Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Twin Pregnancy GDMA1 นศพต.กิตติมา มาศงามเมือง - Coggle Diagram
Twin Pregnancy
GDMA1
นศพต.กิตติมา มาศงามเมือง
1.ข้อมูลส่วนตัว
หญิงตั้งครรภ์ อายุ 38 ปี G2P1001
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 65 kg. ส่วนสูง 164 cm. BMI 24.17 kg/m^2 ฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม พ.ศ. 2550
ประวัติการเจ็บป่วย : ปฏิเสธ
ประวัติครอบครัว : บิดา มารดา และสามี เป็นเบาหวาน
สามีมีประวัติเป็นไวรัสตับอักเสบ B
ประวัติการตั้งครรภ์ : G1เมื่อ 2 มีนาคม 2550 Term 38 weeks.คลอดแบบ N/L เพศ ชาย น้ำหนัก 3,650 สภาพทารกปัจจุบันปกติดี
G2 ANC ครั้งแรกเมื่ออายุครรภ์ 7+1 wks. by date คัดกรองความเสี่ยงเบาหวานเนื่องจากอายุ 38 ปี และมีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน นัดตรวจ OGTT เมื่ออายุครรภ์ 10+2 wks. by U/S
2.การตรวจร่างกาย
สัญญาณชีพแรกรับ 101/60 mmHg
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 65 kg น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ 74.6 kg (5/04/64)
น้ำหนักไตรมาสแรก : น้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.3 กิโลกรัม
ไตรมาสที่สอง : น้ำหนักเพิ่มขึ้น 8.9 กิโลกรัม
ไตรมาสที่สาม : น้ำหนักลดลง 0.6 กิโลกรัม
การตรวจร่างกายตามระบบ
ศีรษะ : ไม่มีรอยโรค หรือก้อนบวม
ตา : ไม่มี conjuntiva ซีด
คอ : ไม่มีก้อน หรือไทรอยด์โต
เต้านม : ปกติ ไม่มีหัวนมบอด บุ๋ม
ขา : ไม่มีอาการบวม
การตรวจคัดกรองเบาหวาน
14/10/63 BS50 gm : 171 mg/dL (<140)
นัดทำOGTT 4 wks.
13/11/63 OGTT : 80-165-
157
-127
ผิดปกติ 1 ค่า นัดตรวจซ้ำภายใน 3 เดือน
25/02/64 BS50 gm : 145 mg/dL (<140)
นัดทำOGTT 1 wks.
01/03/64 OGTT : 80-
188
-
157
-107
ผิดปกติ 2 ค่า นัดตรวจซ้ำภายใน 1 เดือน
FBS : 82
2 Hr.PP : 107
3.การตรวจครรภ์
linea nigar มีสีดำตรงกลางหน้าท้อง striae gravidarum มีสีเงิน คลำส่วนนำของทารกทั้งสองได้ส่วนนำเป็นศีรษะทั้งคู่
4.ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
VDRL (RPR) : non reactive
HBs Ag : Negative
*HIV : Negative
ABO group : O
Rh group : Positive
Ab screening : Negative
CBC
Hb : 11.7 g/dL
Hct : 33.9 %
แปลผล : มีภาวะโลหิตจาง
Hb E screening (DCIP) :
Positive
MCV : 81.3 fL (ไม่มีความผิดปกติ)
MCH : 28.0 pg (ไม่มีความผิดปกติ)
5.การตรวจพิเศษ
Chromosome study (with AFP) for Amniotic fluid (MGC)
Twin B : ตรวจพบ 46 โครโมโซม เป็นเพศชาย ไม่พบความผิดปกติของโครโมโซมและจำนวนทุกโครโมโซม
Twin A : ตรวจพบ 46 โครโมโซม เป็นเพศชาย ไม่พบความผิดปกติของโครโมโซมและจำนวนทุกโครโมโซม
ผล AFP ที่วัดได้ 12475.1 ng/ml
ได้ผล row risk for NTD
ตรวจ Multiple Pregnancy
Multiple pregnancy - dichorionic-diamniotic
นัด U/S confirm GA
28/01/64 อายุครรภ์ 21+1
EFW A : 431 g
EFW B : 406 g
25/02/64 อายุครรภ์ 25+1
EFW A : 764 g
EFW B : 772 g
24/03/64 อายุครรภ์ 29 wks.
EFW A : 1256 g
EFW B : 1341 g
GA
10+2 by U/S
11+3 by date
6.พยาธิสภาพ Twin Pregnancy
แฝดแท้ (Monozygotiv twins) เกิดจากการปฏิสนธิของไข่ 1 ใบ โดยจำนวนรกและถุงน้ำคร่ำจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ(Fertilized ovum) แบ่งตัว
1.การแบ่งตัวใน 72 ชั่วโมงหลังปฏิสนธิ แฝดจะมีรกและถุงน้ำคร่ำแยกออกจากกัน (diamniotic,dichorionic)
2.การแบ่งตัวระหว่างวันที่ 4-7 แฝดจะมีรกเพียงอันเดียว แต่มีถุงน้ำคร่ำแยกออกจากกัน (diamniotic.monochorionic)
3.การแบ่งตัวในวันที่ 8-12 จะเริ่มมีการสร้าง amnion แล้ว แฝดจะมีรกและถุงน้ำคร่ำเพียงอันเดียว (monoamniotic,monochorionic)
4.การแบ่งตัววันที่ 13 เป็นต้นไป เป็นระยะที่มีการสร้าง embryonic disk แล้วทำให้ทารกอาจมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเชื่อมติดกัน
2.แฝดเทียม (Dizygotic twins, fraternal or false twins) เกิดจากการปฏิสนธิของแฝด 2 ใบและอสุจิ 2 ตัว แฝดจะมีรกและถุงน้ำคร่ำแยกออกจากกัน (diamniotic,dichorionic) ซึงจะมีลักษณะแตกต่างกันทางกายภาพ เช่น เพศ รูปร่างหน้าตา หรือพันธุกรรมที่ต่างกัน
สาเหตุ และปัจจัยของการตั้งครรภ์แฝด
1.เชื้อชาติ โดยประชากรผิวดำมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์แฝดมากกว่าประชากรผิวขาว และชาวเอเชีย
2.พันธุกรรม การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมารดาหรือบิดาที่มีประวัติครอบครัวมีการตั้งครรภ์แฝดมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์แฝดได้สูงกว่าบุคคลทั่วไป
3.อายุของมารดาและจำนวนการตั้งครรภ์ มารดาที่มีการอายุครรภ์มากและการตั้งครรภ์หลัง มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์แฝดได้สูงกว่า
4.การรักษาภาวะการมีบุตรยาก เช่นการได้รับฮอร์โมนกระตุ้น Gonadotopin ทำให้เกิดการตกไข่ครั้งละหลายๆใบ ทำให้มีโอกาสเกิดครรภ์แฝดได้
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการต้ังครรภ์แฝด
1.ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไป
ผลต่อทารก
1.ทารกน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย (Low birth weight) โดยมารดาที่ตั้งครรภ์แฝดจะมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้สูง โดยภาวะนี้จะเกิดเมื่อทารกมีน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 g ซึ่งหากทารกในครรภ์มากเท่าไหร่ น้ำหนักตัวทารกก็จะน้องลงมากขึ้น
ท่าและส่วนนำของทารกผิดปกติ
รกลอกตัวก่อนกำหนด
ผลต่อมารดา
1.การแท้งบุตร การตั้งครรภ์แฝดมีโอกาสเกิดกรแท้งสูงกว่าปกติ เนื่องจากอาจมีความผิดปกติของโครโมโซม หรือทารกมีความผิดปกติตั้งแต่ในครรภ์
2.การคลอดก่อนกำหนด (Preterm labour) เป็นภาวะที่เกิดได้บ่อยในมารดาตั้งครรภ์เดี่ยวและครรภ์แฝด ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากถึงทารก เช่น ภาวะหายใจลำบาก (respiratory distress syndrome; RDS) ทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อย และยังเป็นสาเหตุให้เกิดการตายได้สูง ซึ่งสาเหตุอาจมาจากการที่มารดามีภาวะแทรกซ้อน เช่น มารดามีความดันขณะตั้งครรภ์สูง ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (apruptio placenta) หรือเกิดจากความผิดปกติของตัวทารก เช่น ทารกเจริญเติบโตช้า
3.ภาวะซีด (Anemia) ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระที่มากกว่ามารดาครรภ์เดี่ยว ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายเพิ่มมากขึ้นประกอบกับการต้องการธาตุเหล็กของทารกในครรภ์ทำให้มารดามีภาวะซีดมากขึ้น
4.ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension; PIH) ส่วนมากในมารดาตั้งครรภ์แฝดจะพบเป็น Gestational hypertention ซึ่งภาวะที่มารดามีความดันโลหิตสูงจะส่งผลให้ทารกในครรภ์เติบโตช้าจากการไหลเวียนเลือดที่รกไม่มีประสิทธิภาพ
2.ภาวะที่เกิดขึ้นเฉพาะการตั้งครรภ์แฝด
1.การพันกันของสายสะดือ (Cord entanglement) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ทารกในครรภ์มีโอกาสเสียชีวิตสูง ความเสี่ยงของภาวะนี้จะลดลงเมื่อครรภ์อายุ 32 สัปดาห์ เนื่องจากทารกมีขนาดใหญ่ขึ้นและเกิดการจำกัดพื้นที่
2.ทารกแฝดมีน้ำหนักต่างกัน (Discordant twins) เป็นภาวะที่น้ำหนักตัวของทารกแต่ละคนต่างกัน 25 % อาจเกิดจากตำแหน่งการเกาะของรก ขนาดของรก ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี จึงทำให้การเจริญเติบโตของแฝดทั้ง 2 ต่างกัน
เสี่ยงต่อการเกิด TTTTS จากการที่เส้นเลือดของทารกท้งสองเชื่อมต่อกัน
อาจเกิดการขัดกันของทารกทั้ง2
การตรวจวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
ประวัติการตั้งครรภ์ที่เกิดจากเทคโนโลยี
ประวัติการตั้งครรภ์แฝดในครอบครัว
อายุครรภ์ และจำนวนครั้งการตั้งครรภ์ของมารดา
2.การตรวจร่างกาย
ตรวจดูขนาดมดลูกว่าโตกว่าอายุครรภ์หรือไม่
คลำ ballottement ของศีรษะได้มากกว่า 1 ตำแหน่ง
ฟังเสียงหัวใจทารกได้มากกว่า 1 ตำแหน่ง
3.การอัลตราซาวน์
7.พยาธิสภาพ GDMA1
การวินิจฉัย
มารดาที่ควรได้รับการตรวจคัดกรอง GDM
คัดกรอง
1.Glucose test กินน้ำตาล 50 g เจาะเลือดหลังกิน 1 ชั่วโมง ค่าปกติ < 140 mg/dL
2.ตรวจน้ำตาล 100 g OGTT
ค่าปกติ <95 - <180 - <155 - <140 mg/dL
3.ผิดปกติ 1 ค่านัดตรวจซ้ำภายใน 1เดือน
ผิดปกติทุกค่าตรวจซ้ำเมื่อ GA 24-28 wks.
4.ผิดปกติ >= 2 ค่า
GDMA2
FBS >= 95 mg/dL
2hrPP >= 120 mg/dL
GDMA1
FBS < 95 mg/dL
2 hrPP < 120 mg/dL
1.มารดาที่มีอายุ > 30 ปีขึ้นไป
2.มารดาที่มี BMI > เท่ากับ 27 kg/m^2
3.เคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนก 4,000 g ขึ้นไป
4.เคยคลอดบุตรที่มีความพิการแต่กำเนิด หรือเสียชีวิตในครรภ์โดยไม่ทราบสาเหตุ
5.เคยมีประวัติการเป็นเบาหวานขณะตั้งครภ์
6.เคยมีประวัติการเป็นเบาหวานในครอบครัว
7.เคยมีประวัติความดันสูงขณะตั้งครรภ์
ภาวะแทรกซ้อน
มารดา
1.Hyperglycemia/Hypoglycemia
2.ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
3.Abortion
4.Premature labor
5.คลอดยากเนื่องจากทารกตัวโต (dystocia)
6.ตกเลือดหลังคลอด
ทารก
1.IUGR
2.Macrosomia
3.Preterm
4.Hypoglycemia/Hyperglycemia
5.เลือดไปเลี้ยงรกไม่ดีเนื่องจากหลอดเลือดแข็งและเลือดข้น
6.ทารกมีภาวะหายใจลำบาก
7.ทารกมีโอกาสเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
สาเหตุ
เนื่องจากการตั้งครรภ์ในระยะแรกร่างกายมีการสะสมพลังงานในการเจริญเติบโตของทารก ในขณะที่estrogen และ Progesterone จากรก จะเพิ่มการทำงานของตับอ่อน เพื่อเพิ่มอินซูลินให้มากขึ้น ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก อินซูลินที่ร่างกายผลิตออกมาจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมัน สะสมตามร่างกาย ทำให้อินซูลินลดลง ในไตรมาสที่สองและสามทารกต้องการพลังงานมากขึ้น พร้อมๆกับ ฮอร์โมน HPL สูงขึ้นตามอายุครรภ์ ซึ่งจะไปลดการทำงานของ insulin recepter ทำให้น้ำตาลในเลือดของมารดาสูงขึ้น
การรักษา
สามารถดูแลรักษาด้วยการควบคุมอาหาร ลดแป้ง ลดหวาน ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อควบคุมน้ำหนัก
นัดทำ NST สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพทารกในครภ์
ข้อวินิจฉัย
ไตรมาสที่สอง (14-28 wks.)
ไตรมาสที่หนึ่ง (0-14 wks.)
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 1
มารดามีโอกาสแพ้ท้องรุนแรง
(Hyperemesis Gravidarum)
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาหญิงตั้งครรภ์แฝด
วัตถุประสงค์
เพื่อบรรเทาอาการแพ้ท้องรุนแรงของมารดาที่ตั้งครรภ์แฝด
เกณฑ์การประเมิน
มารดาทราบถึงวิธีการบรรเทาอาการแพ้ท้อง
มารดาทราบถึงวิธีการดูแลตนเอง และการรับประทานอาหาร
กิจกรรมการพยาบาล
1.ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร และวิธีบรรเทาอาการแพ้ท้องแก่มารดา ดังนี้
1.1.รับประทานอาหารน้อยแต่บ่อยครั้งประมาณทุก 2-3 ชั่วโมง
1.2.รับประทานอาหารโปรตีนที่มีไขมันน้อย เช่น เนื้อปลา เนื้อสัน และอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรทที่ง่ายต่อการย่อย เช่นข้าวขนมปัง ผลไม้น้ำผลไม้อาหารที่มีวิตามินบี
1.3.ดื่มนํ้าซุปหรือน้ำผลไม้ระหว่างมื้ออาหาร
1.4.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน หรืออาการที่มีน้ำมันมาก
1.5.หลังรับประมาณไม่ควรเอนหลับทันที ควรลุกทำกิจกรรมต่างๆ
1.6.รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ก่อนเข้านอนหรือระหว่างกลางคืน เช่น ผลไม้โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ขนมปัง
1.7.หลังตื่นนอนตอนเช้า ถ้ามีอาการคลื่นไล้ ควรรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่ายทันที เช่น ขนมปังกรอบ ข้าวต้ม โจ๊ก
1.8.ควรนอนหลับและพักผ่อนอย่างเพียงพอ การตื่นนอนตอนเช้าควรค่อยๆ ลุกจากเตียงไม่ควรลุกขึ้นทันทีทันใด
การประเมินผล
มารดาสามารถบรรเทาอาการแพ้ท้องได้
มารดาสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น อาเจียนลดลง
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 2
มารดาเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาตั้งครรภ์ อายุ 38 ปี
มารดาตั้งครรภ์มีประวัติคนบิดา-มารดาเป็นเบาหวาน
วัตถุประสงค์
เพื่อให้การดูแลมารดาที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เกณฑ์การประเมิน
ผลการตรวจน้ำตาลในปัสสาวะเป็น Negative
GCT < 140 mg/dL
OGTT <95 , <180 , <155 , <140 mg/dL
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการควบคุมเบาหวาน เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน เช่น การแนะนำให้ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
2.แนะนำเกี่ยวกับการอออกกำลังกาย ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กลูโคสได้ใช้มากขึ้น และดึงอินซูลินดูดซึมได้เร็วขึ้น แต่ต้องระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อรู้สึกเหนื่อยต้องพัก
3.แนะนำให้มารดาตั้งครรภ์เห็นถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัด เพื่อประเมินอาการและให้การรักษาอย่างเหมาะสม
4.แนะนำภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้และสังเกตได้ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะแสบขัด เป็นต้น ถ้ามีอาการผิดปกติควรมารับการตรวจทันที เนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
5.แนะนำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดเนื่องจากขณะตั้งครรภ์มีโอกาสผิวแห้งและเกิดแผลได้ง่าย ทำให้อาจเกิดการติดเชื้อได้ ควรแช่เท้าในน้ำอุ่นวันละ 5 นาทีเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในอวัยวะส่วนปลาย
6.แนะนำให้นับการดิ้นของทารก หลังรับประทานอาหาร 3 มื้อ โดย 1 ชั่วโมง ถ้าได้ 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าปกติ แต่ถ้าน้อยกว่าให้นับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง ไม่ควรน้อยกว่า 4 8ครั้ง ถ้าน้อยกว่า 4 ครั้ง และหลังอาหาร 3 มื้อ รวมกันไม่ครบ 10 ครั้ง แสดงว่าทารกมีการดิ้นผิดปกติควรมาพบแพทย์
การประเมินผล
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
ดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ได้อย่างเหมาะสม
ไตรมาสที่สาม (28-42 wks.)
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 1
มารดาเสี่ยงต่อการมีภาวะซีด
ข้อมูลสนับสนุน
มารดามีการตั้งครรภ์แฝด
Hb : 11.7 g/dL
Hct : 33.9 %
วัตถุประสงค์
เพื่อให้การดูแลมารดาที่มีภาวะซีด
เกณฑ์การประเมิน
มารดาทราบวิธีการรับประทานอาหารสำหรับมารดาที่มีภาวะซีด
ทารกไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากภาวะซีดของมารดา
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำให้มารดารับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ ม้าม ไข่
2.แนะนำให้มารดารับประทานยา Ferrous sulfate เพื่อช่วยในการเสริมธาตุเหล็กแก่ร่างกาย โดยการรับประทานควบคู่กับวิตมินซีเพื่อเสริมการดูดซึมธาตุเหล็ก
3.แนะนำมารดาให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยนอนอย่างน้อย 10 ชั่วโมงในตอนกลางคืน และนอนพักครึ่งชั่วโมงหลังอาหาร และแนะนำให้นอนตะแคงเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังรกได้ดียิ่งขึ้น
4.ประเมิน สภาพทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เช่น การชั่งน้ำหนักของมารดาเพื่อประเมินน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ดูความสูงของยอดมดลูกเพื่อประเมินการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ การแนะนำมารดาให้ สังเกตและบันทึกการดิ้นของทารกในครรภ์ การฟังเสียงหัวใจทารกและอาจพิจารณาการตรวจพิเศษอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
การประเมินผล
มารดาสามารถดูแลตนเองในภาวะซีดได้
ทารกไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากภาวะซีดของมารดา
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 2
ทารกมีโอกาสเกิดfetal distress เนื่องจากมารดามีภาวะ GDMA1
ข้อมูลสนับสนุน
มาดามีพยาธิสภาพของ GDMA1
วัตถุประสงค์
เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนของทารกที่เกิดจากพยาธิสภาพGDMA1ของมารดา
เกณฑ์การประเมิน
อัตราการเต้นของหัวใจทารกอยู่ในเกณฑ์ 110-160 ครั้ง/นาที
ผล NST เป็น reactive
U/S พบ AFI 5-25 cm
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำมารดาสังเกตการดิ้นของทารก
2.แนะนำให้มารดานอนตะแคงเพื่อให้เลือไปเลี้ยงทารกได้ดีขึ้น
3.แนะนำให้มารดาสังเกตอาการ คลื่นไส้ อาเจียน อึดอัด หายใจลำบาก
4.แนะนำให้มาดามา NST อย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์
5.ประเมินสภาพทารกด้วยเครื่อง Fetal monitor เพื่อประเมินลักษณะการเต้นของหัวมจที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง
การประเมินผล
ผล U/S AFI Twin A = 5.4 cm
ผล AFI Twin B = 4.2 cm
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 1
มารดามีภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากกระบังลมถูกเบียดจากการตั้งครรภ์แฝด
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาบอกว่าเหนื่อย หายใจไม่ค่อยออก
มารดาตั้งครรภ์แฝด
วัตถุประสงค์
เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการตั้งครรภ์แฝด
เกณฑ์การประเมิน
มารดาไม่มีอาการหายใจหอบเหนื่อย
อัตราการหายใจ 20-22 ครั้ง/นาที
มารดาทราบวิธีในการช่วยบรรเทาอาการหอบเหนื่อย
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินการหายใจของมารดา ว่ามีอาการหายใจหอบเหนื่อยหรือไม่ ปรับท่าทางการนอนของมารดาโดยการให้นอนหัวสูงตะแคงซ้าย เพื่อให้กระบังลมหย่อนตัว ขนาดของทรวงอกมากขึ้น นอกจากช่วยในเรื่องการหายใจ ยังช่วยให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น น้ำออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น 2.ประเมินการเต้นหัวใจของทารก เพื่อดูภาวะการขาดออกซิเจนของทารก
3.แนะนำให้มารดาลดการทำงานหนักเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
การประเมินผล
มารดาตั้งครรภ์แฝดไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน
อัตราการหายใจของมารดาอยู่ที่ 20-22 ครั้ง/นาที
8.การแนะนำมารดาก่อนกลับบ้าน
แนะนำให้นับการดิ้นของทารก หลังรับประทานอาหาร 3 มื้อ โดย 1 ชั่วโมง ถ้าได้ 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าปกติ แต่ถ้าน้อยกว่าให้นับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง ไม่ควรน้อยกว่า 4 8ครั้ง ถ้าน้อยกว่า 4 ครั้ง และหลังอาหาร 3 มื้อ รวมกันไม่ครบ 10 ครั้ง แสดงว่าทารกมีการดิ้นผิดปกติ
แนะนำให้มารดานอนหัวสูงตะแคงซ้าย เพื่อให้กระบังลมหย่อนตัว ขนาดของทรวงอกมากขึ้นเพื่อช่วยในเรื่องการหายใจ
แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการควบคุมเบาหวาน เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน เช่น การแนะนำให้ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง