Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลเจริญผิดปกติ, นางสาวนิรามัย สีลาคำ เลขที่ 39…
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลเจริญผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL (Acute lymphoblastic
leaukemia)
เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก พบมากในช่วงอายุ 2-5 ปี
ความหมาย
Leukemia หมายถึง มะเร็งของระบบโลหิต เกิดจากความผิดปกติของ เซลล์ต้นกําเนิด(Stem cell) ที่อยู่ในไขกระดูก (Bone Marrow) เกิด การแบ่งตัวที่ผิดปกติ ไม่สามารถ differentiate ไปเป็นเซลล์ตัวแก่ได้ ส่งผลให้จํานวนเม็ดเลือดขาวตัวอ่อนมีจํานวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่ว ร่างกายทําให้การสร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดลดลง ผู้ป่วยจึงเกิดอาการซีด เลือดออก และติดเชื้อได้ง่าย
acute lymphoblastic leukemia แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
T-celllymphoblasticleukemia
B-celllymphoblasticleukemia (พบเป็นส่วนใหญ่)
ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL (Acute lymphoblastic leukemia หรือ Acute lymphocytic leukemia หรือ Acute lymphoid leukemia หรือเรียกย่อว่า ALL)
เป็นชนิดที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่แต่พบ ได้บ่อยที่สุดในเด็กอายุ 2-5 ปี
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML (Acute myelogenous leukemia หรือ Acute myeloid leukemia หรือเรียกย่อว่า AML)
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดนี้จึงพบได้ใน ผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก และพบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL (Chronic lymphocytic leukemia หรือเรียกย่อว่า CLL)
เป็นชนิดที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่และมีความชุกของโรคมากขึ้นตามอายุ
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CML (Chronic myelogenous leukemia หรือ Chronic myeloid leukemia หรือ Chronic myelocytic leukemia หรือเรียกย่อว่า CML)
เป็นชนิดที่พบได้น้อยพบ ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ในผู้ป่วยเด็กนั้นประมาณ 80% มักพบในเด็กอายุ มากกว่า 4 ปี
สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม
เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome)
ครอบครัวที่มีสมาชิก เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL พบว่าจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 2-4 เท่า
ในฝาแฝดที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALLโดยเฉพาะ เมื่อเป็นโรคตั้งแต่อายุยังน้อยพบว่าจะทำให้ฝาแฝดอีกคนหนึ่งมีโอกาสเป็น โรคนี้ได้ประมาณ 25%
ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม
การมีประวัติได้รับสีไออนไนซ์ (Ionizing radiation)
การมีประวัติได้รับยาเคมีบําบัดในการรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นมาก่อน
การสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษบางชนิด โดยเฉพาะสารเบนซิน (Benzene) สารฟอร์มาลดีไฮด์(Formaldehyde)
อาจเกิดจากการได้รับสารเคมีต่างๆ ที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อม หรือจากควันบุหรี่และการสูบบุหรี่
อาการ
เบื่ออาหาร น้ําหนักลด ซีด อ่อนเพลีย เลือดออกง่าย
การวินิจฉัย
เจาะเลือดตรวจหาเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาว Blast cell
ทําการยืนยันโดยการเจาะไขกระดูก Bone marrow Transplanted เพื่อดูให้ชัดเจนอีกครั้งว่ามีการแบ่งตัวที่ผิดปกติในไขกระดูกจริงหรือไม่
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)
ระบบน้ําเหลือง (Lymphoma System) เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน
ประกอบประด้วยอวัยวะที่เกี่ยวกับน้ําเหลือง ได้แก่ ม้าม,ไขกระดูก, ต่อมทอนซิล, ต่อมไทมัส
ตําแหน่งที่พบบ่อย คือต่อมน้ําเหลืองบริเวณคอ(Cervical Lympnode)
มะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma)
พบต่อมน้ำเหลืองจะโตมาเป็นปี ไม่มีอาการเจ็บปวดมีลักษณะเฉพาะ
มะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma)
อาการจะเร็วและรุนแรง มักจะมาโรงพยาบาลเมื่อมีการกระจายไปทั่ว ร่างกายแล้ว อาจมีก้อนที่ช่องท้อง ช่องอกหรือในระบบประสาท
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
การตรวจไขกระดูก
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
การตรวจกระดูก (Bone scan)
การตรวจ PET scan เป็นการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์เพื่อหาเซลล์มะเร็ง
อาการ
จะคลําพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆ เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ หรือเต้านม แต่จะไม่มีอาการเจ็บ ซึ่งต่างจากการติดเชื้อที่มักจะมี อาการเจ็บที่ก้อน มีไข้หนาวสั่นเหงื่อออกมากตอนกลางคืนคันทั่วร่างกาย เบื่ออาหารน้ำหนักลดอ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต ปวดศีรษะ(พบในมะเร็งต่อมน้ําเหลืองในระบบประสาท)
อาการในระยะลุกลาม
ซีด มีเลือดออกง่าย เช่น จุดเลือดออกตามตัว จ้ำเลือด
ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ําเหลืองเกิดขึ้นภายในช่องท้องผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อย ท้องโตขึ้นจากการมี น้ําในช่องท้อง
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน
การใช้ยาเคมีบําบัด (Chemotherapy)
การฉายรังสี (Radiation Therapy)
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Transplantation)
มะเร็งไต(Wilm Tumor)
มะเร็งไต หมายถึง ภาวะที่เนื้อไตชั้นพาเรนไคมา(Parenchyma) มีการ เจริญผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้องอกภายในเนื้อไต ส่วนใหญ่จะมีขนาด ใหญ่และคลําได้ทางหน้าท้อง และมักจะเป็นที่ไตข้างใดข้างหนึ่ง
จะไม่ให้คลําบ่อย เพราะอาจทําให้ก้อนแตก หรืออาจเกิดการแพร่กระจาย ของมะเร็ง
Neuroblastoma
เป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรงที่พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
เป็นเนื้องอกที่มีต้นกําเนิดมาจากเซลล์ของระบบประสาท(Neural crest) สามารถเกิดบริเวณใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อ Sympathetic nerve ได้แก่ ต่อมหมวกไต(adrenal gland) ในช่องท้อง เป็นต้น
อาการนําที่มาพบแพทย์
มีก้อนในท้อง ท้องโต ปวดท้อง อาการอื่นๆ ได้แก่ ตาโปนมีรอยช้ำรอบตา(raccoon eyes) มีไข้ ปวดกระดูก ตําแหน่งที่พบก้อนครั้งแรกมากที่สุดคือต่อมหมวกไต
การตอบสนองต่อการรักษาจะไม่ดี มีอัตราการตายสูง
การดูแลเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัด
ระยะการรักษาเคมีบำบัด
ระยะชักนําให้โรคสงบ (induction phase)
เป็นการให้ยาเพื่อทําลายเซลล์ในเวลาอันสั้นให้มากที่สุด และมีอันตรายต่อเซลล์ปกติให้น้อยที่สุด ทําให้ไขกระดูก สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ตามปกติ ระยะนี้ใช้เวลา 4 – 6 สัปดาห์ ยาที่ใช้ได้แก่ Vincristine, Adriamycin,L – Asparaginase และ Glucocorticoid
ระยะให้ยาแบบเต็มที่ (intensive or consolidation phase)
เป็นการให้ยาหลายชนิดร่วมกันภายหลังที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะ โรคสงบแล้ว เพื่อให้ยาทําลายเซลล์มะเร็งให้เหลือน้อยที่สุด ระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์ ยาที่ใช้ ได้แก่ Metrotrexate, 6 – MP และ Cyclophosephamide
ระยะป้องกันโรคเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS prophylaxis phase)
เป็นการให้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง เพราะผู้ป่วยโดยทั่วไปหลังการให้ยา มักมีโอกาสกลับเป็นโรคอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีจํานวนเกล็ดเลือดต่ำ ตับม้ามโต ยาที่ใช้ ได้แก่ Metrotrexate, Hydrocortisone และARA–C
ระยะควบคุมโรคสงบ (maintenance phase or continuation therapy)
เป็นการให้ยาเพื่อควบคุม และรักษาโรคอย่างถาวร ยาที่นิยม ใช้ คือ การให้ 6 – MP โดยการรับประทานทุกวันร่วมกับ การให้ Metrotrexate
การรักษาแบบประคับประคอง
การรักษาทดแทน (Replacement therapy)
ด้วยการให้เลือดเพื่อให้ระดับฮีโมโกลบินไม่น้อยกว่า 7-8 กรัม/ดล. ในระยะแรกก่อนโรคสงบ
การรักษาด้วยเกร็ดเลือด
หากผู้ป่วยมีเลือดออกจากจํานวนเกร็ดเลือดต่ำ จําเป็นต้องให้เกร็ดเลือดก่อน ก่อนการให้ยา ซึ่งวิธีนี้จะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยได้สูง เพราะมีเกร็ดเลือดต่ำมากจะทําให้ผู้ป่วยถึงเสียชีวิตได้รวดเร็วไม่เกิน 24 ชั่วโมง
วิธีการให้ยาเคมีบำบัด IT IM IV
ทางช่องไขสันหลัง intrathecal
ทางกล้ามเนื้อหลังฉีดต้องระวังเลือดออก
ทางหลอดเลือดดำ vein ต้องระวังการรั่วของยาออกนอก หลอดเลือด ที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ตัวอย่างยาเคมีบำบัด
Cyclophosphamide และ Ifosfamide
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยออกฤทธิ์จับหรือรวมตัวกับดีเอ็นเอของเซลล์มะเร็ง (Cross link) ส่งผลทําให้เพิ่มจํานวนไม่ได้
ผลข้างเคียงที่ต้องระวังคือ การตกค้างของยาในกระเพาะปัสสาวะ ทําให้เกิด Hemorrhagic cystitis คือเลือดออกในกระเพาะปัสสาวะ
Methotrexate
รักษามะเร็ง Acute leukemia โดยยับยั้งการสร้าง DNA และ RNA และมีฤทธิ์กดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาตัวนี้มักจะเกิด ภาวะแทรกซ้อนที่ตับ ส่งผลทําให้เกิดอาการคลื่นไส้ Nausea อาเจียน Vomiting และ เยื่อบุช่องปากอักเสบ Stomatitis
Mercaptopurine(6-MP)
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันโดย ยับยั้งการสร้าง Purine ยับยั้งการสร้างกรดนิวคลีอิกของ cell มะเร็ง ยาตัวนี้ ผู้ป่วยจะได้รับกลับไปรับประทานต่อที่บ้าน
L-asparaginase
เป็นยารักษาโรคมะเร็ง ALL ที่มีโอกาสเกิดการแพ้ยาสูงมาก Anaphylaxis จึงต้อง Test dose ก่อนให้ยา นอกจากนี้ยายังมีผลต่อตับอ่อนในการรั่ง Insulin มีผลให้น้ําตาลในเลือดสูงขึ้น แพทย์จึงมีแผนการรักษา ให้ตรวจดูน้ําตาลในปัสสาวะ
การดูแลเด็กที่ได้รับยาเคมีบําบัด
การดูแลคือการปะคบเย็น ครั้งละประมาณ 20 นาที ทําซ้ำอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง ในช่วง 1-2 วันแรก หรือตามแผนการรักษาของแพทย์
Ondasetron(onsia) ป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน ในผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบําบัด
Bactrim ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส เนื่องจาก ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ
นางสาวนิรามัย สีลาคำ เลขที่ 39 (62111301041)