Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลล์เจริญผิดปกติ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลล์เจริญผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (acute lymphoblastic leaukemia)
Leukemia หมายถึง มะเร็งของระบบโลหิตเกิดจากความผิดปกติของ Stem cell ที่อยู่ใน Bone marrow เกิดการแบ่งตัวผิดปกติ ไม่สามารถ differentiate ไปเป็นเซลล์ตัวแก่ได้
ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนมีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว การสร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดลดลง
acute lymphoblastic leukemia แบ่งเป็น
T-cell lymphoblastic Leukemia
B-cell lymphoblastic Leukemia ส่วนใหญ่พบชนิด B-cell
มะเร็งชนิด ALL จะพบบ่อยที่สุดในเด็ก
เมื่อมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและคุมไม่ได้ในไขกระดูกจึงมีเซลเม็ดเลือดขาวตัวอ่อน (Blast cell) จำนวนมากในไขกระดูก
ผลของการที่มีเซลเม็ดเลือดขาวตัวอ่อนจำนวนมาก ทำใ้การสร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดลดลง ผู้ป่วยจะซีด เลือดออกง่าย อ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML (Acute myelogenous leukemia) พบในผู้ใหญ่มากกว่า พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL พบบ่อยในผู้ใหญ่
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CML พบได้น้อย มักพบในเด็กอายุมากกว่า 4 ปี
สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ส่วนใหญ่ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด
ปัจจัยด้านพันธุกรรม
เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL และ AML มากกว่าคนปกติ
ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนทั่วไป
ในฝาแฝดที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL จะทำให้ฝาแฝดอีกคนมีโอกาสเป็นได้
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
การมีประวัติได้รับสี lonizing radiation
การมีประวัติได้รับยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งมาก่อน
การสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษบางชนิด
อาจเกิดจากการได้รับสารเคมีที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
อาการ
อาการแรกที่เป็น เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลีย
เลือดออกง่าย มีประจำเดือนมากกว่าปกติ
ติดเชื้อง่าย มีไข้ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวจำนวนมากแต่เป็นตัวอ่อน
เม็ดเลือดขาวเบียดบังอวัยวะต่างๆทห้มีก้อนที่ขาหนีบ ต่อมน้ำเหลือง ขา คอ หรือ ตับ ม้าม โต
การวินิจฉัย
เจาะเลือดตรวจหา Blast cell
เจาะไขกระดูก Bone marrow Transplanted
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)
เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน
ประกอบด้วย ม้าม ไขกระดูก ต่อมทอนซิล ต่อมไทมัส
อวัยวะเหล่านี้ ประกอบด้วยน้ำเหลือง มีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดขาวไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
ความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวเหล่านี้ทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การทำหน้าที่จะผิดปกติ
ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ (Cervical Lympnode)
ชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma)
ต่อมน้ำเหลืองจะโตเป็นปี ไม่ปวด ลักษณะเฉพาะคือ พบ Reed-Sternberg cell ไม่มีในต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่น
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน(Non-Hodgkin Lymphoma)
อาการจะเร็วและรุนแรง อาจมีก้อนที่ช่องท้อง ช่องอกหรือในระบบประสาท
Burkitt Lymphoma
มีต้นกำเนิดมาจาก B-cell (B lymphocyte) มีการแทรกกระจายในเนื้อเยื่อ มีเนื้องอกที่โตเร็วมาก มักพบเฉพาะที่ ในช่องท้อง รอบกระดูกขากรรไกร
การวินิจฉัย
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
การตรวจไขกระดูก
CT scan
การตรวจไขกระดูก (Bone scan)
เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
การตรวจ PET scan
การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์เพื่อหาเซลล์มะเร็ง
อาการ
อาการที่พบบ่อย
คลำพบก้อนบริเวณต่างๆ เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ เต้านม แต่ไม่มีอาการปวด การติดเชื้อมักมีอาการเจ็บที่ก้อน
มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกมากเวลากลางคืน คันทั่วร่างกาย
เบื่อ อาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ
ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ทอนซิลโต
ปวดศีรษะ (พบในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท)
อาการในระยะลุกลาม
ซีด เลือกออกง่าย จุดเลือดออกตามตัว จ้ำเลือด
ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง จะมีอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องโตขึ้น จากการมีน้ำในช่องท้อง
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน
การใช้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
การฉายรังสี (Radiation Therapy)
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Transplantation)
มะเร็งไต Wilm Tumor หรือ Nephroblastoma
หมายถึง
ภาวะที่เนื้อไตชั้น Parenchyma เจริญผิดปกติจนกลายเป็นเนื้องอกภายในเนื้อไต ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ คลำได้ทางหน้าท้อง มักเป็นที่ไตข้างใดข้างหนึ่ง
ไม่ให้คลำบ่อย อาจทำให้ก้อนแตก เกิดการแพร่กระจายของมะเร็ง
Neuroblastoma
เนื้องอกชนิดร้ายแรง พบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
อาการที่น้ำมาพบแพทย์ ได้แก่ มีก้อนในท้อง ตาโปนมีรอยช้ำรอบตา (raccoon eyes) พบก้อนครั้งแรกมากที่สุดคือต่อมหมวกไต
มีต้นกำเนิดจากเซลล์ของระบบประสาท (Neural crest) เกิดจากบริเวณใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อ Sympathetic nerve
การตอบสนองต่อการรักษาจะไม่ดี
มีอัตราการตายสูง
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด Chemotherapy
ระยะการรักษาเคมีบำบัด
ระยะชักนำให้โรคสงบ (induction phase)
เป็นการให้ยาเพื่อทำลายเซลล์ในเวลาสั้น มีอันตรายต่อเซลล์ปกติให้น้อยที่สุด ทำให้ไขกระดูกสามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ปกติ ใช้เวลา 4-6 สัปดาห์
ระยะให้ยาแบบเต็มที่ (Intensive consolidation phase)
เป็นการให้ยาหลายชนิดร่วมกันภายหลังที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะโรคสงบแล้ว เพื่อให้ยาทำลายเซลล์มะเร็งให้เหลือน้อยที่สุด ใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์
ระยะป้องกันโรคเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS prophylaxis phase)
เป็นการให้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ป่วยทั่วไปหลังการให้ยามักมีโอกาสกลับเป็นโรคอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีเกร็ดเลือดต่ำ ตับ ม้าม โต
ระยะควบคุมโรคสงบ (maintenance phase or continuation therapy)
เป็นการให้ยาเพื่อควบคุม และรักษาโรคอย่างถาวร นิยมให้ 6-MP รับประทานทุกวันร่วมกับการให้ Metrotrexate
วิธีการให้ยาเคมีบำบัด IT IM IV
ทางช่องไขสันหลัง Intrathecal
ทางกล้ามเนื้อ หลังฉีดระวังเลือดออก
ทางหลอดเลือดดำ Vein ต้องระวังการรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ตัวอย่างยาเคมีบำบัดที่ใช้บ่อย
Cyclophosphamide และ Ifosfamide
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวโดยออกฤทธิ์จับหรือรวมตัวกับดีเอ็นเอของเซลล์มะเร็ง (Cross link) ส่งผลให้เพิ่มจำนวนไม่ได้
ผลข้างเคียงที่ต้องระวัง คือ การตกค้างของยาในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิด Hemorrhagic คือ เลือดออกในกระเพาะปัสสาวะ หลังการให้ยาต้องมีการตรวจ U/A เพื่อดู RBC ในปัสสาวะ แพทย์จะมีการให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำที่มากพอ Hydration ร่วมกับให้ยา Mesna ป้องกันการเกิดเลือดออกในกระเพาะปัสสาวะ
Methotrexate
รักษามะเร็ง acute leukemia ยาตัวนี้มักเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ตับ แพทย์จะติดตามค่า Liver function Test และภาวะแทรกซ้อนที่ไต Acute renal failure (ARF)
ยาจะส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ Nausea อาเจียน Vomiting และ เยื่อบุช่องปากอักเสบ Stomatitis
Marceptopurine (6-MP)
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
L-asparaginase
เป็นยารักษามะเร็ง ALL ที่มีโอกาสเกิดการแพ้ยาสูงมาก Anaphylaxis จึงต้อง Test dose ก่อนให้ยา ยาจะมีผลต่อตับอ่อนในการหลั่ง Insulin มีผลให้น้ำตาลในเลือดสูง
การดูแลเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัดที่สำคัญ
ประคบเย็น ครั้งละประมาณ 20 นาที ทำซ้ำอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง ในช่วง 1-2 วันแรก หรือตามแผนการรักษาของแพทย์
Ondasetron(onsia) ป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน ในผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
Bactrim ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส เนื่องจากผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำ เป็นยาฆ่าเชื้อ ควรรับประทานหลังอาหารทันทีหรือรับประทานพร้อมนม ดื่มน้ำตามมากๆ