Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆในร่างกายของสตรีในระยะตั้งครรภ์, E870D156-E54C-4504…
การเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆในร่างกายของสตรีในระยะตั้งครรภ์
ระบบสืบพันธุ์
รังไข่(ovary)
ไม่มีการตกไข่ตลอดการตั้งครรภ์ แต่รังไข่จะสร้าง human chorionic gonadotropin(hCG) และ relaxin ตลอดการตั้งครรภ์
มดลูก(uterus)
estrogen และ progesterone เพิ่มขึ้น
ทำให้มีการเพิ่มขนาดของมดลูก
กล้ามเนื้อมดลูกจะขยายใหญ่ขึ้นและยืดยาวออก (hypertrophy)และมีการหดตัวที่ไม่สม่ำเสมอ
ปากมดลูก(cervix)
มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณปากมดลูกมากขึ้นและมีการเพิ่มจำนวนเซลล์ (hyperplasia) และขยายขนาด (hypertrophy) ของต่อมที่ปากมดลูก (cervical gland)
ปากมดลูกอ่อนนุ่ม (Goodell’s sign)
ผลิตมูก (mucous plug) อุดที่ cervical canal
ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปยังโพรงมดลูก
มีสีคล้ำ หรือ Chadwick sign
ช่องคลอด(vagina)
estrogen ที่เพิ่มขึ้น
ทำให้มีสารคัดหลั่งสีขาวมาก มีความเป็นกรด pH 3.5 – 6.0 ซึ่งช่วยป้องกันการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
ระบบทางเดินอาหาร
หลอดอาหารกระเพาะและลำไส้
การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้น้อยลง เนื่องจากแรงดันจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ ดันเบียดกระเพาะ ลำไส้ ไปทางด้านหลังและด้านข้าง กดเบียดไส้ติ่งให้ถูกดันขึ้นไปบนและออกทางด้านข้าง ทิศทางแบบทวนเข็มนาฬิกา progesterone ที่เพิ่มขึ้นทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว การเคลื่อนไหวของอาหารช้าลง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อหูรูดลดลง ถ้าหากเป็น Cardiac sphincter หย่อนตัว จะทำให้อาหารและกรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารขึ้นไปยังหลอดอาหาร จะมีอาการ heart burn
Progesterone สูงขึ้นตามอายุครรภ์ ทำให้ระยะเวลาในการดูดซึมสารอาหารและแร่ธาตุที่ลำไส้เล็กมีมากข้ึนร่วมกับขนาดของduodenalvilliที่ เพิ่มข้ึนทำให้ความสามารถในการดูดซึมที่ลำไส้เล็กเพิ่มข้ึน โดยเฉพาะการดูดซึมแคลเซียม เหล็ก โซเดียม คลอไรด์ และน้ำ และที่ลำไส้ใหญ่น้ัน progesterone ทาให้เกิดท้องผูก (constipation) เกิดริดสีดวงทวารได้ และ เส้นเลือดดำขยายตัวและมีแรงดันในเส้นเลือดดำสูงเกิดการดูด ซึมกลับของน้ำได้มากข้ึน สตรีมีครรภ์จะมีอาการท้องอืด (Flatulence) ได้ง่ายจากการที่มีการสะสมก๊าซในลำไส้
สตรีมีครรภ์อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน (nausea and vomiting) จากการเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็วของ ฮอร์โมน estrogen และ human chorionic gonadotropin (hCG) การเปลี่ยนแปลงของการเผาผลาญ carbohydrate การทาหน้าที่ของต่อม thyroid การขาดสารอาหาร การติดเชื้อ helicobacter pylori รวมท้ังอิทธิพลทางด้านจิตใจของสตรีมีครรภ์ในการปรับตัวสู่บทบาทการเป็นมารดา
ช่องปากและเหงือก
Estrogen ทำให้มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณช่องปากและเหงือก มากขึ้นจึงทำให้เหงือกบวมนุ่มจากการมีเลือดคั่ง มีเลือดออกง่าย จะดูคล้ายก้อนเนื้อ (epulis)หากดูแลไม่ดีจะทำให้เหงือกอักเสบ (gingivitis)ได้ง่าย ไม่สุขสบายเวลาเคี้ยวอาหาร. น้ำลายมีความเป็นกรด มากขึ้น และไหลมากกว่าปกติ
ถุงน้ำดีและตับ
ความตึงตัวของกล้ามเน้ือเรียบที่ลดลงจากผลของ progesterone ทำให้ถุงน้ำดี เคลื่อนไหวช้าลงโป่งตึงและมีน้าดีสะสมคั่งค้างการทำหน้าที่ของmucosalepitheliumลดลงจากอิทธิพล ของ estrogen ส่งผลให้น้ำดีทำหน้าที่ในการละลาย cholesterol ลดลง เกิดภาวะ hypercholesterolemia ซึ่งจะ รวมตัวตกผลึกกลายเป็นนิ่วได้ง่ายในไตรมาสที่สองและสาม และการที่มีน้ำดีคั่งค้างงยังอาจทำให้เกิดอาการคันที่ผิวหนัง(pruritus)
ตับจะถูกกดเบียดจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ข้ึนและมีการเปลี่ยนแปลงในการทำหน้าที่จากอิทธิพล ของ estrogen ที่ทำให้ plasma albumin ลดลงและ serum cholinesterase ทำงานลดลง อาการและอาการแสดง รวมท้ังการตรวจliver function testอาจพบความคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคตับ เช่นอาจจะพบเส้นเลือดท่ี ผิวหนัง (vascular spiders) ร่วมกับการมีฝ่ามือแดง (palmar erythema)
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจ
เนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นเบียดกระบังลม
ส่งผลให้หัวใจจะยกสูงขึ้นและเอียงไปทางซ้ายมากขึ้น
ขนาดของหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจจึงหนาขึ้น
Cardiac output เพิ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์และเพิ่มสูงสุดในสัปดาห์ที่ 30 - 32
ส่งผลให้มีปริมาณเลือดไหลเวียนมากขึ้นในอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย
หลอดเลือด
systemic vascular resistance ลดลงจากการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด และจาก vasodilation effect
มี arteriovenous shunting
ไปยัง fetal circulation
Blood pressure
ลดลง 5 - 10 mmHg ในไตรมาสที่สองและจะกลับมาสู่ระดับปกติไตรมาสที่สาม
femoral vein เพิ่มขึ้น
เนื่องจากมดลูกกดทับเส้นเลือดในอุ้งเชิงกราน
การไหลกลับของเลือดดำจากขาสู่หัวใจช้าลง
เท้าบวม
เกิดเส้นเลือดขอด (varicosities) บริเวณขาได้ง่าย
supine hypotension
ช่วงไตรมาสที่สาม cardiac output ลดลง
จากการที่เส้นเลือด inferior vena cava ถูกกด
ลดการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจปริมารเลือดที่ถูกส่งออกมาก็น้อยลง
ปริมาณเลือด
เพิ่มขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนสารอาหารที่รกได้ดี
แต่สัดส่วนระหว่างปริมาณที่เพิ่มขึ้นของพลาสม่ามากกว่าเม็ดเลือดแดง
ค่า Hb ,ค่า Hct จึงลดลง
ภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์
(physiological anemia หรือ pseudoanemia)
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ไตและท่อไต
ไตจะมีขนาดโตข้ึน (hydronephrosis) และท่อไตขยายใหญ่ (hydroureter) ท่อไตจะ ยาวและขดงอมากข้ึนกว่าเดิม การเคลื่อนไหวของท่อไตจะช้าลงเนื่องจากอิทธิพลของ prostaglandin E (PGE) รวมทั้งการที่ท่อไตถูกกดเบียด จากมดลูกที่โตข้ึนทำให้มีน้ำปัสสาวะคั่งในกรวยไตและท่อไตเป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่ไตและกรวยไตได้ง่าย
estrogen, progesterone และ prostaglandins ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของ angiotensin-renin-aldosterone system โดยมีการสร้าง aldosteroneเพิ่มข้ึนซึ่งจะทำให้มีการดูดซึมกลับของsodiumและน้ำเพิ่มข้ึนGFRท่ีเพิ่มข้ึนร่วมกับปริมาณ น้ำตาลในเลือดท่ีเพิ่มข้ึนอาจทำให้พบน้ำตาลในปัสสาวะเล็กน้อย นอกจากน้ี lactose ในน้ำนมของสตรีมี ครรภ์จะถูกขับออกทางปัสสาวะด้วย
กระเพาะปัสสาวะ
ตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะค่อนมาด้านหน้าและสูงกว่าเดิมเพราะถูกกดเบียด จากมดลูกท่ีมีขนาดใหญ่ข้ึน มีความตึงตัวน้อยลงเนื่องจาก progesterone ต่อกล้ามเน้ือเรียบ อิทธิพลของฮอร์โมน estrogen ทำให้กล้ามเน้ือกระเพาะปัสสาวะใหญ่ข้ึนและมีเลือดมาเลี้ยงมากข้ึนเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะหนาตัวข้ึน ความจุของกระเพาะปัสสาวะเพิ่มข้ึน 2 เท่า
การที่มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะมากข้ึน และเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะหนาตัวข้ึน ทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบได้ง่ายมากขึ้น
ในช่วงไตรมาสที่ 3สาเหตุจากส่วนนาทารกที่ลงสู่ช่องเชิงกรานกดเบียดกระเพาะ ปัสสาวะและการนอนตะแคงซ้ายจะทำให้สตรีมีครรภ์ปัสสาวะบ่อยเพราะเลือดไปเลี้ยงไตได้มากข้ึนและมี GFRเพิ่มข้ึน
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
ข้อต่อ เอ็นยึดข้อต่อ กระดูกและกระดูกอ่อน กล้ามเนื้อของอุ้งเชิงกราน
ฮอร์โมน relaxin และ progesterone ทำให้ pelvic cartilages อ่อนนุ่ม ข้อต่อ sacroiliac และ sacrococcygeal joint มีการเคลื่อนไหวเพิ่มข้ึน กระดูก symphysis pubis จะแยกออกได้ประมาณ 3-4 มิลลิเมตรเมื่ออายุครรภป์ ระมาณ 32 สัปดาห์
ซึ่งจะทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกเดินลำบาก จนดูคล้ายเดินกระโพลกกระเพลก เมื่อมดลูกมีขนาดโตข้ึน จะดึงร้ัง round ligament ที่ยึดมดลูกกับช่องเชิงกราน ทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกเจ็บแปล๊บเมื่อขยับตัวรวดเร็ว
มดลูกท่ีโตข้ึนกดเบียดเส้นประสาทและเส้นเลือดท่ีมาเลี้ยงในอุ้งเชิงกราน ทาให้สตรีมีครรภ์รู้สึกปวดถ่วงในอุ้งเชิงกรานเมื่อประกอบกับภาวะไม่สมดุลของ calcium และ phosphorus การวางท่า ทางท่ีทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ก็จะส่งผลให้สตรีมีครรภ์มีอาการชาและตะคริวที่ขาได้มากข้ึน
กระดูกสัน
ขนาดของมดลูกท่ีใหญ่ข้ึนทำให้จุดศูนยถ่วงเลื่อนมาข้างหน้าเพื่อรักษาสมดุลของ การทรงตัวกระดูกสันหลังมีการโค้งงอ (lordosis) หลังจึงแอ่น ศีรษะยื่นมาข้างหน้า ก้นโค้งงอนมากข้ึน
สตรีมีครรภ์จะเคลื่อนไหวไม่สะดวก ท่าเดินเป็นแบบเตาะแตะคล้ายเป็ด อาจเดินเซหรือหกล้มได้ง่าย มีการ เกร็งตัวของกล้ามเน้ือหลังอาจมีการปวดหลังมากข้ึน มีการดึงร้ังของกล้ามเนื้อเน้ือบริเวณคอและไหล่ให้คองุ้ม ulnar และ median nerve ถูก ดึงร้ังอาจมีอาการปวดหรือชา หรืออ่อนแรงบริเวณแขน
ระบบทางเดินหายใจ
ทรวงอกจะขยายขนาดขึ้น จากกระบังลมที่ถูกมดลูกดันให้สูง
อาจทำให้รู้สึกหายใจลำบาก
อัตราการหายใจ และความจุของปอด (vital capacity) ไม่มีการเปลี่ยน
แต่มีการเพิ่มขึ้นของ tidal volume และ minute ventilation
progesterone ที่เพิ่มขึ้น
ทำให้ศูนย์หายใจมีความไวต่อคาร์บอนไดออกไซด์
ทำให้ ventilation เพิ่มขึ้น ระดับของ PCO2 ในหลอดเลือดแดงลดลง
ร่างกายปรับตัวโดยเพิ่มการขับ bicarbonate
respiratory alkalosis
สตรีมีครรภ์จะมีภาวะหายใจลึกและยาว
เต้านม
estrogen มีผลทำให้หัวนม ลานนม ขยายใหญ่และมีสีเข้มขึ้น พบ Montgomery glands ใหญ่ขึ้น หลอดน้ำเหลืองและหลอดโลหิตขยายใหญ่ขึ้นและท่อน้ำนม ก็จะเจริญเต็มที่
progesterone มีผลทำให้ถุงผลิตน้ำนม และเซลล์ผลิตน้ำนม ที่บุภายในถุงผลิตน้ำนมเจริญเต็มที่เพื่อเตรียมสร้างน้ำนม
ระบบต่อมไร้ท่อ
ต่อมธัยรอยด์
ต่อมธัยรอยด์จะโตขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่เป็นคอพอก
ในไตรมาสแรกรกสร้าง hCG จะไปกระตุ้นการหลั่ง thyroxine(T4) และสร้าง free T4 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ต่อมหมวกไต
ขนาดและลักษณะไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการสร้างฮอร์โมนเพิ่มขึ้น เอสโตรเจนจะกระตุ้นให้ตับสร้าง cortisol-binding globulin(CBG)
ส่งผลให้ระดับ cortisol และ corticotropin (ACTH) เพิ่มสูงขึ้น
ต่อมใต้สมอง
ต่อมจะมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะในส่วนหน้าของต่อมที่สร้าง prolactin หรือส่วนที่เป็น lactotroph จะมีปริมาตรเพิ่มขึ้น
ระบบผิวหนัง
ผิวหนังคล้ำ (hyperpigmentation)
estrogen ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้น พบบ่อยบริเวณรอบสะดือ อวัยวะเพศ และข้อพับต่าง ๆ
บริเวณแนวกลางหน้าท้องหรือ linea alba จะเรียกว่า linea nigra
บริเวณใบหน้าเป็นฝ้าสีน้ำตาล เรียกว่า melisma โดยจะเห็นชัดขึ้นเมื่อถูกแดด
ผิวหนังลาย (striae gravidarum)
estrogen ที่เพิ่มขึ้น
มักเกิดบริเวณท้อง เต้านม ก้นและต้นขา ลักษณะเป็นแนวเส้นสีแดง
ท้องลาย (stretch mark)