Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ, นางสาวภัชราภรณ์ หนูรอด เลขที่ 65…
การดูแลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน
(Acute laryngotracheobronchitis, viral croup)
เกิดจาก
การติดเชื้อของทางเดินหายใจ ได้แก่
ไวรัส
parainfluenza viruses (type 1-3) : พบได้ร้อยละ 50-75 ของผู้ป่วยโรคนี้
influenza A และ B
respiratory syncytial virus (RSV)
เชื้อแบคทีเรีย
พบน้อย
Mycoplasma pneumoniae : มักพบในเด็กโตและอาการไม่รุนแรง
พยาธิสภาพ
มีการอักเสบและบวมของกล่องเสียง หลอดคอ และหลอดลม โดยเฉพาะที่ตำแหน่งใต้กล่องเสียง (Subglottic region )
ส่งผลทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลัน
อาการ
ไข้
เจ็บคอ
หายใจลำบาก(Dyspnea)
ไอเสียงก้อง(barking cough)
มีเสียงแหบ(hoarseness)
หายใจได้ยินเสียง stridor
ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เอง ยกเว้นบางรายที่มีอาการรุนแรงจนเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเฉียบพลัน
อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักจะไม่ตอบสนองต่อการพ่นยาทั่วไป ส่วนใหญ่จะพ่น Adrenaline ต้องใส่ Endotracheal tube
Tonsilitis / Pharyngitis
สาเหตุ
การติดเชื้อ แบคที่เรีย ไวรัส เช่น
Beta Hemolytic streptococcus gr. A
อาการ
ไข้
ปวดศีรษะ
ไอ
เจ็บคอ
มีตุ่มใสหรือแผลตื้นที่คอหอย หรือเพดานปาก : เกิดจาก Coxsackie Virus เรียกว่า Herpangina
คำแนะนำที่สำคัญ คือ
ให้กินยา Antibioticให้ครบ 10 วัน เพื่อป้องกัน ไข้รูห์มาติค และหัวใจรูห์มาติค หรือกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน AGN
การผ่าตัดต่อมทอนซิล
(tonsillectomy)
ทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ในเรื่องของการติดเชื้อเรื้อรัง(chronic tonsillitis) หรือเป็นๆหายๆ(recurrent acute tonsillitis)
ข้อบ่งชี้
มีไข้
เจ็บคอ
เจ็บคอมากเวลากลืนหรือกลืนลำบาก
เป็นเรื้อรังหรือเป็นๆหายๆ จนรบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
มีการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดอาการนอนกรน และ/หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ(obstructive sleep apnea)
รายที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิล(carcinoma of tonsils)
การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด Tonsillectomy
หลังผ่าตัดควรให้เด็กนอนตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อสะดวกต่อการระบายเสมหะ
น้ำลายหรือโลหิตอาจมีคั่งอยู่ในปากและในคอจนกว่าเด็กจะรู้สึกตัวดี และสามารถขับเสมหะได้เอง
สังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะระยะแรกหลังผ่าตัด ถ้าชีพจร 120 ครั้ง/นาที เป็นเวลาอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับเด็กเงียบ ซีด และมีการกลืนติดต่อกันเป็นข้อบ่งชี้ว่ามีเลือดออก โดยทั่วไปจะเกิดภายใน 6-8 ชั่วโมงแรก
เมื่อเด็กรู้ตัวดี จัดให้เด็กอยู่ในท่านั่ง 1-2 ชั่วโมง ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆรับประทานของเหลว
ในรายที่ปวดแผลผ่าตัดให้ใช้กระเป๋าน้ำแข็งวางรอบคอ ถ้าปวดมากให้ยาแก้ปวด
ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้หลังผ่าตัด 24-48 ชั่วโมง และไม่มีภาวะแทรกซ้อน สามารถรับประทานน้ำและอาหารได้
ผู้ป่วยจะมีแผลที่ผนังในคอทั้งสองข้าง บางรายยังมีอาการเจ็บคอ กลืนอาหารหรือน้ำลายลำบากจากแผลผ่าตัด ทำให้รับประทานไม่ค่อยสะดวก อาจทำให้น้ำหนักลดได้แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนที่ค่อนข้างเย็น เช่น ไอศกรีมข้นๆ
หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรก เพดานอ่อนหรือผนังในคออาจบวมมากขึ้นได้ ทำให้หายใจอึดอัด ไม่สะดวก ดังนั้นจึงควรนอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุน
อมและประคบน้ำแข็งบ่อยๆ ในช่วงสัปดาห์แรก เพื่อลดอาการบวมบริเวณที่ทำผ่าตัด ถ้าอาการหายใจไม่สะดวก เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงขั้นรุนแรง หลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันที
หลีกเลี่ยงการแปรงฟันเข้าไปในช่องปากลึกเกินไป
การประคบหรืออมน้ำแข็งควรประคบหรืออมสลับกับพักประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาออกประมาณ 10 นาที แล้วค่อยประคบหรืออมใหม่
เป็นเวลา 10 นาที ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆถ้าเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันที
ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม ไม่ควรรับประทานอาหารที่แข็งหรือร้อน หรือรสเผ็ดหรือรสจัดเกินไป
ไซนัสอักเสบ(Sinusitis)
เป็นอาการอักเสบของโพรงอากาศข้างจมูก
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
เมื่อเกิดการติดเชื้อจะทำให้เกิดการบวมของเยื้อบุในโพรงอากาศ และส่งผลทำให้เกิดภาวะอุดตันช่องระบายของโพรงอากาศข้างจมูก(osteomeatal complex) ทำให้เกิดการคั่งของสารคัดหลั่งทำให้ความดันโพรงอากาศเป็นลบ เมื่อมีอาการจาม สูดหรือสั่งน้ำมูกจะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่บริเวณ nasopharynx มีโอกาสเข้าไปในโพรงอากาศข้างจมูกได้ง่าย อากาศข้างจมูกได้ง่าย ออกมามาก และมีความหนืดมากขึ้น
ระยะของโรค
Acute sinusitis ระยะของโรคไม่เกิน 12 สัปดาห์
Chronic sinusitis อาการจะต่อเนื่องเกิน 12 สัปดาห์
อาการ
ไข้สูงมากกว่า 39
ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยตามตัว
น้ำมูกไหล
ไอ
ในรายที่ติดเชื้อแบคทีเรีย อาการมักจะนานมากกว่า 10 วัน และมีอาการรุนแรง
อาการ Acute จะรุนแรงกว่า Chronic
การวินิจฉัย
X-ray paranasal sinus
CT scan (ได้ผลดีกว่าวิธีอื่น)
การตรวจด้วยการส่องไฟผ่าน (Transilumination)
การดูแลรักษา
การให้ยา
ยา antibiotic ตามแผนการรักษา
ยา paracetamal เพื่อลดไข้ และบรรเทาอาการปวดศีรษะ
ยาแก้แพ้ ในรายที่ไซนัสอักเสบเรื้อรังที่มีสาเหตุชักนำมาจากโรคภูมิแพ้
ยาแก้แพ้จะช่วยลดอาการจาม น้ำมูกไหล และเยื่อบุจมูกบวม
ยา Steroid เพื่อลดอาการบวม ลดการคั่งของเลือดที่จมูก ทำให้รูเปิดของโพรงไซนัสสามารถระบายสารคัดหลั่งได้ดีขึ้น
การล้างจมูก
ช่วยชะล้างมูก คราบมูก หรือหนองบริเวณโพรงจมูก/ไซนัส และหลังโพรงจมูกออก ทำให้โพรงจมูกสะอาด ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด
ช่วยลดจำนวนเชื้อโรค และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้อีกด้วย บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น บรรเทาอาการระคายเคืองในจมูก
การล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูก จะทำให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ล้างจมูกวันละ 2 ครั้ง ตามแผนการรักษาของแพทย์
น้ำที่ใช้ล้าง คือ น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% NSS เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดความเหนียวของน้ำมูกและทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโต
หอบหืด(Asthma)
เป็นภาวะที่มีการอักเสบเรื้อรังขอหลอดลม (Chronic airway inflammation)
การอักเสบของหลอดลมมีผลทำให้เยื่อบุผนังหลอดลม
มีปฏิกริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้มากกว่าปกติ Bronchial hyper-reactivity
การมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้เกิดพยาธิสภาพ 3 อย่างคือ
ทำให้หลอดลมหดเกร็งตัว(Brochospasm)
ทำให้หลอดลมตีบแคบลง(Stenosis) เยื่อบุภายในหลอดลมบวม
มีการสร้างเมือกเหนียวจำนวนมาก(Hypersecretion)
ทำให้ช่องทางเดินอากาศในหลอดลมแคบลง ทำให้เกิดอาการหอบหืดขึ้น
เมื่อพยาธิสภาพที่ 3 อย่างเกิดขึ้น ผู้ป่วยจึงมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ ต้องให้การดูแล
ได้รับยาขยายหลอดลม
ได้รับออกซิเจน
ให้พักเพื่อลด activity
ได้ยาลดอาการบวม เช่น Dexa ซึ่งเป็นยา Steroid
ในรายที่มีเสมหะ จะไม่ใช้วิธีการเคาะปอดในเด็กที่เป็น Asthma ที่กำลังหอบ เพราะจะทำให้หลอดลมเกิดการหดเกร็งมากขึ้น
อาการ
เริ่มต้นด้วยอาการ
หวัด
ไอ
มีเสมหะ
ถ้าไอมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มักจะมีเสียงถ้าไอมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มักจะมีเสียง
เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนมากขึ้น ก็เกิดอาการหอบมาก ปากซีดเขียว ใจสั่น
การรักษา
การลดอาการของเด็ก
ให้เด็กมีกิจกรรมได้ตามปกติ
การใช้ยาอย่างถูกต้อง ยาที่ใช้ ได้แก่
ยาขยายหลอดลม(Relievers) มีทั้งชนิดพ่น และชนิดรับประทาน
ยาลดการบวม และการอักเสบของหลอดลม(Steroid )
พยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้น
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ควันบุหรี่
ตัวไรฝุ่น
ไม่ควรมีตุ๊กตาที่มีขนในห้องนอน
ซักหมอน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน
การออกกำลังกาย
อากาศเย็น
การใช้ baby haler
Baby haler ต้องล้างทำความสะอาดบ่อยๆ แต่ไม่จำเป็นต้องทุกครั้งหลังใช้ ล้างด้วยน้ำยาล้างจานตากให้แห้ง ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดถู
เพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตที่ผนังของ Spacer เวลาพ่นยา ยาจะไปเกาะกับผนังของSpacer ส่งผลให้ยาจะเข้าผู้ป่วยน้อยลง
หลังล้างทำความสะอาด ต้องสอนผู้ป่วย ให้พ่นยาทิ้ง 1 ครั้ง เพื่อให้ยาจับผนังของ Spacer ก่อน เพื่อให้การพ่นครั้งต่อๆไป ยาก็จะเข้าผู้ป่วย
หลอดลมอักเสบ(Bronchitis)
หลอดลมฝอยอักเสบ(Bronchiolitis)
เป็นปัญหาติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่พบบ่อยในเด็กเล็ก
เกิดจาก
มีการอักเสบและอุดกลั้นของหลอดลม
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
พบบ่อยที่สุด คือ Respiratory syncytial virus : RSV
เด็กที่ไม่กินนมแม่จะพบได้ค่อนข้างสูงกว่าเด็กทั่วไป
พบในเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต
กลไกการเกิด
เชื้อไวรัส ทำลายเนื้อเยื่อของหลอดลมฝอยทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม และมีการคั่งของเสมหะ
เกิดการอุดกั้นของหลอดลมฝอย ผลที่ตามมา คือ เกิด Atelectasis
อาการ
เริ่มจาก
ไข้หวัดเพียงเล็กน้อย
น้ำมูกใส
เบื่ออาหาร
จาม
ต่อมา
ไอเป็นชุดๆ
ร้องกวน
หายใจเร็ว
หอบ
หายใจมีปีกจมูกบาน
ดูดนม/น้ำได้น้อย หรือไม่ได้เลย
การรักษา
ให้ยา
ยาลดไข้
ยาปฏิชีวนะ
ยาต้านการอักเสบ(Corticosteroid)
ยาขยายหลอดลม
ดูแล
ให้เด็กได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ได้รับน้ำ
ดูแลไข้
ดูแลปัญหาการติดเชื้อ
ดูแลเสริมสร้างภูมิต้านทาน
ทานอาหารที่มีประโยชน์
ปอดบวม(Pneumonia)
สาเหตุ
สำลักสิ่งแปลกปลอม
ติดเชื้อ
แบคทีเรีย
ไวรัส
อาการ
ไข้
ไอ
หอบ
ดูดน้ำ/นมน้อยลง
ซึม
เกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกใช้ตัดสิน Pneumonia
เด็กแรกเกิด : อัตราการหายใจที่มากกว่า 60 ครั้ง/นาที
เด็กอายุ 2เดือน-1ปี : อัตราการหายใจที่มากกว่า 50 ครั้ง/นาที
เด็กอายุ 1ปี-5ปี : อัตราการหายใจที่มากกว่า 40 ครั้ง/นาที
การรักษา
ดูแลให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้เสมหะอ่อนตัวขับออกได้ง่ายช่วยลดไข้
ดูแลเรื่องไข้ Clear airway suction เพื่อให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลแก้ไขปัญหาพร่องออกซิเจน ให้ยาขยายหลอดลม ยาขับเสมหะ ยาฆ่าเชื้อ
การพยาบาล
ปัญหาการอุดกั้นทางเดินหายใจเป็นปัญหาสำคัญจำเป็นต้องดูแลแก้ไข
เด็กโตต้องสอนการไออย่างถูกวิธี กระตุ้นให้ดื่มน้ำมากๆ
ในรายที่เสมหะอยู่ลึกให้ Postural drainage โดยการเคาะปอด และSuction เพื่อป้องกันภาวะปอดแฟบ(Atelectasis)
การทำ Postural drainage จะช่วยทำให้เสมหะที่อยู่ส่วนปลายถูกกระตุ้นให้เลื่อนขึ้นมา
ถึงปลายสายดูดเสมหะ ช่วยให้เสมหะถูกดูดออกจากหลอดลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง หรือนอนทับข้างที่มีพยาธิสภาพเพื่อให้ปอดข้างที่ดีขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
นางสาวภัชราภรณ์ หนูรอด
เลขที่ 65 (62111301067)
ชั้นปีที่ 2 รุ่นที่ 37