Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Previous preterm , มารดาเป็น DM ,Hb E trait (สามี,ภรรยา) G2P1001 GA …

- - - - ข้อมูลการตั้งครรภ์
        
        •G2P1001
        •GA 15 wks 2 day by Date
        •LMP (Last menstrual period) : 19 ธันวาคม 2563
        •EDC (Expected date of confinement) by date 25 กันยายน 2564
        •ฝากครรภ์ครั้งแรก GA 12 wks 3 day by date ที่โรงพยาบาลตำรวจ
        •น้ำหนักตัวก่อนการตั้งครรภ์ 60 กิโลกรัม ส่วนสูง 163 ซม. BMI 22.58 kg/m2 ปกติ
        
        ประวัติการตั้งครรภ์
        
        •19 กย 2556 : Preg 36 wks NL เพศหญิง น้ำหนัก 2,500 กรัม
        ที่ โรงพยาบาลพังโคน จ.สกลนคร ไม่มีภาวะแทรกซ้อน แข็งแรงดี
        
        ประวัติการตั้งครรภ์ครั้งนี้
        
        •ประจำเดือนขาด 2 เดือน รู้สึกคัดตึงเต้านม ตรวจครรภ์เอง พบว่าตนเองตั้งท้องจึงมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล
        •ฝากครรภ์ครั้งแรกที่ รพ.ตำรวจ GA 12^3 wk by date
        •ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจถึงปัจจุบันจำนวน 3 ครั้ง
        
        1 more item...
  - - - ยาที่ผู้ป่วยได้รับ
        
        ไม่ปรากฎข้อมูล
- - - - การดู
        •หน้าท้องมี Linea nigra
        •striae gravidarum สีเงิน
        •หน้าท้องมีไขมันเล็กน้อย
      - การคลำ (Leopold’s maneuver)
        •High fundus : 2/3 >PS
      - การฟัง
        FHS : 142 bpm
  - - - ไม่ซีด มีฟันผุ คอไม่มีThyroidบวมโต ขาไม่บวม
- - - - EA ที่มีปริมาณ Hb E มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 25 ซึ่งโอกาสจะมี α-thalassemia 1 ร่วมน้อย แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มียีนแฝง α-thalassemia 2 ร่วมด้วย
        กรณีผลการตรวจเป็น EA ที่มี Hb E มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 25 จึงแปลผลเป็น Hb E trait
        ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีโอกาสให้กำเนิดบุตรเป็นโรค α-thalassemia ชนิดรุนแรง (homozygous α-thalassemia 1 หรือ Hb bart’s hydrops fetalis) แต่ก็มีโอกาสให้กำเนิดบุตรที่เป็นโรค α-thalassemia ชนิดอื่นที่มีอาการรุนแรงปานกลางได้ เช่น Hb H disease หรือ EA bart’s disease เป็นต้น
- - - - โรคที่เกิดจากความผิดปกติของหน่อยพันธุกรรมหรือยีนในการสร้างเม็ดเลือดแดง
        
        RBCของPt.เกิดพยาธิสภาพ ขาดความยืดหยุ่น
        
        มีความผิดปกติในการสร้างฮีโมโกบิน ทำให้เม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ
        
        ถูกม้ามทำลาย นำไปสู่ภาวะโลหิตจางหรือภาวะซีด(anemia) และทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนไปส่วนต่างๆของร่างกายได้น้อยลง
      - มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal recessive gene
    - - 2 กลุ่ม
        
        1.อัลฟ่าธาลัสซีเมีย
        
        เกิดจากการสร้างสาย α-globin gene ซึ่งอยู่ในโครโมโซมคู่ที่ 16 ลดลงหรือไม่สร้าง
        แบ่งเป็น 2 ชนิด
        
        Hb H disease
        α-thalassemia 1 trait (α0-thalassemia) เป็นพาหะ ผู้ป่วยอาจมีภาวะซีดเล็กน้อย หรือ ไม่ซีดเลย ภาวะนี้เกิดจาก α-globin gene ขาดหายไป 2 gene (genotype เป็น - - | + +)
        
        Hb Bart's hydrops fetalis
        α-thalassemia 2 trait (α1-thalassemia) เป็นพาหะ ผู้ป่วยไม่แสดงลักษณะผิดปกติ ภาวะนี้เกิดจาก α-globin gene ขาดหายไป 1 gene (genotype เป็น - + | + +)
        
        2.เบต้าธาลัสซีเมีย
        
        เกิดจากการสร้างสาย β-gloving ซึ่งอยู่บนโครโมโซมคู่ที่ 11 ลดลงหรือไม่สร้างเลย
        แบ่งเป็น 2 ชนิด
        
        β thalassemia major หรือ homozygous β thalassemia disease
        ส่วนใหญ่มี genotype เป็น β0/β0 ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการซีดเร็วภายในอายุ 2 ปี อาการอื่น ๆ ที่พบได้ คือ ตับม้ามโต รูปโครงหน้าเปลี่ยน (thalassemia face) การเจริญเติบโตไม่สมอายุ หากไม่ได้รับเลือดจะมีอาการซีดมาก และหัวใจล้มเหลว แต่ในกลุ่มที่มี genotype β+/β+ มักจะมีอาการไม่รุนแรง
        
        β thalasemia/Hb E disease
        มี genotype เป็น β0/βE หรือ β+/βE อาการทางคลินิกพบได้ตั้งแต่ อาการรุนแรงมาก ปานกลาง และน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของ mutation
        
        Hb E trait
        
        เกิดจากความผิดปกติของเบต้าโกลบีนยีน คือ มีการเปลี่ยนของ glutamic acid เป็น lysine ทำให้มีการสังเคราะห์ฮีโมโกบินผิดปกติ
        
        จัดเป็น β+ - thalassemia
        
        มักไม่พบความผิดปกติทางคลินิก แต่หากเกิดร่วมกับ β-thalassemia จะทวีความรุนแรงของโรค
    - - Thalassemia major (Transfusion-dependent thalassemia: TDT)
        คือ กลุ่มที่มีอาการรุนแรงจำเป็นต้องได้เลือดเป็นประจำ แต่หากให้การรักษาระดับ Hb ให้อยู่ระหว่าง 9.5-10.5 g/dl ร่วมกับให้ยาขับธาตุเหล็กอย่างสม่ำเสมอ สามารถมีชีวิตอยู่ได้มากกว่า 40 ปี
      - Thalassemia intermedia (Non-transfusion-dependent thalassemia: NTDT)
        คือ กลุ่มที่มีอาการรุนแรงน้อยถึงปานกลาง โดยในภาวะปกติจะมี Hb 7-10 g/dl เมื่อมี stress หรือภาวะติดเชื้อจะทำให้ซีดลง อาจได้รับเลือดเป็นบางครั้ง
    - - ผลต่อสตรี
        
        สตรีมีครรภ์ที่มีภาวะซีดมากเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย รกลอกตัวก่อนกำหนด และในรายที่มีทารกเป็นHb Bart‘S hydros fetalis ต้องเฝ้าระวังการเกิดภาวะ preeclampsia ซึ่งมักมีอาการรุนแรง คลอดยากจากภาวะทารกบวมน้ำ เสี่ยงต่อการคลอดติดขัดหรือตกเลือดหลังคลอด เพราะรกมีขนาดใหญ่ และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
      - ผลต่อทารก
        
        โรคสามารถถ่ายทอดสู่ทารกได้ ทารกจะมีภาวะการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ น้ำคร่ำน้อย คลอดก่อนกำหนด เกิดภาวะ fetal distress ได้ง่าย อาจพิการหรือเสียชีวิตในครรภ์
    - - การซักประวัติ
        
        ประวัติความเจ็บป่วย อาการและอาการแสดงของโรค เช่น ซีด อ่อนเพลียหรือเหนื่อย ประวัติพันธุกรรมในครอบครัว เป็นต้น
      - การตรวจร่างกาย
        
        อาจตรวจพบภาวะซีดหรือผิวคล้ำ ตับโต ม้ามโต มีใบหน้าแบบธาลัสซีเรียหรือตรวจครรภ์พบว่ามีขนาดของครรภ์มากกว่าอายุครรภ์จริง จากทารกในครรภ์มีภาวะ Hydrops fetalis
      - การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        
        การตรวจคัดกรอง
        
        1.ค่าดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indices) ได้แก่ mean corpuscular volume (MCV) ค่าปกติ 80-100 femtolitres (1L) และ mean corpuscular hemogiobin (MCH) ค่าปกติ คือ ตั้งแต่ 27 pg ขึ้นไป โดยรายที่มียีนแฝง ค่า MCV และ MCH จะต่ำกว่าปกติ
        
        MCV 82.9 fL
        
        การตรวจ erythrocyte osmotic fragility test (EOFT) เป็นการตรวจวัดปริมาณการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง เมื่ออยู่ในสารละลายน้ำเกลือเข้มข้นร้อยละ 0.36 ในเวลา 2 นาที รายที่มียีนแฝง เม็ดเลือดแดงจะแตกตัวช้ากว่าปกติ โดยถ้าแตกตัวน้อยกว่าร้อยละ 60 ถือว่าให้ผลบวก (positive) สามารถใช้คัดกรองพาหะของ alpha-thal1 และ Beta-thal ได้
        
        การทดสอบ dichorophenol indophenol precipitation (DCIP) test โดยสี dichorophenol indopheno มีคุณสมบัติทำให้โมเลกุลของฮีโมโกลบินที่ไม่เสถียรสลายตัวและตกตะกอน การแปลผลดูจากสีของสารละลายและการตกตะกอน เช่น สารละลายขุ่นสีฟ้าอมเขียวไม่ตกตะกอนหรือพบตะกอนกระจายทั่วไป บ่งชี้ภาวะ Hb E heterozygous, β-thal/HbE หรือ Hb H disease แต่ถ้าสารละลายซุ่นใสสีฟ้าอมเขียว ตะกอนบางส่วนหรือทั้งหมดนอนกันบ่งชี้ภาวะ Hb E homozygous เป็นต้น สามารถใช้คัดกรองภาวะ HbE และ Hb H disease
        
        Hb E screening test (DCIP) : positive
        
        การตรวจยืนยันชนิดของฮีโมโกลบิน
        
        Hb typing
        
        โดยวิธี hemoglobin electrophoresis เป็นการตรวจดูตำแหน่งการเคลื่อนที่ของสนามไฟฟ้า โดย α-thalassemia trait จะพบชนิดของฮีโมโกลบิน เป็น Hb A2 และ Nb A เท่ากับคนปกติ แต่ค่า MCV และ MCH ลดลง แต่ใน β-thalassemia Trait จะพบ HbA2 มากกว่าร้อยละ 3.5
        
        interprete : Hb E trait
    - - 1.ควรตรวจคัดกรองผู้ป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย และให้คำปรึกษาด้านพันธุกรรมมีภาวะเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นธาลัสซีเมีย
      - 2.การวินิจฉัยก่อนคลอด (prenatal diagnosis) ในรายที่มีภาวะเสี่ยง เช่น การเก็บชิ้นเนื้อรกส่งตรวจ (Chorionic vili sampling: CVS) การเจาะน้ำคร่ำ (amniocentesis) การเก็บตัวอย่างเลือดทารกในครรภ์ (cordocentasis) การเจาะเลือดจากสายสะดือทารก (fetal blood sampling) ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) เป็นต้น
      - รักษาระดับฮีโมโกลบินให้อยู่ระหว่าง 7-10 g/dL และให้ packed red cell ในรายที่ซีดมาก
      - ในรายที่มีภาวะเหล็กเกินในร่างกาย ควรให้ยาขับเหล็ก ยาที่นิยมใช้ คือ desferrioxamine ไม่เกิน 6 mg ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง จะช่วยขับเหล็กได้ประมาณ 40-180 mg/day
      - 5.ติดตามภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์และเฝ้าระวังภาวะการเจริญเติบโตช้าโดยการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) การทำ NST, CST หรือ BPP และการให้นับลูกดิ้น
      - ป้องกันและรักษาภาวะติดเชื้อ ซึ่งความต้านต่อเชื้อโรคลดลงจากภาวะซีดจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
      - เลือกวิธีคลอดที่ปลอดภัย และมีการเสียเลือดน้อยที่สุด เช่น การคลอดเองทางช่องคลอดส่วนสูติศาสตร์หัตถการช่วยคลอดและการผ่าตัดคลอดทารกทางหน้าท้องจะทำเมื่อมีข้อบ่งขี้เท่านั้น
      - 8.รายที่ทารกมีภาวะบวมน้ำควรให้ยุติการตั้งครรภ์โดยเร็ว เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา
      - ให้คำแนะนำเรื่องการคุมกำเนิดและให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
    - - Thalassemia major
        Hb 3-4 gm%
        
        อาการรุนแรงมาก ตาเหลือง ตับม้ามโต้ เจริญเติบโตช้า เสียชีวิต
        
        Hb bart’s hydrop fetalis
        
        β-thal major
        
        β-thal/HbE (บางส่วน)
      - Thalassemia intermedia
        Hb 6-8 gm%
        
        อาการปานกลาง ตาเหลือง ตับม้ามโต เจริญเติบโตช้า/ปกติ
        
        Hb H disease
        
        β-thal/ HbE (บางส่วน)
        
        Hb H disease / HbE trait
      - Thalassemia minor
        
        เป็นพาหะ ไม่มีอาการทางคลินิก ไม่จำเป็นต้องรักษา
        
        alpha-thal 1 trait
        
        Alpha-thal 2 trait
        
        Hb E-trait
        
        Hb 13.1
        
        β-thal trait
  - - - การคลอดที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 20 สัปดาห์ขึ้นไปจนถึงก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์
    - - สตรีตั้งครรภ์เคยมีประวัติการคลอดก่อนกำหนด
      - อายุของสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี หรือมากกว่า 30 ปี
      - มีภาวะแทรกซ้อนทางอายุรศาสตร์
        การติดเชื้อในร่างกาย
      - มีดัชนีมวลกายต่ำหรือสูง (ฺBMI < 18.5 kg/m2 หรือ มากกว่าหรือเท่ากับ 25 kg/m2)
      - เศรษฐานะทางสังคมไม่ดี การสูบบุหรี่ การใช้สารเสพติด การทำงานหนัก ภาวะเครียด
    - - เจ็บครรภ์ถี่ขึ้น มดลูกมีการหดรัดตัวอย่างสม่ำเสมอจนทำให้ปากมดลูกบางตัวและเปิดขยายตัว ปวดหลังหรือปวดเอว ปวดหน่วงท้อง ปวดหน่วงลงช่องคลอด หรืออาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย มีสิ่งคัดหลั่งออกทางช่องคลอด เช่น มูก มกเลือด น้ำเดิน
    - - การซักประวัติ
        
        ประวัติการคลอดก่อนกำหนดในครรภ์ก่อนๆ
        
        ประวัติในด้านข้อมูลส่วนบุคคล อาชีพ ลักษณะการทำงาน (บ่งบอกการนั่ง ยืน หรือเดิน) รายได้ ลักษณะที่อยู่อาศัย โรคประจำตัว การใช้ยาหรือสารเสพติด การสูบบุหรี่ของหญิงตั้งครรภ์และสมาชิกคนอื่นๆภายในครอบครัว
      - การวัดความยาวของปากมดลูก
        (Cervical length : CL)
        
        โดยสูติแพทย์จะนำเครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงมาใช้ในการตรวจวัดความยาวของปากมดลูกทางช่องคลอด (Transvaginal ultrasound : TVS)
        
        กรณีตรวจพบความยาวของปากมดลูกน้อยกว่า 25 mm ที่อายุครรภ์ 22-24 wks สตรีตั้งครรภ์จะได้รับการวินิจฉัยว่า มีภาวะปากมดลูกสั้น (short cervix) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดมากขึ้น
        
        ปกติความยาวของปากมดลูก 3-5 cm
    - - วัตถุประสงค์
        เพื่อช่วยให้สตรีตั้งครรภ์สามารถตั้งครรภ์ ได้จนครบกำหนดคลอด หรือคลอดในระยะเวลาที่เหมาะสม
        
        2 วิธี
        
        การใช้ยาโปรเจสเตอโรน (progesterone)
        
        เพื่อช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดโปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ ยับยั้งการบีบรัดตัวของมดลูก และมีความจำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์และช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกำหนด
        
        สามารถใช้ได้หลายรูปแบบ ได้แก่การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เหน็บทางช่องคลอดหรือแบบรับประทาน
        
        อาการข้างเคียง
        ที่อาจพบ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
        
        ความยาวของปากมดลูกสั้น (shortcervical length)น้อยกว่าหรือ เท่ากับ 25 มิลลิเมตร เมื่ออายุครรภ์16-24 สัปดาห์ สูติแพทย์จะพิจารณาให้ยาโปรเจสเตอโรนในรูปแบบ ของการเหน็บทางช่องคลอดทุกวัน จนกระทั่งอายุครรภ์ 36 สัปดาห์
        
        การเย็บผูกปากมดลูก (cervical cerclage)
        
        เป็นหัตถการที่ใช้ในการรักษาภาวะปากมดลูกหลวมโดยการเย็บผูกปากมดลูก ซึ่งเป็นหัตถการที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับปากมดลูก
- - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        -SD : หญิงตั้งครรภ์บอกว่า "ช่วงแรกก่อนมาฝากครรภ์มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ"
        -OD : ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Hb E trait
      - วัตถุประสงค์
        
        มีอาการสุขสบาย ไม่อ่อนเพลีย ไม่เหนื่อยง่าย
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        1.หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการดูแลตนเองได้
        2.หญิงตั้งครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง นอนพักกลางวัน 1-2 ชั่วโมง เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกาย ร่ายกายสุขสบาย
        
        2.ออกกำลังกาย แต่ไม่หักโหม ครั้งละ 15-30 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น การนำออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อต่างๆได้ดี
        
        3.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู เน้นอาหารโปรตีน เนื้อ นม ไข่ ผักสดใบเขียว เพื่อเสริมสร้างพลังงานและช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น
        
        4.แนะนำการตรวจครรภ์ตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ซีด อ่อนเพลียมาก และติดตามประเมินผลตรวจเลือดเพิ่มเติม
      - กาารประเมินผล
        
        -หญิงตั้งครรภ์เข้าใจและบอกวิธีการดูแลตนเองได้
        
        -หญิงตั้งครรภ์มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อาการอ่อนเพลียและเหนื่อยลดลง สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  - - - ข้อมูสนับสนุน
        
        ครรภ์แรกมีประวัติการคลอดก่อนกำหนด
        GA 36 wks มาด้วยอาการมีน้ำเดิน ปากมดลูกเปิด
      - วัตถุประสงค์
        
        มารดาไม่เกิดการคลอดก่อนกำหนด
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        การส่งเสริมการปรับตัวเพื่อให้เกิดการยอมรับ การตั้งครรภ์ซึ่งสตรีตั้งครรภ์บางรายอาจจะรู้สึกเป็น ทุกข์กังวล เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการตั้งครรภ์ครั้งก่อน
        
        อธิบายถึงคำจำกัดความของการคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์ที่สามารถคลอดได้ สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด พร้อมเน้นย้ำถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด คือ เคยมีประวัติการคลอดก่อนกำหนดมาก่อน
        
        การรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไป ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะในระยะนี้ต่อมใต้ผิวหนังจะมีการทำงานมากขึ้นมีเหงื่อออกมาก และควรทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยการทำความสะอาดทุกครั้งหลังการขับถ่ายและเช็ดให้แห้ง ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอวันละ8-10แก้ว
        
        ควรสังเกตตกขาวที่มีลักษณะผิดปกติเช่น มีปริมาณมากกว่าปกติ มีสีกลิ่นเปลี่ยนไปหรือมีคันช่องคลอดร่วมด้วย ควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาการติดเชื้อในช่องคลอด
        
        การดูแลสุขภาพช่องปากควรแปรงฟันอย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง หรือหลังมื้ออาหารทุกมื้อ และควรพบทันตแพทย์ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์หากพบฟันผุหรือมีเหงือกอักเสบจะได้ทำการรักษาตั้งแต่ระยะแรก
        
        แนะนำการเพิ่มน้ำหนักตัวในขณะตั้งครรภ์ที่เหมาะสม เช่นสตรีตั้งครรภ์ที่มีดัชนีมวลกายต่ำกว่าปกติ (BMI< 18.5 kg/m2 )ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 12.5-18 กิโลกรัม ส่วนสตรีตั้งครรภ์ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่าปกติ(BMI ≥ 25 kg/m2 ) ควรมีน้ำหนักตัว เพิ่มขึ้นประมาณ 7-11.5 กิโลกรัม เท่านั้น
        
        การรับประทานยาบำรุงเลือด ควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอ โดยควรเว้นระยะจากการดื่มนม หรือ แคลเซียม เพื่อให้ธาตุเหล็กถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และควรเลือกรับประทานอาหารที่เสริมธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ถั่ว และผักใบเขียว หากสตรีตั้งครรภ์มีภาวะโลหิตจางก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดและทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อยอีกด้วย
        
        สตรีตั้งครรภ์ควรงดการดื่มสุรา การสูบบุหรี่ หรือสารเสพติดอื่นๆ เพราะจะมีผลทำให้ทารกในครรภ์มี น้ำหนักน้อยหรืออาจเกิดการคลอดก่อนกำหนดได้ รวมถึงสตรีตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่ (second hand smoker) ทั้งในบ้านที่ทำงาน และแหล่งชุมชน
        
        การทำงานสามารถทำงานได้ตามปกติถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน การทำงานที่ต้องนั่งทำงานนานๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ และควรนั่งโดยมีที่วางเท้าเพื่อยกขาสูง หลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องยืนนานๆการยกของหนัก หรือการขึ้นลงบันไดบ่อย ซึ่งอาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้อ
        
        เพศสัมพันธ์การตั้งครรภ์ปกติไม่มีข้อห้าม แต่ถ้าสตรีตั้งครรภ์มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์เพราะการกระตุ้นบริเวณหัวนมหรืออวัยวะเพศจะกระตุ้นการหลั่งของสารออกซิโทซินทำให้มดลูกมีการหดรัดตัว และสารพรอสตาแกลนดินในน้ำอสุจิจะกระตุ้นให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูกและทำให้ปากมดลูกนุ่ม
        
        การผ่อนคลาย สตรีตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยง สถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดควรหาวิธีการที่ช่วย ให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิการ ฟังเพลงเบาๆ การอ่านหนังสือ เป็นต้น
        
        การมาตรวจตามนัดทุกครั้ง สตรีตั้งครรภ์ จะได้รับการประเมินสภาพร่างกายทั่วไป ชั่งน้ำหนัก วัด ความดันโลหิต ตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาไข่ขาวและน้ำตาล หากผลการตรวจเป็นบวก แพทย์อาจให้มีการ ตรวจวินิจฉัยเพิ่มขึ้นและในกรณีที่สตรีตั้งครรภ์มีอาการ ผิดปกติแพทย์จะมีการนัดตรวจที่บ่อยขึ้น
      - ประเมินผลการพยาบาล
        
        ไม่เกิดการคลอดก่อนกำหนด สามารถดูแลการตั้งครรภ์จนอายุครรภ์ครบกำหนด คือ มากกว่า 37 สัปดาห์
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        อายุครรภ์มากกว่า 37 สัปดาห์
        
        ไม่มีอาการเจ็บครรภ์คลอดจริง มดลูกไม่หดรัดตัว ทุก 10 นาที (น้อยกว่า 3 ครั้งใน30 นาที)หดรัดตัวครั้งหนึ่งไม่เกิน 30 นาที ปากมดลูกไม่เปิดเพิ่มขึ้น ไม่มีสิ่งขับหลั่ง เช่นมูกปนเลือด น้ำคร่ำ ออกจากช่องคลอด
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        OD :
        มารดา
        
        Hb E screen : Positive
        
        Hb typing : Hb E trait
      - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของธาลัสซีเมียของทารกในครรภ์
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        ผลตรวจ MCV > 80 fL ของสามี
        
        ผลตรวจ DCIP ของสามี Negative
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ซักประวัติเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดธาลัสซีเมียของทารกในครรภ์ เช่น โรคประจำตัว ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ประวัติการตั้งครรภ์ที่ผ่านมา เป็นต้น
        
        บอกให้ทราบเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของทารกในครรภ์ และแนวทางในการคัดกรองธาลัสซีเมีย
        
        บอกผลการตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย จากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        
        แนะนำให้สามีของหญิงตั้งครรภ์มาตรวจเลือดเพื่อคัดกรองความเสี่ยงธาลัสซีเมียของทารกในครรภ์มีโอกาสเป็นโรคหรือไม่
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นอาหารโปรตีน และอาหารที่มีกรดโฟลิค เช่น ผักใบเขียว ไข่ นม นมถั่วเหลืองเพื่อชดเชยเม็ดเลือดแดงที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันความผิดปกติของท่อระบบประสาท ช่วยป้องกันและลดปัญหาความผิดปกติของระบบสมอง และระบบประสาทของทารกในครรภ์ รวมถึงภาวะไขสันหลังไม่ปิด และเสริมสร้างพลังงานสำหรับสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัด และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ซีด เหนื่อย อ่อนเพลียมาก และติดตามประเมินผลกาตรวจเลือดของสามีเพิ่มเติม
      - ประเมินผลการพยาบาล
        
        -ผลตรวจของสามี
        MCV = 81.8
        Hb E scree = Positive
        Hb typing = Hb E trait
        -ไม่พบความเสี่ยงของ major Thalassemia
- - - - ควรได้รับพลังงานเพิ่มกว่าขณะไม่ตั้งครรภ์ 300 kcal/day คือ ควรได้รับเพิ่มจาก 2,200 Kcal/day เป็น 2,500 Kcal/day
        
        โปรตีน : ไข่ นม เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง ควรได้รับไข่ไก่วันละ 1-2 ฟอง นมสดวันละ 1-2 แก้ว อาหารทะเล อาหารประเภทเต้าหู้และนมถั่วเหลือง
        
        อาหารให้พลังงาน : ข้าว แป้ง น้ำตาล ไขมันและน้ำมัน ไม่ควรรับประทานอาหารไขมันจากสัตว์ เนื่องจากมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ยกเว้น ไขมันปลาจะเป็นแหล่งโปรตีนสูงและกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ
        
        อาหารให้วิตามิน เกลือแร่ : ส้ม มะละกอ กล้วย สลับกันไป จะได้ใยอาหารเพื่อประโยชน์ในการขับถ่ายอุจจาระ เกลือแร่ที่สำคัญ ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน
        
        ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6-8 แก้ว
        
        รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อป้องกันท้องผูก
        
        รับประทานอาหารธาตุเหล็ก เพื่อป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia)
    - - นอนพักผ่อนร่วมกับการยกขาสูงในเวลากลางวัน โดยเอาหมอนซ้อนกันหนุนปลายเท้า
      - ท่านอนที่เหมาะสมคือท่านอนตะแคง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักมดลูกกดทับเส้นเลือด inferior vena cava abdominal aorta และ illiac vein
    - - ออกกำลังกายวันละไม่เกิน 30 นาที ไม่หักโหม หรือใช้แรงมากในการออกกำลังกาย
    - - ฟันผุควรได้รับการอุดฟันและได้รับการรักษา ถ้ามีการอักเสบเรื้อรังอาจจะกระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเชื้อจะกระจายทางกระแสโลหิต
    - - ผิวหนังหน้าท้องและเต้านมอาจจะแตก(striae gravidarum) ซึ่งถ้าผิวแห้งจะทําให้บริเวณนี้คันมาก ควร ให้ทาผิวด้วย baby oil หรือ lanolin หรืออาจใช้น้ํามันมะกอกก็ได้แต่อาจติดเปื้อนเสื้อผ้า ซักไม่ออก
    - - -เลือดออกทางช่องคลอด สาเหตุการมีเลือดออกในระยะนี้อาจเกิดจากภาวะรกเกาะต่ำ
      - -ปวดท้องเป็นพักๆ อาจเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ จากอาการปัสสาวะบ่อย หรือแสบขัด
      - -อาการตกขาวผิดปกติ เช่น สีเปลี่ยนไป คัน หรือมีกลิ่น
    - - สตรีตั้งครรภ์เคยมีประวัติการคลอดก่อนกำหนด
        
        เจ็บครรภ์ถี่ขึ้น มดลูกมีการหดรัดตัวอย่างสม่ำเสมอจนทำให้ปากมดลูกบางตัวและเปิดขยายตัว ปวดหลังหรือปวดเอว ปวดหน่วงท้อง ปวดหน่วงลงช่องคลอด หรืออาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย มีสิ่งคัดหลั่งออกทางช่องคลอด เช่น มูก มกเลือด น้ำเดิน
        
        การใช้ยาโปรเจสเตอโรน (progesterone)
        
        อาการข้างเคียง
        ที่อาจพบ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
        
        เพื่อช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดโปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ ยับยั้งการบีบรัดตัวของมดลูก และมีความจำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์และช่วยลดอัตราการคลอดก่อนกำหนด