Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Hypovolemic shock ภาวะช็อคจากปริมาณของสารน้ำหรือเลือดในร่างกายลดลง -…
Hypovolemic shock
ภาวะช็อคจากปริมาณของสารน้ำหรือเลือดในร่างกายลดลง
กลไกการเกิดภาวะช็อค
เกิดจากปริมาณเลือดไหลเวียนลดลง
ปริมาณเลือดที่กลับเข้าหัวใจลดลง
ปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจแต่ละครั้งลดลง
ปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจใน 1 นาทีลดลง
การขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ลดลง
การกำซาบของเนื้อเยื่อลดลง
เซลล์ขาดออกซิเจน
สาเหตุ
การสูญเสียน้ำภายในร่างกาย (internal fluid loss) เกิดได้จาก
🦷 การมีกระดูกหัก โดยเฉพาะเมื่อมีการหักของกระดูกต้นขาซึ่งจะทำให้มีเลือดออกได้ 1-4 ยูนิต และกระดูกเชิงกรานหักทำให้มีเลือดออกได้ 6-8 ยูนิต
🌺การเกิดการอักเสบของอวัยวะภายในช่องท้อง เช่นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ การอุดตันของทางเดินอาหาร เป็นต้น
💥 การชอกช้ำของเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในฉีกขาดหรือแตก เช่น ตับ ม้าม เป็นต้น
การสูญเสียน้ำออกมาภายนอกร่างกาย (external fluid loss) เกิดจาก
🌻 การเสียเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อกจากปริมาณไหลเวียนลดลงมากที่สุด
🌻 การสูญเสียน้ำทางระบบทางเดินอาหารจากการอาเจียนหรือท้องเสีย
🌻 การสูญเสียน้ำทางไตจากผู้ป่วยเป็นเบาหวาน เบาจืด หรือได้รับยาขับปัสสาวะมากเกินไป
🌻 การสูญเสียทางผิวหนัง เช่น แผลไฟไหม้ หรือสูญเสียน้ำแล้วได้รับทดแทนไม่เพียงพอ เช่น จากการ
พยาธิสรีรวิทยา
ความผิดปกติที่สำคัญที่สุดในภาวะช็อค คือ มีการใช้ออกซิเจนลดลงเนื่องจากมีการนำออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อไม่เพียงพอหรือจากการที่เนื้อเยื่อไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้ซึ่งเกิดจากมีการลดลงของปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจใน 1 นาที เมื่อเนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยงเลยค่ะออกซิเจนเป็นเวลานานๆ จะทำให้มีการหลั่งสารหลายชนิด เช่น histamine ซีโรโทนิน ไคนิน แลคเตด (lactate) แอนจิโอเทนซินII(angiotensin II)และไลโซโซมอลเอนไซม์ (lysosomal enzymes) รวมทั้ง มีการเปลี่ยนแปลงของการเผาผลาญในร่างกายเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดเนื้อเยื่อตายการกำซาบผิดปกติเกิดการล้มเหลวของอวัยวะต่างๆจนไม่สามารถแก้ไขได้และสุดท้ายคือผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อค
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจนเนื่องจากปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจใน 1 นาทีลดลงจากภาวะ hypovolemic shock
ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะลดลงและการกำซาบของเลือดสูบเนื้อเยื่อลดลงตาม ซึ่งถ้าไม่ได้รับการแก้ไขเนื้อเยื่อของอวัยวะส่วนต่างๆ จะเกิดการขาดออกซิเจน (tissue hypoxia)ได้
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
เกณฑ์การประเมินผล
สัญญาณชีพปกติ
ระดับความรู้สึกตัวปกติ ไม่มีอาการกระสับกระส่าย สับสน ชัก และหมดสติ
คลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ
ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดงร้อยละ 90-100
ผลการวิเคราะห์ค่าก๊าซในเลือดแดงมีค่า
pH = 7.35-7.45
PaO2 มากกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท
PaCO2 35-45 มิลลิเมตรปรอท
HCO3 22-26 mEq
ไม่พบอาการเขียว
การพยาบาล
เพื่อป้องกันภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
1.1ประเมินภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
วัดสัญญาณชีพอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมงแต่ในระยะที่มีอาการและอาการแสดงของการเกิดภาวะช็อคให้เฝ้าระวังทุก 1-2 ชั่วโมงโดยเฉพาะการหายใจเพราะผู้ป่วยจะต้องหายใจให้เร็วและแรงขึ้นเพื่อให้ร่างกายได้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น
ประเมินระดับความรู้สึกตัวทุก 4 ชั่วโมงโดยในรายที่มีอาการและอาการแสดงของการเกิดภาวะช็อกให้เฝ้าระวังทุก 1- 2 ชั่วโมงถ้ามีเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่ายสับสนและอาจถึงขั้นหมดสติได้
ประเมินอาการเขียวโดยดูบริเวณริมฝีปากเยี่ยเบื่ช่องปากเล็บมือเล็บเท้าและติ่งหู โดยอาการเขียวเป็นอาการที่บ่งบอกถึงภาวะเลือดขาดออกซิเจนได้ไม่แน่นอนเพราะเมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยมีอาการเขียวชัดเจนก็แสดงว่ามีระดับของภาวะเลือดขาดออกซิเจนรุนแรงจนเกือบจะทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลายแล้ว ดังนั้นการประเมินอาการ เขียวควรกระทำร่วมกับการติดตามค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง ค่าความดันออกซิเจนในเลือดแดงและสัญญาณชีพร่วมด้วย
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการได้แก่ค่าก๊าซในกระแสเลือดซึ่งถือว่าเป็นค่าที่เชื่อถือได้มากที่สุดในการประเมินเกี่ยวกับออกซิเจนในร่างกายโดยสามารถช่วยประเมินเกี่ยวกับภาวะกดดันของร่างกายว่ามีความสมดุลหรือไม่
ติดตามการเปลี่ยนแปลงของค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง (oxygen saturation)จากเครื่องมือวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง (oximeter) ซึ่งสามารถนำมาใช้เฝ้าระวังโดยผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บปวดและสามารถติดตามผลของออกซิเจนได้อย่างรวดเร็ว
ติดตามการทำงานของหัวใจจากเครื่องตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ติดตามผลภาพรังสีส่งออกเพื่อดูความผิดปกติที่เกิดขึ้นในปอดที่จะส่งเสริมให้สภาพของผู้ป่วยเลวลง
1.2 ดูแลให้ทางเดินหายใจมีการระบายอากาศเป็นไปด้วยดีโดยปฏิบัติ ดังนี้
ตรวจดูทางเดินหายใจว่ามีการอุดกั้นหรือไม่เพราะจะเป็นการขัดขวางการระบายอากาศ
เปิดทางเดินหายใจให้โล่งเพื่อให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในปอดได้อย่างสะดวก โดยในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว จัดให้นอนตะแคงเพื่อกันไม่ให้ดินตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ถ้ายังคงมีการอุดกั้นอยู่ให้ใช้ท่อช่วยหายใจชนิดต่างๆช่วยตามความเหมาะสม อาทิเช่น oropharyngeal airway,nasopharyngeal airway,endoteacheal tube และ tracheostomy tube และดูดเสมหะออกจากทางเดินหายใจ ซึ่งการดูดเสมหะจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะขณะดูดเสมหะจะมีการดูดเอาออกซิเจนออกมา และยังทำอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินหายใจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอและท่อเจาะคอ
จัดให้อยู่ในท่าศีรษะสูงเพื่อให้การขยายตัวของปอดเป็นไปได้ด้วยดี แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ในภาวะช็อค ควรให้นอนราบ ยกปลายเท้าสูงก็เพียงพอ
คลายเสื้อผ้าที่รัดตรึงผู้ป่วยออก เพื่อให้ผู้ป่วยหายใจหายได้สะดวกขึ้น
ในรายที่รู้สึกตัวดีควรแนะนำผู้ป่วยเรื่องการหายใจเข้า-ออกลึกๆและการไออย่างมีประสิทธิภาพ (Deep breathing exercise and effective cough) เพราะจะช่วยขยายปอดและขับเสมหะออกมา ป้องกันการเกิดปอดแฟบและปอดบวมเฉพาะที่ได้
การปฏิบัติ
1.จัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูงเล็กน้อยประมาณ 30 องศา หรือให้นอนศีรษะสูง 45-60 องศา
2.ในรายที่มีแผลผ่าตัด ให้ผู้ป่วยใช้มือสองข้างวางหรือประสานกันบริเวณแผลผ่าตัด เพื่อช่วบประคองแผลผ่าตัด หรือถ้าแผลกว้างมากให้ใช้หมอนหรือผ้าห่มพับเป็นรูป
3.ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆช้าๆผ่านทางจมูก และหายใจออกช้าๆผ่านทางปาก จำนวน 5 ครั้ง ในระยะหลังอาจเพิ่มได้ถึง 10 ครั้ง
4.ในขณะที่หายใจเข้าครั้งสุดท้าย ให้ผู้ป่วยอ้าปากและไอออกมาจากส่วนลึกของลำคอ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยขับเสมหะออกมา
ความหมายของภาวะ Hypovolemic shock
ภาวะช็อกที่มี blood volume หรือ plasma volume ในระบบไหลเวียนโลหิตลดลง เกิดจาก
Acute hemorrhage เกิดจากการบาดเจ็บเสียเลือด
Water and electrolyte loss จากท้องเสีย อาเจียนรุนแรงหรือ third space loss เช่น edeme cellulitis
Burn ทำให้เสียน้ำ เกลือแร่และ plasma
การเปลี่ยนแปลงของการทำงานในร่างกาย
4 ระดับ
ระดับที่ 1
สูญเสียเลือดร้อยละ 15 ของปริมาณเลือดไหลเวียนทั้งหมดในร่างกายหรือ 750 ml.
ร่างกายยังคงสามารถปรับชดเชยปริมาณ cardiac output ไว้ได้
ระดับที่ 2
สูญเสียเลือดร้อยละ 15-30 ของปริมาณเลือดไหลเวียนทั้งหมด หรือ 750-1500 ml.
มีอาการกระสับกระส่าย
Pulse pressure ค่าความต่างระหว่าง SPB กับ DBP แคบกว่า 25-50%
Pulse 100-120 ครั้ง/นาที
Capillary refill > 3 นาที
ระดับที่ 3
สูญเสียเลือดร้อยละ 30-40 ของเลือดที่ไหลเวียนทั้งหมดในร่างกายหรือ 1500-2000 มล.
กระสับกระส่าย
ซึม สับสน
Blood pressure ต่ำกว่า 90/60 mmHg.
หายใจเร็ว 30-40 ครั้ง/นาที
MAP<60 mmHg.
Neck vein engorgement
CVP สูง
ระดับที่ 4
สูญเสียเลือดร้อยละ >40 ของปริมาณเลือดที่ไหลเวียนทั้งหมดหรือ >2000 ml.
อัตราการเต้นของหัวใจ >140 ครั้ง/นาที
ไม่รู้สึกตัว
ความดันโลหิตลดลง
Pulse pressure แคบ
Capillary refill ช้า >3 นาที
การรักษา
ภายใน 15 นาที ให้สารน้ำทดแทนประมาณ 20% ของปริมาณเลือดในร่างกาย keep MAP > 60-70 ได้แก่ สารน้ำ Isotonic solution (Lactated Ringer, 0.9%NSS)
ทดแทนปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนต่อไปอีกร้อยละ 20-30 ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกายภายใน 30-60 นาที เพื่อให้ ได้ปริมาณ Cardiac output ที่เพียงพอที่จะทําให้ Tissue perfusion เหมาะสม
พิจารณาชนิด จํานวน อัตราเร็วของสารน้ําที่จะให้ต่อไป เพื่อรักษาองค์ประกอบของเลือดให้เหมาะสม ได้แก่ Hematocrit (Hct) > 30%; Platelet > 75000-100000 /mm; International normalized ratio (INR) < 1.5; ค่า Acid-base, electrolyte, blood sugar อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ผลกระทบ
ไต
การขาดเลือดจะทำให้ nephron ได้รับอันตราย ทำให้เกิด acute tubular necrosis
หัวใจ
เลือดไหลเวียนใน coronary ลดลง เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย
สมอง
เกิดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จะมีระดับความรู้สึกตัวลดลง
ปอด
การแลกเปลี่ยนก๊าซบริเวณหลอดเลือดฝอยของถุงลมปอดลดลง สร้างสาร surfactant ลดลง ขาดออกซิเจน
ทางเดินอาหาร
สูญเสียความทนต่อกรด ทำให้เกิดแผลกระเพาะอาหาร
ตับ
ไม่สามารถทำลายเม็ดเลือดแดงแลัเปลี่ยน bilirubin เป็นแบบละลายน้ำได้ ทำให้เกิด jaundice
ตับอ่อน
ปล่อยน้ำย่อยมาละลายโปรตีนในเซลล์ต่างๆ
เลือด
ทำให้เลือดตกตะกอน
ถุงน้ำดี
การบีบตัวถุงน้ำดีลดลง ทำให้น้ำดีคั่ง
กล้ามเนื้อ
เผาผลาญกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ปัสสาวะมี creatinine เพิ่ม
การป้องกันภาวะ Hypovolemic shock
ลดความเสี่ยงที่จะทำให้ตัวเองบาดเจ็บจนต้องสูญเสียเลือด เช่น สวมเครื่องป้องกันระหว่างเล่นกีฬาบางชนิด ระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ที่อาจเป็นอันตราย สวมเข็มขัดหรือหมวกนิรภัยระหว่างการขับขี่
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน ถูกหลักโภชนาการ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนหรือชื้น ควรเพิ่มการดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
หากมีอาการถ่ายเหลวหรืออาเจียน ควรรับประทานน้ำเกลือแร่ชดเชยให้เพียงพอ แต่ในกรณีที่รับประทานไม่ได้ควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ
ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดภาวะช็อค
1.ร่างกายอ่อนแอ
2.ภาวะทุพโภชนาการ
3.วัยชรา
4.การกระทบกับอุณหภูมิที่ต่างกันมาก เช่น หนาวจัด
ร้อนจัด เป็นต้น
5.การติดสุราหรือยาเสพติดเรื้อรัง
6.ได้รับยาลดความดันเลือด
7.ได้รับยาระงับความรู้สึก
8.ระบบประสาทอัตโนมัติแปรปรวน
9.ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะเบาหวานและความผิดปกติของเปลือกนอกของต่อมหมวกไต
ศัพท์เทคนิค
After load
แรงต้านทานของหลอดเลือดที่มีต่อการบีบของหัวใจ
Blood pressure
แรงดันเลือดที่กระทบกับผนังของหลอดเลือดแดงขณะหัวใจบีบและคลายตัว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของความดันเลือดขึ้นอยู่กับปริมาณเลือดที่ส่งออกจากหัวใจต่อนาทีและแรงต้านทานของหลอดเลือด
Cardiac index
ค่าแสดงสภาวะการทำงานของหัวใจ
Cardiac out put
ปริมาณเลือดที่ส่งออกจากหัวใจต่อนาที
ปัจจัยที่ทำให้ที่ทำให้เกิดภาวะ Hypovolemic shock
สูญเสียเลือดจากการผ่าตัด ส่วนใหญ่จะมี active bleed (เลือดออกมากกว่า 200 cc. ใน 1 ชม.)
ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
การอาเจียนในปริมาณมาก
ท้องเสียรุนแรง
GI bleed