Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา จิตสังคมและจิตวิญญาณของมารดาในระยะตั้งครรภ์ -…
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา จิตสังคมและจิตวิญญาณของมารดาในระยะตั้งครรภ์
ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
มดลูก
ขนาดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลับมาเท่าขนาดปกติใน 2-3 สัปดาห์หลังคลอด
ก่อนตั้งครรภ์ น้ำหนักของมดลูกประมาณ 70g และปริมาณ 10 ml
ครรภ์ครบกำหนด น้ำหนักประมาณ 1100g และปริมาณ 5L
ไตรมาสแรก มีการหดรัดตัวแบบไม่สม่ำเสมอ และไม่รู้สึกเจ็บ
ไตรมาสที่2 การหดรัดตัวที่กะเกณฑ์ไม่ได้ ไม่เป็นจังหวะ ความแรงไม่มากและบ่อยขึ้น เรียกว่า Braxton Hicks
การหดรัดตัวอาจมากขึ้นจนรู้สึกเจ็บ เรียกว่า เจ็บครรภ์เตือน (False labor pain)
ปากมดลูก
ปากมดลูกจะนุ่ม เรียกว่า Goodell's sign เนื่องจากมีหลอดเลือดไปเลี้ยงมากขึ้นและบวมขึ้น ร่วมกับการเพิ่มจำนวนและขยายตัวของต่อมที่ปากมดลูก ซึ่งจะสร้าง Mucous plug ปิดบริเวณคอมดลูก และไหลออกมาก่อนเจ็บครรภ์จริง เรียกว่า Bloody show
ช่องคลอด
เยื่อบุจะเปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีม่วงคล้ำ เพราะมีหลอดเลือดมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น เรียกว่า Chadwick'ssign
ความเป็นกรดจะเพิ่มมากขึ้น ระหว่า 3.5-6.00 จะช่วยควบคุมการเพิ่มจำนวนของบักเตรีในช่องคลอด
รังไข่
รังไข่ข้างที่ตกไข่แล้วและเกิดการตั้งคครภ์ จะเกิดเป็น Corpus luteum เพื่อผลิต Progesterone ซึ่งผลิตมากที่สุดช่วง 6-7Wks.ของการตั้งครรภ์ หรือ 4-5Wks.หลังตกไข่
ท่อนำไข่
มีขนาดโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยจะเพิ่มขนาดของชั้นกล้ามเนื้อและผิวของเยื่อบุเรียบ
เต้านม
ระยะแรก เกิดอาการคัดตึงเต้านม ต่อมาพบเต้านมขนยายใหญ่ขึ้น หัวนมสีคล้ำขึ้น และหัวนมขยายขึ้น มีการขยายตัวและนูนขึ้นของต่อมไขมันรอบๆ Areolar เรียกว่า Montgomery's tubercle
อาจพบหัวนมสีเหลือง(Colostrum) ไหลออกมาเล็กน้อยและอาจพบรอยแตกของผิวหนังบริเวณเต้านม
เมตาบอลิซึม
การเพิ่มน้ำหนัก
ตลอดการตั้งครรภ์ น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 11Kg ไตรมาสแรกประมาณ 1Kg ,ไตรมาส2-3ประมาณ 5Kg
อาจพบอาการบวมกดบุ๋มบริเวณข้อเท้าและขาเล็กน้อย โดยเฉพาะช่วงเย็น
โปรตีน
มารดาและทารกต้องการอาการโปรตีนมากขึ้นกว่าไขมันและคาร์โบไฮเดรต
คาร์โบไฮเดรต
FBS ในสตรีตั้งครรภ์ปกติจะมีระดับต่ำกว่าภาวะไม่ตั้งครรภ์ เนื่อจากระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น
ภาวะอดอาหาร(Starvation) ระดับน้ำตาลในมารดาจะลดลงอย่างรวดเร็ว อินซูลินต่ำ และอาจเกิดภาวะ Ketosis ได้ง่าย ในสตรีที่เป็นเบาหวาน
ไขมัน
ขณะตั้งครรภ์ระดับไขมันจะเพิ่มสูงขึ้น
การะสมของไขมนระหว่างตั้งครรภ์จะอยู่ที่บริเวณกลางลำตัวมากกว่าแขนและขา
กลไกการสะสมไขมันเพื่อเป็นพลังงานของมารดา เพื่องป้องกันภาวะอดอาหารและชดเชยเมตาบอลิซึมที่เพิ่มระหว่างตั้งครรภ์
ระบบโลหิต
พลาสมาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ50 แต่RBCเพิ่มขึ้นประมาณ450ml หรือร้อยละ33 จึงเกิดภาวะ Physiologic anemia จาก Dilutional effect
ต้องได้รับธาตุเหล็กเพิ่ม Hbเมื่อครรภ์ครบกำหนดประมาณ 12.5g/dL ถ้าHb<11g = ผิดปกติ ควรหาสาเหตุของการซีด
WBCจะเพิ่มขึ้นถึง 20,000cell/ml ในไตรมาส3 และอาจสูงถึง30,000cell/ml
ขณะตั้งครรภ์และระยะคลอดจะมีอัตราเสี่ยงต่อภาวะ Venous thromboemboli สูงขึ้นถึง 2-5เท่าของภาวะไม่ตั้งครรภ์
ต้องการธาตุเหล็กโดยรวม ประมาณ1,000mg เพื่อใช้ในการสร้างRBCในมารดา 500mg ,ทารก 300mg และใช้ชดเชยการสูญเสียธาตุเหล็ก 200mg
ระบบภูมิคุ้มกัน
ภาวะตั้งครรภ์จะกดภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันกับตัวทารก
ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ
กายภาพ
มดลูกโตขึ้นกระบังลมถูกยกขึ้น ทำให้หัวใจถูกยกขึ้นและหมุนไปทางซ้าย X-ray พบว่า หัวใจโตขึ้น
Cardiac output
เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของไตรมาสแรก จนถึงระดับสูงสุดเมื่ออายุครรภ์ 28-32Wks.และอยู่ระดับนี้จนครรภ์ครบกำหนด
ท่านอนหงาย มดลูกจะกด Inferior vena cava ทำให้เลือดไหลเวียนกลับหัวใจข้างขวาลดลง Cardiac output ลดลง ทำให้BPลดลง
ท่านอนตะแคง Cardiac output จะเพิ่มขึ้น
Stroke volume + Heart rate
Stroke volume เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 20Wks ค่อยๆลดลงเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น
Heart rate เพิ่มขึ้นกว่าปกติประมาณ 10-15/min
Heart sound + EKG
หัวใจในขณะตั้งครรภ์อยู่ในภาวะ Hyperdynamic state จึงมีความเปลี่ยนแปลงคล้ายกับมีความผิดปกติ
S1 อาจพบเสียงดังขึ้น และมีSplitting
S2 ไม่เปลี่ยนแปลง
S3 ได้ยินชัดเจนขึ้น
การไหลเวียนเลือด (Blood circulation)
BPในท่านั่งสูงกว่าท่านอน ,ท่านอนตะแคงต่ำว่าท่านอนหงาย
การไหลเวียนเลือดที่ขาช้าลง ทำให้เกิดการคั่งของเลือดดำที่ขา จากการที่มดลูกกดเบียด Inferior vena cava ทำให้เกิดการอุดตันของเลือดดำในอุ้งเชิงกราน ดังนั้นการนอนตะแคงจะช่วยให้การไหลเวียนดีขึ้น
การที่เลือดไหลเวียนช้าลงบริเวณขาทั้ง2ข้าง ทำให้เกิดเป็น Varicose vein ที่ขา ปากช่องคลอดและอาจเกิดริดสีดวงทวารขึ้นได้
การที่มดลูกที่โตขึ้นกดเส้นเลือดดำใหญ่ในท่านอนหงาย Cardiac output ลดลง ทำให้BPลดลงชั่วขณะ เรียกว่า Supine Hypotensive Syndrome
BP
Diastolic ลดลงต่ำสุดเมื่ออายุครรภ์ 28-32Wks
ระบบทางเดินหายใจ
กายภาพ
มดลูกขนาดโตขึ้น ทำให้กะบังลมยกตัวสูงขึ้น 4cm จากตำแหน่งเดิม
การทำงาน
การหายใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น (Oxygen consumption)
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ
กายภาพ
หลอดไตขยายใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะด้านขวา เนื่องจาก
มีลำไส้ส่วน Sigmoid
มดลูกหมุนเอียงขวา (Dextrorotation)
Ovarian vein plexus
Progesterone ทำให้การบีบรัดตัวของหลอดไตลดลง ทำให้ปัสสาวะคั่ง เป็นสาเหตุให้เกิด Hydronephrosis + Hydroureter
สรีรวิทยา
GFRเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ50 แต่ลดลงเมื่อใกล้ครบกำหนด
Renal glucosuria อาจเกิดจาก GFR ที่เพิ่มขึ้น แต่การดูดกลับไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นอาจพบภาวะ Glucosuria
Proteinuria ในสตรีตั้งครรภ์ พบว่ามีเล็กน้อยประมาณ 7-18mg/ปริมาณปัสสาวะ24hr
ระบบทางเดินอาหาร
Morming sickness
อาการคลื่นไส้ อาเจียน เกิดระหว่าง4-8Wksของการตั้งครรภ์ จนเข้าสู่ไตรมาส2จึงหายไป
Heart burn (Pyrosis)
เกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บแสบร้อนใต้ลิ้นปี่
Pica
ความรู้สึกอยากรับประทานอาหารที่ต่างจากเดิม
Equlis
การเปลี่ยนแปลงที่พบบริเวณหงือก อาจเป็นก้อนบวม นูนแดง เนื่องจากเลือดมาเลี้ยงมาก
ริดสีดวงทวาร
เกิดได้บ่อย เนื่องจากมักมีอาการท้องผูกเพิ่มขึ้น และมดลูกโตกดทับการไหลเวียนของเลือดในอุ้งเชิงกราน
ระบบต่อมไร้ท่อ
Pituitary gland
hPL เพิ่มขึ้นมากและลดลงอย่างรวดเร็วหลังคลอด ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้าน Insulin H. จึงมีผลทำให้หลังคลอดไม่เกิดภาวะ Diabetogenic effect
Prolactin เพิ่มขึ้นถึง10เท่า อาจมากถึง 150ng/ml
Thyroid gland
มีการเพิ่มขึ้นของ thyroxine-binding globulin (TBG) เนื่องจากการกระตุ้นของ Estrogen H.
ปริมาณ Iodine ที่ต้องการเพื่อการทำงานในต่อมอาจไม่เพียงพอ เพราะเกิดจาก Renal clearance เพิ่มขึ้น
Thyroid function test มีความเปลี่ยนแปลงโดยพบว่า TBG Total T4 เพิ่มขึ้น, Free T4 เท่าเดิม, Free T3 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่เกินค่าปกติและTSH เท่ากับภาวะก่อนตั้งครรภ์
Parathyroid gland
ระบบผิวหนังและกล้ามเนื้อหน้าท้อง
Estrogen+Progesteroneเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเพิ่มของสาร Melanin ส่งผลให้ผิวหนังสีคล้ำขึ้น
หน้าท้องเป็นเส้นตรงกลาง (Linea nigra)
สีน้ำตาลบริเวณหน้า (Chloasma/Melanoma gravidarum)
ท้องลาย (Striae gravidarum)
ระบบประสาทและจิตเวช
ภาวะจิตใจที่กังวลและหวาดระแวงจะมีมากในไตรมาสแรก แต่จะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์
ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจที่มีผลกระทบมากอีกครั้งคือ 2-3วันหลังคลอด ถ้าขาดผู้ดูแลประคับประคองอาจทำให้ภาวะเศร้านี้ดำเนินต่อไป และอาจพัฒนาต่อไปจนเกิดโรคทางจิตหลังคลอดได้ (Pospartum psychosis)
ระบบโครงสร้าง
มดลูกโตขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้น ท าให้จุดศูนย์กลางแรงโน้มถ่วงของร่างกายเปลี่ยนไป ทำให้หลังส่วนบนโน้มไปทางด้านหลังมากกว่าส่วนล่าง หรือเรียกว่าเกิด lumbar lordosis
เกิดอาการปวดหลังช่วงล่างและก้นกบ อาจมีอาการปวด ชา และเหนื่อยอ่อน และทำให้ไหล่หย่อนลงมีผลทำให้เส้นประสาท ulnar และ median มีความตึงตัวสูงขึ้น
ด้านจิตสังคมและจิตวิญญาณ
ด้านอารมณ์
ไตรมาส1 Ambivalence (มีความรู้สึกสองฝักสองฝ่าย)ได้แก่ ลังเลใจ อารมณ์ไม่คงที่ กลัว ฝัน และวิตกกังวล
ไตรมาส2 Acceptance (เริ่มยอมรับการตั้งครรภ์)ได้แก่ รับรู้สุขภาพดีต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการ
เจริญเติบโต และพัฒนาการของทารกในครรภ์รักตัวเอง พึ่งพาตนเองสูงขึ้น ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
ไตรมาสที่ 3 เริ่มกลัวและวิตกกังวลเกี่ยวกับการคลอด และทารกในครรภ์ แต่ในสตรีที่ยอมรับการตั้งครรภ์ จะมีความสุข ความยินดี
ด้านภาพลักษณ์
ผลของภาพลักษณ์ที่ดีจะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ การยอมรับ ความมีคุณค่า
ด้านเพศสัมพันธุ์
ต้องสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจให้หญิงตั้งครรภ์ยอมรับ บอกเล่าปัญหาด้านเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น
การปรับตัวเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดา
บทบาท (Role) หมายถึงกลุ่มพฤติกรรมที่แสดงออกตามความคาดหวังของสังคมตามสถานภาพของบุคคลนั้นๆ