Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) - Coggle Diagram
ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)
ความหมาย
โรคซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่สมอง หรือปัญหาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีอาจเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนได้ ผู้ป่วยไข้สมองอักเสบจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ เพราะนอกจากจะส่งผลต่อตัวผู้ป่วยเองแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวและคนรอบข้างด้วย
อาการไข้สมองอักเสบ
อาการเบื้องต้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายเป็นโรคหวัด ได้แก่
อ่อนแรง มีไข้สูง ปวดศีรษะ
ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
มีผื่นหรือตุ่มน้ำพองใสขึ้นที่ผิวหนัง
ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนหากมีอาการรุนแรงขึ้น ดังนี้
สูญเสียการรับรู้เรื่องบุคคล เวลาและสถานที่ (Disorientation)
เคลื่อนไหวช้าลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือร่างกายบางส่วนเริ่มไร้ความรู้สึก
มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ร้อนรน กระวนกระวาย เห็นภาพหลอน เป็นต้น
ปวดศีรษะอย่างรุนแรง มีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
มีปัญหาด้านการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพซ้อน หรือการขยับลูกตา ไวต่อแสงจ้า
มีปัญหาด้านการได้ยินและการพูด พูดลำบาก
อ่อนเพลีย ง่วงนอน เซื่องซึม คอเคล็ด
ชัก หมดสติ ไม่รู้สึกตัว เรียกไม่ตื่น
หรือพบอาการเหล่านี้ในผู้ป่วยไข้สมองอักเสบที่เป็นเด็กและทารก
กระหม่อมทารกโป่งตึง
คลื่นไส้และอาเจียน
ร่างกายแข็งเกร็ง หรือขยับตัวไม่ได้
อารมณ์ฉุนเฉียว งอแง ร้องไห้ไม่หยุด
ไม่ยอมรับประทานอาหาร ซึม ไม่ตื่นตัว
การวินิจฉัยไข้สมองอักเสบ
การตรวจในรูปแบบอื่น ๆ เช่น
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือการตรวจอีอีจี (Electroencephalogram) ใช้ขั้วไฟฟ้าขนาดเล็กวางแนบหนังศีรษะซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ผิดปกติของสมอง
การผ่าตัดส่งชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา (Brain Biopsy) โดยการนำตัวอย่างเนื้อเยื่อสมองไปทดสอบการติดเชื้อ แพทย์จะตรวจด้วยวิธีนี้ในกรณีที่ไม่สามารถระบุสาเหตุของอาการสมองบวมได้ด้วยวิธีอื่น แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะจะทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง
การตรวจเลือด ปัสสาวะ หรือของเหลวอื่นในร่างกาย
การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) ผู้ป่วยต้องนอนตะแคงแล้วกอดเข่าเอาไว้ จากนั้นแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณหลังส่วนล่าง แล้วสอดเข็มเข้าไปที่กระดูกสันหลังส่วนล่างเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำไขสันหลัง ตรวจหาว่ามีลักษณะการติดเชื้อหรือการอักเสบหรือไม่
การตรวจสมอง ทำได้ 2 วิธี คือ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือทีซีสแกน (X-Ray Computerized Tomography) หรือการทำเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging) โดยการจำลองภาพขึ้นเพื่อดูลักษณะทางกายภาพและโครงสร้างสมองของผู้ป่วย เพื่อตรวจดูว่ามีลักษณะสมองอักเสบหรือมีลักษณะโรคทางสมองอื่น ๆ หรือไม่ เช่น เส้นเลือดในสมองแตก เนื้องอกในสมอง หรืออาการบวมในสมอง
สาเหตุของไข้สมองอักเสบ
สมองอักเสบจากการติดเชื้อโดยตรง (Primary Encephalitis) เมื่อสมองติดเชื้อไวรัสหรือเชื้ออื่น ๆ เชื้อจะทำให้สมองอักเสบและทำลายสมองโดยตรง ซึ่งมีทั้งสมองติดเชื้อเฉพาะที่ หรือเชื้อแพร่กระจายไปทั่ว หรือเชื้อโรคที่แฝงตัวอยู่ถูกกระตุ้น สมองอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกัน (Secondary (Postinfectious) Encephalitis) คืออาการอักเสบที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ผิดพลาดในการต่อสู้กับเชื้อในร่างกาย โดยแทนที่จะทำลายเชื้อเหล่านั้น กลับทำลายเซลล์สมองไปด้วย มักเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อครั้งแรก
ส่วนใหญ่จะไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค แต่เชื้อที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุของไข้สมองอักเสบ ได้แก่
ไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) แบ่งได้ 2 ประเภท คือไวรัสเริม HSV-1 เป็นตัวการทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อนี้มีไข้ เป็นแผล หรือตุ่มใสบริเวณปาก และไวรัสเริม HSV-2 เป็นตัวการทำให้เกิดแผลเริมบริเวณอวัยวะเพศ ไข้สมองอักเสบที่เกิดจากไวรัสเริม HSV-1 พบได้น้อยแต่ทำให้สมองเสียหายและเสียชีวิตได้ ไวรัสเริมชนิดอื่น ๆ เช่น ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) เป็นสาเหตุของโรคโมโนนิวคลิโอสิส (Infectious Momonucleosis) และไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ หรือไวรัสวีซีววี (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด
เอนเทอร์โรไวรัส (Enteroviruses) รวมถึงโปลิโอไวรัส (Poliovirus) และค็อกแซกกีไวรัส (Coxsackievirus) เป็นสาเหตุของอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ตาแดงอักเสบ และปวดท้อง
เชื้อไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ (Mosquito-Borne Viruses) เช่น ไข้เลือดออก นอกจากนี้ ยังมียุงที่เป็นพาหะนำไวรัสจากสัตว์มาสู่คน เช่น นก กระรอก ม้า เป็นต้น ทำให้ติดเชื้อหลังโดนยุงที่เป็นพาหะกัดในช่วง 2-3 สัปดาห์
ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Virus) โดนสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้ากัด
การติดเชื้อที่พบมากในวัยเด็ก เช่น โรคคางทูมจากไวรัสมัมส์ (Mumps) โรคหัดจากไวรัสมีเซิลส์ (Measles) หรือโรคหัดเยอรมันจากไวรัสรูเบลลา (Rubella) ในปัจจุบันมีการฉีดวัคซีน MMR เพื่อป้องกันการเกิดโรคคางทูม หัด และหัดเยอรมันในเด็กอายุ 9-12 เดือน และ 4-6 ปี ทำให้พบผู้ป่วยไข้สมองอักเสบจากการติดเชื้อเหล่านี้น้อยลง
การรักษา
การรักษาเพิ่มเติม
การให้สารน้ำ (Intravenous Fluids) เพื่อรักษาปริมาณน้ำและระดับแร่ธาตุในร่างกายให้เหมาะสม
การใช้ยาแก้อักเสบ เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อช่วยลดความดันและอาการบวมในกระโหลกศีรษะ
การใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อช่วยการทำงานของปอด
การใช้ยากันชัก เช่น ยาเฟนิโทอิน (Phenytoin) เพื่อป้องกันหรือระงับอาการชัก
การฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วย
การบำบัดเกี่ยวกับการพูด เพื่อช่วยฟื้นฟูการควบคุมกล้ามเนื้อ ที่ใช้ในการพูดและการสื่อสาร
การทำกิจกรรมบำบัด เพื่อพัฒนาทักษะและนำใช้ในชีวิตประจำวัน
การทำกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่่น ความสมดุล รวมไปถึงพัฒนาการเคลื่อนไหวของร่างกาย
การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่สมอง โดยนักประสาทจิตวิทยา (Neuropsychologist)
การทำจิตบำบัด เพื่อเรียนรู้วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหา สร้างพฤติกรรมใหม่ที่จะช่วยพัฒนาอารมณ์ หรือในบางกรณี อาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการใช้ยา
รักษาตามสาเหตุของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย
การบำบัดด้วยอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin Therapy)
เป็นการรักษาโดยให้ยาที่ช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การฉีดสเตียรอยด์ ใช้ในกรณีที่มีสาเหตุเกี่ยวกับ
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การฟอกเลือด (Plasmapheresis) เพื่อกำจัดพิษออกจากร่างกาย
หรือเชื้อที่แฝงอยู่ในเลือดซึ่งจะไปทำลายสมอง วิธีนี้ใช้ในกรณีที่รักษาด้วยการบำบัดด้วยอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin therapy) แล้วอาการไม่ดีขึ้น
การใช้ยาต้านไวรัส ใช้ในกรณีที่มีสาเหตุจากไวรัสเริม (Herpes simplex virus) หรือไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ หรือไวรัสวีซีววี (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด
การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อรา ซึ่งจะใช้ในกรณีที่มีสาเหตุจาก
การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือป้องกันเชื้อรา
ภาวะแทรกซ้อนของไข้สมองอักเสบ
ปัญหาด้านความจำ
ปัญหาด้านบุคลิกภาพ หรือพฤติกรรมเปลี่ยน
ปัญหาด้านการพูดและการใช้ภาษา
ปัญหาด้านการกลืน
ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ เช่น เครียด วิตก ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น
ปัญหาด้านสมาธิ ความสนใจ การวางแผน การแก้ปัญหา
ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว การทรงตัว การเกร็งของกล้ามเนื้อ ความพิการ การเป็นอัมพาต
อาการชัก
การป้องกัน
มีสุขอนามัยที่ดี ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่า โดยเฉพาะหลังเสร็จธุระในห้องน้ำและก่อนมื้ออาหาร
ไม่ใช้ช้อน ส้อม หรือแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น
ฉีดวัคซีนเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ที่อัตราเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของเกิดการติดเชื้อ เช่น
รับวัคซีนโรคไข้สมองอักเสบญี่ปุ่น ก่อนการเดินทางไปยังประเทศในแถบเอเชีย
รับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า ก่อนเดินทางไปยังประเทศที่มีข้อจำกัดด้านการแพทย์และการรักษา
รับวัคซีนโรคไข้สมองอักเสบจากเห็บ ก่อนเดินทางไปยังประเทศในแถบเอเชียและยุโรป (ยกเว้นประเทศอังกฤษ)