Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Prolong PPROM with nonreassuring FHR G1P0 36 wks by U/S, 1.ให้…

- - - - GA มากกว่าเท่ากับ 34 wks
        
        1.ให้ ATB ป้องกัน GBS เมื่อเข้าสู่ in labor
        2.เฝ้าระวัง chorioamnionitis
        3.fetal monitoring
        4.Delivery cinduced labour or c/s
        5,Notify กุมารแพทย์
      - GA 24-33+6 wks
      - ตรวจหาข้อบ่งห้ามในการยับยั้ง
        
        การหดรัดตัวของมดลูก
        
        Severe preeclampsia
        
        Placenta abruption
        
        Chorioamnionitis
        
        fetal death in utero
        
        GA มากกว่าเท่ากับ 34 wks
        
        -งดน้ำ งดอาหารทางปาก
        
        ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
        
        ไม่ให้ยาสเตียรอยด์
        
        พิจารณาให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
        
        ตรวจ contraction
        
        เฝ้าระวังสุขภาพของทารกในครรภ์
        
        ดำเนินการคลอดอย่างนุ่มนวล
        
        GA ; 24-33 wks
        
        งดน้ำงดอาหารทางปาก : NPO ระหว่างมื้อ
        
        ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ : RLS 1000 ml IV rate 100ml/hr
        
        ให้ยาสเตียรอยด์ฉีดแบบครั้งเดียว
        
        พิจารณาให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
        
        ตรวจ contraction
        
        เฝ้าระวังสุขภาพของทารกในครรภ์
        
        กรณีไม่สามารถยับยั้งได้ ให้ ATB ขณะคลอดป้องกันการติดเชื้อ GBS
    - - การตายปริกำเนิด : ขึ้นกับอายุครรภ์เมื่อมีการแตกของถุงน้ำคร่ำเป็นสำคัญ ปัจจุบันนี้มีอัตราการตายปริกำเนิดลดลงกว่าแต่ก่อนมาก พบว่าทารกครบกำหนดที่ต้องคลอดเพราะปัญหา Premature Rupture of Membranes มีอัตราการตายต่ำกว่าทารกคลอดก่อนกำหนด
        
        การติดเชื้อของทารกในครรภ์ : ทารกแรกคลอดและมารดา พบภาวะ Sepsis ในทารกแรกคลอดประมาณร้อยละ 1 ในรายถุงน้ำคร่ำแตกนานเกิน > 24 ชั่วโมงและขึ้นไปถึงร้อยละ 10 ถ้ามีภาวะเยื่อหุ้มทารกติดเชื้ออักเสบร่วมด้วย การติดเชื้ออักเสบของเยื่อหุ้มทารกพบได้ประมาณร้อยละ 10 ในรายถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดยาวนาน
        
        Perinatal Asphyxia : Premature Rupture of Membranes มีกลไกที่ทำให้เกิด Perinatal Asphyxia ได้หลายทาง เช่น จากภาวะน้ำคร่ำน้อยเกิดการกดสายสะดือ ท่าทารกผิดปกติ ภาวะมีไข้ของมารดา ในบรรดาการตายของทารกคลอดก่อนกำหนดพบว่าร้อยละ 44.9 มีสาเหตุจาก Anoxia
        
        การเจริญเติบโตของทารก : ใน Premature Rupture of Membranes มีรายงานว่าอัตราการเจริญของ เส้นรอบศีรษะเป็นปกติ
        
        ความผิดปกติโดยกำเนิด : พบได้หลายชนิดซึ่งสัมพันธ์กับการมีน้ำคร่ำน้อยเป็นเวลานาน
        
        Pulmonary Hypoplasia เนื่องจากการขยายของปอดเป็นไปได้น้อย ไม่มีการไหลเวียนของน้ำคร่ำในทางเดินหายใจ ยิ่งอายุครรภ์น้อยยิ่งมีโอกาสเกิดสูงและสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณน้ำคร่ำที่เหลืออยู่
        
        มีการหดเกร็ง (Contracture) ของข้อต่อที่พัฒนาการดีมาก่อน ซึ่งเรียกว่า Arthrogryposis ซึ่งพบได้บ่อย
        
        Potter Syndrome : เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากทารกอยู่ในสภาพแออัดขยับตัวลำบากเป็นเวลานาน มีลักษณะหดเกร็งผิดรูปร่างของข้อต่อ ผิวหนังเหี่ยวย่น หน้าตามีลักษณะจำเพาะ (Potter Facies) มีรอยย่นมากโดยเฉพาะใต้ตา หูติดต่ำ จมูกแบน
        
        Craniosynostosis : แต่จะหายภายหลังได้
        
        Amniotic Bands Syndrome : การฉีกขาดของ Amnion ทำให้เกิดเป็น Band ขึ้นและอาจไปรัดอวัยวะทารกบางส่วนจนแน่นหรือตัดขาดได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ที่หน้า หน้าอก หน้าท้อง แขนและขา
        
        Respiratory Distress Syndrom : พบได้บ่อยขึ้น คือประมาณร้อยละ 10-40 ของ Premature Rupture of Membranes ที่มีอายุครรภ์ < 37 สัปดาห์ ยิ่งอายุครรภ์น้อยยิ่งเกิดมาก การให้กลูโคติคอยด์อาจมีประโยชน์ในการช่วยลดปัญหานี้โดยเฉพาะการให้ในรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 30-32 สัปดาห์
    - - Chorioamnionitis มีการอักเสบของเยื่อหุ้มเด็กหรือรก พบมารดามีไข้มากว่า 37.4องศาเซลเซียสเพาะเชื้อจากเด็ก รก น้ำคร่ำให้ผลบวกถือว่าติดเชื้อแน่นอน
        
        Endometritis มารดามีไข้มากกว่า 37.4องศาเซลเซียสใน 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อยทุก 6 ชม.หลังคลอด 24 ชั่วโมงแรก
        
        Amnionitis พบบ่อยในรายถุงน้ำคร่ำแตกก่อนในขณะที่ตั้งครรภ์ไม่ครบกำหนด
        โดยเฉพาะรายที่มีการคลอดยาวนานและในรายที่ผ่าท้องคลอดจะเกิด Amnionitis มากขึ้น
- - - - 1.ซักประวัติ และบันทึกเวลาที่ถุงน้ำคร่ำแตก สีของน้ำคร่ำ คาดคะเนจำนวน กลิ่น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องในระยะต้นๆ เพื่อนำมาวางแผนการพยาบาลที่เหมาะสม
        2.ตรวจวินิจฉัยยืนยันการแตกของถุงน้ำคร่ำโดยการใช้ Speculum และทดสอบด้วย Nitrazine Test โดยใช้หลักปราศจากเชื้อทุกขั้นตอนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        3.ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกายไม่ควรมากกว่า 37.4 oC หากผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
        4.ตรวจฟังเสียงหัวใจทารกทุก 1 ชั่วโมงเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงจากภาวะน้ำเดินก่อนคลอดซึ่งปกติต้องอยู่ระหว่าง 120-160 ครั้งต่อนาที สม่ำเสมอชัดเจน
        5.แนะนำผู้ป่วยใส่ผ้าอนามัยเพื่อสังเกตจำนวน สี ลักษณะของน้ำคร่ำที่ออกมาพร้อมทั้งบันทึกหากผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น มี Thick Meconium ให้รีบรายงานแพทย์ทราบเนื่องจากเป็นภาวะผิดปกติที่ต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
    - - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินทารกในครรภ์โดยการฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ทุก 2-4 ชั่วโมง รวมทั้งสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์
        
        ประเมินลักษณะน้ำคร่ำที่ไหลออกทางช่องคลอด สังเกตการมีขี้เทาปนในน้ำคร่ำ หากพบมีขี้เทาดูแลให้ออกซิเจน Mask 10 LPM และจัดให้หญิงตั้งครรภ์นอนตะแคงซ้าย
        
        ให้หญิงตั้งครรภ์นอนพักตลอดในท่านอนตะแคงซ้าย ห้ามลุกเดิน ดูแลให้ปีสสาวะบนเตียงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำคร่ำออกมากขึ้นและป้องกันสายสะดือพลัดต่ำและสายสะดือถูกกดจากที่น้ำคร่ำเหลือน้อยลงจัดสถานที่ให้สะอาด จัดสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นวางไว้ใกล้ตัว เพื่อป้องกันไมให้เกิดภาวะสายสะดือย้อย
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์นอนตะแคงซ้าย เนื่องจากการนอนตะแคงซ้ายก็เพื่อป้องกันไม่ให้มดลูกไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ (Inferior vena cava) ที่อยู่ค่อนมาทางด้านขวาของร่างกาย ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่ทารกได้ดี
        
        ดูแลให้ได้รับยา Dexamethasone 6 mg. IM q 12 hr.จำนวน 4 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานของปอดทารก และเร่งการเจริญของโครงสร้างปอด ป้องกันภาวะหายใจล้มเหลวของทารก
        
        ตรวจ NST เพื่อประเมินสภาพทารกในครรภ์
    - - กิจกรรมการพยาบาล
        1.ดูแลให้หญิงตั้งครรภ์นอนพักผ่อนบนเตียง
        2.ประเมินทารกในครรภ์โดยการฟังเสียงหัวใจทารก รวมทั้งสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์
        3.ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกทุก 2-4 ชั่วโมง
        4.ดูแลให้ได้รับยา Bricany! 5 amp Vเพื่อไม่ให้มดลูกมีการหดรัดตัว
        5.ดูแลให้ได้รับยา Dexamethasone 6 mg. IM q 12 hr.จำนวน 4 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานของปอดทารก และเร่งการเจริญของโครงสร้างปอด ป้องกันภาวะหายใจล้มเหลวของทารก