชื้อสู่สิ่งแวดล้อมได้ตลอดเวลาโดยที่ตัวเองไม่มีอาการใดๆ
อาการและอาการแสดง
มีไข้สูงลอย ปวดหัวอ่อนเพลีย ท้องเสีย บางรายอาจท้องผูกได้เบื่ออาหาร ม้ามโต อาจมีผื่นขึ้นตามตัว ในผู้ป่วยบางราย อาจเกิดเลือดออกในลําไส้
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การทดสอบไวดาล (Widal test) เป็นการตรวจหาสารก่อภูมิต้านทานหรือแอนติเจน (Antigen) ของเชื้อไทฟอยด์ ซึ่งมักจะตรวจพบหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการมาแล้วประมาณ 7-10 วัน
-
การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ ก็ไม่มีความจำเพาะต่อโรคไข้ไทฟอยด์ เช่น การตรวจเลือดซีบีซี (CBC) ซึ่งอาจพบเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง ต่ำ หรือปกติก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะพบภาวะโลหิตจาง (ซีด) และมีค่าอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR) สูง ส่วนค่าการทำงานของตับอาจเป็นปกติหรือสูงก็ได้ และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจอาจพบความผิดปกติได้เล็กน้อย เป็นต้น
-